เดือนสองผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันเวลาที่ยุ่งวุ่นวายแต่ละวันนั้นล่วงเลยไป เดือนสามยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ช่วงเวลาที่สกุณาร้องร่ำบุปผาส่งกลิ่นเย้ายวนก็ยิ่งผ่านไปในชั่วพริบตาเดียว เข้าสู่เดือนสี่ อากาศก็ค่อยๆ ร้อนอบอ้าวขึ้นมา และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ถึงเวลาที่ใกล้จะคลอดแล้ว ร่างกายนับวันก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นมาทุกที คนในตระกูลซั่งกวนล้วนแต่ให้ความสนใจนาง กังวลว่าจู่ๆ เด็กน้อยจะเกิดออกมาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร และในยามนี้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็จัดการข้าวของของตัวเอง เตรียมไปอาศัยยาวๆ กับพวกอวี่ไข่สักระยะหนึ่ง ช่วงเวลานี้จะนานเท่าใด ก็คงต้องดูอารมณ์ของนางและท่าทีของทุกคนในตระกูลซั่งกวนแล้ว
เดือนสองเข้าไปอยู่ที่นั่นเจ็ดแปดวัน รู้สึกว่าดีไม่น้อย กลับมาไม่ถึงสองสามวัน ทนการรบเร้าไม่ไหว ก็เข้าไปพำนักอยู่สิบวันถึงครึ่งเดือน ในยามที่กลับมาอีกครั้งก็รู้สึกว่าที่นี่ดูไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมด ซั่งกวนฮ่าวไม่ได้มาไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบอะไร หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้เข้ามาน้อมทักทายในทุกวัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่คิดว่าตัวเองตั้งท้องก็หายไปจนแทบไม่เห็นเงา…อย่างไรที่นี่ก็ดูคล้ายจะไม่รื่นหูรื่นตาไปเสียหมด เลือกไปเลือกมา ก็ตัดสินใจไปอยู่กับทางอวี่ไข่ยาวๆ แล้วค่อยว่ากัน…รอหลังจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์คลอดแล้ว นางก็จะกลับมาดูเหลน หากทุกคนยังคงล้อมหน้าล้อมหลังเยี่ยนมี่เอ๋อร์และลูก ไม่คิดสนใจนางแม้แต่น้อย นางก็จำเป็นต้องครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้ว
“ท่านย่า…” หลังจากพิงถิงได้ยินข่าวก็รีบตามมา นางมักจะรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ของทั่วป๋าซู่เยวี่ยบุ่มบ่ามเกินไป ไม่คิดสนใจอันใดก็ย้ายออกไปพำนักที่จวนของหลานชายลูกอนุ อย่าเพิ่งพูดเลยว่าหลังจากเหล่าผู้อาวุโสทราบข่าวจะเป็นเช่นไร หรือซั่งกวนฮ่าวจะพอใจหรือไม่ แต่ตามหลักเหตุผลแล้วนับว่าไม่ถูกต้อง มีที่ไหนกันลูกหลานเต็มบ้านเต็มเรือน แต่กลับไม่รั้งตัวเสวยสุขอยู่ในบ้าน ไม่ได้ชี้ให้ผู้อื่นเห็นชัดเจนหรอกหรือว่า นางนั้นไม่พึงพอใจในตัวลูกหลาน?
