เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 242 หนึ่งปีต่อมา

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้มือสองข้างเท้าคางมองเสี่ยวหมิงเอ๋อร์เดินเตาะแตะตามการชักนำของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ใบหน้านั้นประดับด้วยรอยยิ้ม บางทีอาจเป็นเพราะปีที่แล้วมีเรื่องยุ่งเยอะมากจริงๆ จู่ๆ เมื่อว่างไม่มีอะไรทำเช่นนี้ ในที่สุดนางจึงได้มีเวลาหายใจหายคอคล่อง

เดือนเจ็ดปีที่แล้ว ซั่งกวนฮ่าวกับตระกูลซย่าและตระกูลสวีได้กำหนดงานแต่งจิงอิ๋งและพิงถิงให้แยกกัน ท่ามกลางความยุ่งวุ่นวาย ในเดือนสิบเอ็ด จิงอิ๋งก็ได้แต่งกับซย่าจื่อชิงอย่างมีความสุข ส่วนเดือนสองของปีนี้ พิงถิงก็แต่งไปจิ้นหยางให้กับตระกูลสวี ยังไม่ทันได้หายใจคล่องคอ วันที่ห้