“เจ้ามาแล้วหรือ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเผยน้ำเสียงเรียบนิ่งชำเลืองมองพิงถิงไปที นางในยามนี้ไม่พอใจต่อหลานสาวที่เลี้ยงมาข้างกายตั้งแต่เล็กคนนี้เป็นอย่างมาก เช้าจรดเย็นเอาแต่หลบตัวอยู่ในเรือนตัวเอง ไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่ทุกวันล้วนเอาแต่ออดอ้อนเอาใจอยู่ข้างกายตนเอง ช่างเลี้ยงดูมาเสียเปล่าจริงๆ
“นี่ท่านย่ากำลังคิดจะทำอะไรหรือ?” พิงถิงแสร้งถามอย่างไม่เข้าใจ ช่วงนี้นางล้วนยากที่จะเข้าใกล้ทั้งสองฝ่าย หากสนิทสนมกับทั่วป๋าซู่เยวี่ย หวงฝู่เยวี่ยเอ้อและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แน่ว่าจะกล่าวอันใดหรอก แต่นิสัยของทั่วป๋าซู่เยวี่ยนั้นย่อมจะให้นางเป็นหูเป็นตาให้ตัวเอง ไปสืบข่าวเล็กข่าวใหญ่จากเรือนมีคู่ ตนเองคงต้องถูกนางใช้เป็นหมากตัวหนึ่ง และหากใกล้ชิดกับพวกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมากไป อย่าพูดถึงทั่วป๋าซู่เยวี่ยเลย แม้แต่กระทั่งอนุภรรยาหนิงก็คงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นกัน…มารดาผู้ให้กำเนิดคนนี้ของนาง แต่ไหนแต่ไรก็ไม่คิดให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองเข้าใกล้มารดาภรรยาเอกเพื่อได้รับประโยชน์อันใด มักจะคิดว่าลูกที่ตัวเองคลอดออกมาก็ควรที่จะเห็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นดั่งศัตรู แม้ว่าจะพบหน้า ก็ควรจะทำหน้าไหว้หลังหลอกออกไป อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากทั้งสองฝ่ายนางจึงทำได้เพียงหลบอยู่ในเรือนอย่างสงบเสงี่ยมเท่านั้น ไม่ไปสนิทสนนมกับฝ่ายใดให้รู้แล้วรู้รอดไป เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ล่วงเกินต่อทั้งสองฝ่าย
“ข้ากำลังเก็บข้าวของ เตรียมไปอยู่ทางอวี่ไข่ยาวๆ สักระยะหนึ่ง!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเบนสายตามองพิงถิงอย่างเรียบนิ่ง “บ้านหลังนี้นับวันก็ยิ่งไม่เข้าท่า ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่สบายใจ อวี่ไข่และฉินซินบางทีก็เป็นเด็กดีมีความกตัญญู ไปอยู่กับพวกเขาทางนั้นยังจะดีกว่าอยู่เงียบเหงาที่บ้านเช่นนี้มากโข!”
“ท่านย่า พี่รองจะดีอย่างไรก็เป็นหลานของท่าน ทั้งยังเป็นหลานอนุภรรยา ท่านทำเช่นนี้แล้วเอาท่านพ่อและพี่ใหญ่ไปไว้ที่ไหนกัน? พวกเขาย่อมลำบากใจไม่น้อย!” พิงถิงหวังว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะสามารถไตร่ตรองอย่างรอบคอบเสียหน่อย นางไม่รู้ว่า พวกอวี่ไข่นั้นมีใจกตัญญูจริงๆ หรือเปล่า บางครั้งไม่ใช่ว่ามีแค่ความกตัญญูก็เพียงพอเสมอไป
“เอาพวกเขาไปไว้ที่ไหนหรือ?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยแค่นเสียงอย่างเรียบเย็น “พวกเขายังสนใจยายแก่ที่ขัดหูขัดตาอย่างข้าอีกหรือ? วันแล้ววันเล่าก็แทบไม่เห็นแม้แต่เงา เอาแต่วนเวียนอยู่กับหญิงสาวน่าชังคนนั้น ข้าว่าพวกเขาคงปรารถนาอยากให้ข้าออกไปเร็วๆ ไม่ให้รบกวนครอบครัวของพวกเขามากกว่า”
“นี่มันคำพูดอะไรกัน!” พิงถิงกล่าวอย่างร้อนใจ “พี่สะใภ้ใกล้จะคลอดลูกแล้ว ทุกคนจะตื่นเต้นบ้างก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่ความเป็นอยู่อาศัยของท่าน ล้วนไม่มีสาวใช้ที่ไม่มีหูตาคนนั้นกล้าละเลยต่อหน้าที่ ในยามที่ควรจะมาน้อมคารวะก็เข้ามาน้อมคารวะทักทายท่าน ทุกอย่างล้วนเหมือนวันเก่าๆ”
“เหมือนอย่างนั้นหรือ? ก็เพราะเหมือนจึงทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตบโต๊ะเสียงดังลั่น กล่าวอย่างโมโห “ข้าอยู่ที่จวนอวี่ไข่ ฟ้ายังไม่ทันสว่างฉินซินก็ตื่นแล้ว มาคอยพยุงข้าลุก ทานอาหารเช้ากับข้า ไปเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนข้า เตรียมอาหารที่ถูกปากทั้งเหมาะสมกับร่างกายของข้า อวี่ไข่กลับมาก็มาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้า นั่นจึงเรียกว่าบ้านที่อยู่อย่างสบายใจ! แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ล่ะ? ทำทั้งหมดนี้ได้หรือไม่? นางเคยมาพยุงข้าลุกหรือไม่? เคยมาปรนนิบัติทานข้าวกับข้าหรือไม่? แม้ยามที่ยืนประจำตำแหน่งก็ยังยืนอยู่ข้างกายหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ไหนเลยจะมีข้าอยู่ในสายตา? คนผู้นี้กลัวถูกเปรียบเทียบ แต่พอเปรียบ เทียบขึ้นมา ก็ไม่มีอะไรดีทั้งนั้น!”
พิงถิงไร้คำพูด เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นหลานสะใภ้ของนาง ไม่ใช่ลูกสะใภ้ จะปรนนิบัตินางเช่นนั้นอย่างไร นางยังมีแม่สามีที่ต้องดูแลปรนนิบัติอยู่! อีกอย่าง อย่าพูดเลยว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยโปรดปรานเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่เพียงท่าทีอบอุ่นก็ไม่เคยมีให้มาก่อน ไม่ว่าคนเขาจะทำอะไรนางก็เอาแต่คอยจับผิด ทั้งยังคิดหาวิธีใส่ร้ายอยู่ลับหลัง เยี่ยนมี่เอ๋อร์สามารถใจกว้างไม่ถือสาหาความกับนางได้ แต่ย่อมไม่อาจใช้ความดีตอบแทนความแค้น ครานี้ความต้องการของนางไม่สมเหตุสมผลเกินไปหน่อยแล้ว!
“ท่านย่า ท่านลองครุ่นคิดดูให้ดีอีกครั้ง!” รอยยิ้มขมขื่นของพิงถิงไม่ได้ปรากฏออกมา ยังคงรักษารอยยิ้มเช่นเดิมอยู่อย่างนั้น “พี่รองยังพอพูดได้ เขานั้นเติบโตมาข้างกายท่าน สนิทสนมและกตัญญูท่านมาโดยตลอด แต่นิสัยของสะใภ้รองนั้น…ท่านไปพักช่วงสั้นๆ บางครั้งบางคราวก็ยังพอว่า แต่หากอยู่ยาวๆ เกรงว่าคงจะไม่ดีเท่าไร!”
“ฉินซินทำไม?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่อาจทนฟังพิงถิงบ่นว่าฉินซิน หน้าดำทะมึนขึ้นมาทันที “ฉินซินดีกว่าหญิงสกุลเยี่ยนคนนั้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า ตระกูลดี ชาติกำเนิดดี ทั้งยังกตัญญูเอาใจใส่ เจวี๋ยเอ๋อร์นั้นไม่มีความสามารถในการมองคน พลาดพลั้งจากฉินซินไป เขาจะเสียดายในภายหลัง…”
ได้ยินทั่วป๋าซู่เยวี่ยบ่นพร่ำออกมายาวเหยียดตั้งแต่ซั่งกวนฮ่าวที่ตามใจจนหลงระเริง หวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่โง่เขลา ซั่งกวนเจวี๋ยที่มีตาหามีแววไม่…พิงถิงก็ไร้คำที่จะพูด รอจนทั่วป๋าซู่เยวี่ยบ่นพอแล้ว ในยามที่หยุดพักไปเล็กน้อย พิงถิงก็กล่าวถามอย่างเรียบนิ่ง “หรือท่านย่าลืมเรื่องที่ท่านเคยโมโหจนกระอักเลือดเป็นลมไปแล้ว?”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยชะงักไป นางไหนเลยจะลืมเรื่องเช่นนั้นได้ นั่นเป็นเหมือนเข็มพิษที่ไม่อาจถอนไปจากใจของนางได้ หากไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น นางก็คงไม่คิดจะไปอยู่ที่จวนอวี่ไข่สักระยะหนึ่งหรอก แต่ย่อมจะตัดสินใจย้ายออกไปอยู่ที่นั่นจนแก่เฒ่าไปเลย
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้!” ที่จริงอนุภรรยาหนิงฟังทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ใกล้ๆ มาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏตัวและสอดปากเข้ามาเท่านั้น ได้ยินพิงถิงเอ่ยถึงเรื่องนั้น รู้สึกไม่ดีในใจ กังวลว่าเพราะคำพูดของพิงถิง อาจจะทำให้แผนของอวี่ไข่พังทลาย จึงพุ่งตัวออกมาทันที ชี้ด่าไปที่พิงถิง “เจ้าฟังคำสั่งของฮูหยินแล้วก็เข้ามายั่วยุความสัมพันธ์ของฮูหยินใหญ่และพวก อวี่ไข่ใช่หรือไม่? ข้ารู้อยู่แล้ว ตัวนางเองนั้นเมินเฉยต่อฮูหยินใหญ่ ไม่เห็นความสำคัญไม่ว่า แต่ก็ยังทนที่คนอื่นดีกับฮูหยินใหญ่ไม่ได้อีก เจ้าเด็กโง่คนนี้ คิดว่าใกล้ชิดกับนางก็สามารถแต่งงานกับตระกูลดีๆ ได้แล้ว จึงประจบประแจงนางอย่างไม่สนใจอันใดใช่หรือไม่ แม้กระทั่งพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองก็ยังใส่ร้าย พี่สะใภ้ของตัวเองก็กล้าพูดวิจารณ์…”
คำพูดของอนุภรรยาหนิง ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล แววตาที่มองพิงถิงก็ยิ่งเย็นชาขึ้นมา คิดว่าหลานสาวคนนี้ถูกหวงฝู่เยวี่ยเอ้อและเยี่ยนมี่เอ๋อร์บงการ จึงตั้งใจเข้ามาพูดให้ร้ายฉินซิน ทำให้ตัวเองทุกข์ใจ ทั้งยังคิดจะทำลายความสัม พันธ์ของตนเองและสองสามีภรรยาอวี่ไข่ ดังนั้นจึงได้เอ่ยถึงเรื่องในอดีตที่นางวางไม่ลงเรื่องนั้น
“ท่านแม่ ท่าน…” พิงถิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดอนุภรรยาหนิงจึงมีโทสะขนาดนั้น คล้ายกับตนเองทำความผิดที่ร้ายแรงมาก็มิปาน นางคิดว่าอนุภรรยาหนิงน่าจะกระจ่างใจที่สุด ทั่วป๋าฉินซินไม่ใช่คนดีอะไร กระทั่งในยามที่ขอร้องคนอื่นยังมีท่าทีเย่อหยิ่งจองหองเช่นนั้น ยามนี้ไฉนจู่ๆ จะเปลี่ยนนิสัยได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับอนุภรรยาหนิงที่อยู่เบื้องล่างผู้คนมากมายมาทั้งชีวิตนับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างมาก การที่นางพยายามจะทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้สติ ไม่ให้ลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเช่นนี้ อาจทำให้แผนที่พวกอวี่ไข่จะโยกย้ายทรัพย์สินส่วนตัวของทั่วป๋าซู่เยวี่ยถูกขัดขวาง
“ข้ารู้ว่าข้าเป็นแม่ของเจ้า ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาย้ำเตือน!” อนุภรรยาหนิงอยู่ตรงข้ามกับพิงถิง น้ำลายนั้นกระจุยกระจายใส่เต็มหน้า “เจ้าในยามนี้ฝึกวิชาจนเก่งกล้าแล้ว ได้รับความโปรดปรานจากฮูหยิน กลายเป็นลูกในนามภรรยาเอก แทบที่จะลืมความดีของฮูหยินใหญ่เสียสิ้น ยามนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจ เหตุใดฮูหยินจึงเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก่อนหน้านี้นางจงเกลียดจงชังเจ้าจะเป็นจะตาย ฮูหยินใหญ่จะพูดคำดีๆ แค่ไหน ใช้วิธีมากมายเท่าใด นางก็ไม่ยอมใจอ่อนรับปากให้เจ้ามีชาติกำเนิดที่ดี แต่ในยามที่พวกเราไม่มีท่าทีอันใดแล้ว จู่ๆ นางก็รับปากขึ้นมา หากไม่มีเรื่องลับลมคมนัยก็คงเป็นไปไม่ได้ เจ้าทำอะไรลับหลังพวกเราใช่หรือไม่? พูดมา!”
พิงถิงยิ้มขมขื่นเล็กน้อย เห็นท่าทีไล่ต้อนของอนุภรรยาหนิง ทั้งทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ฉับพลันก็เผยความสงสัยบนใบหน้าขึ้นมา จึงถอนหายใจ “ท่านแม่คิดว่าข้าทำเรื่องลับหลังพวกท่านได้อย่างนั้นหรือ?”
“ใครจะรู้ล่ะ!” ช่วงเวลานี้อนุภรรยาหนิงแทบที่จะเห็นพิงถิงเป็นก้อนหินที่ขวางทางนาง ไม่ใช่ลูกสาวโดยสิ้นเชิง กล่าวอย่างโกรธเคือง “หลังจากงานชมดอกบัวเจ้าก็มีความรู้สึกดีกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไม่ใช่เพราะว่าตอนงานชมดอกบัวนางดึงเจ้ามาเป็นพวก ไม่ทำให้เจ้าถูกแบ่งแยกจากคนอื่นอย่างนั้นหรือ? ในยามที่พวกเราปรึกษาเรื่องพวกนั้นเจ้าก็จงใจไม่เข้าร่วม แต่ในความเป็นจริงใครจะรู้ว่าเจ้าได้ทราบคำพูดจากปากของสาวใช้แม่นมลับหลัง แล้วเอาความลับไปบอกหรือไม่?”
“พิงถิง เจ้าได้ทำผิดต่อพวกเราหรือไม่?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยกล่าวถามอย่างเยือกเย็น ความไม่พอใจต่อพิงถิงของนางปะทุขึ้นมาในชั่วพริบตา หากยามนี้มีหลักฐานบ่งชี้ว่าพิงถิงทำเรื่องอะไรกันแน่ นางก็ย่อมจะให้คนลากนางไปโบยอย่างเหี้ยมโหด
“ในยามนั้นเหตุใดข้าจึงไม่เข้าร่วม คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ท่านย่า ท่านจะไม่รู้เลยหรือ?” พิงถิงยิ้มขมขื่น “เวลานั้นท่านเตือนข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่าได้เข้ามามีส่วนร่วม ข้าเคยรู้สึกยินดีที่ในยามนั้นข้าฟังคำพูดของท่าน ไม่ได้เข้าร่วม ดังนั้นท่านแม่จึงยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมจากท่านพ่อ รับข้าเลี้ยงดูภายในนาม แต่คาดไม่ถึงว่า ยามนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ข้าทำผิดอะไรต่อพวกท่านไปเสียแล้ว…ข้าไร้คำที่จะพูด!”
“เช่นนั้นวันนี้เจ้าได้รับคำสั่งจากใครแล้วจึงเข้ามาใช่หรือไม่?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยลอบพยักหน้ากับตนเอง คล้อยหลังก็กล่าวถามอย่างเรียบเย็น
“ท่านย่า ข้าเข้ามาก็เพราะเป็นห่วงท่าน ไม่อยากให้ท่านบุ่มบ่ามไปชั่วขณะ ทำเรื่องที่ตัวเองจะเสียใจในภายหลัง จะฟังหรือไม่ก็แล้วแต่ท่าน พิงถิงไม่อาจแทรกแซง ทั้งไม่มีความสามารถที่จะแทรกแซงได้” พิงถิงผิดหวังกับอนุภรรยาหนิงยิ่งนัก แต่ก็เพราะคำพูดของอนุภรรยาหนิง นางจึงรู้ว่าพวกเขาย่อมลอบวางแผนอะไรอยู่ลับหลัง อวี่ไข่และฉินซินอาจจะพักเรื่องความ แค้นก่อนหน้าไปชั่วคราว แล้วร่วมมือกันวางแผนอะไรบางอย่าง
“ข้าจำต้องใช้เวลาครุ่นคิด!” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจมดิ่งในความคิดเล็กน้อย “เจ้ากลับไปก่อน ภายหลังหากข้าไม่ได้เรียกก็ไม่ต้องเข้ามา!”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” พิงถิงจากไปอย่างจนใจ นางก็ทำได้เพียงพูดเท่านี้แค่นั้น หากพูดมากกว่านี้อาจจะผิดใจกับพวกอนุภรรยาหนิงขึ้นมาจริงๆ ก็ได้
“ฮูหยินใหญ่ ข้าให้พวกเขาพักก่อน ยังไม่ต้องเก็บของชั่วคราวดีหรือไม่!” อนุภรรยาหนิงเห็นใบหน้าของทั่วป๋าซู่เยวี่ยมีท่าทีว้าวุ่นก็กล่าวเสียงเบา ในยามที่พิงถิงอยู่ นางยังใจกล้าชี้หน้าด่าพิงถิง เมื่อพิงถิงจากไป นางก็โอนอ่อนลงเช่นกัน
“ไม่ต้อง อย่างไรพรุ่งนี้พวกเราก็จะไปแต่เช้าตรู่” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยสั่นศีรษะ นางไม่อาจเปลี่ยนแผนการเดินทางเพราะคำ พูดไม่กี่ประโยคของพิงถิงได้หรอก แต่ว่า…นางกระแอมไอเบาๆ “ข้าวของนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเก็บให้มากมาย เอาแค่ง่ายๆ ก็พอ พวกเราเข้าไปอยู่สักครึ่งเดือน รอผู้หญิงคนนั้นให้กำเนิดแล้ว ข้ายังต้องกลับมาดูเหลนอยู่!”
“เจ้าค่ะ!” ยามนี้อนุภรรยาหนิงชิงชังพิงถิงที่ปากมาก…เดิมทีทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะจัดเก็บข้าวของเล็กๆ น้อยๆ และสิ่งของมีค่าเข้าไป ยามนี้ล้วนกลายเป็นฟองอากาศแล้ว…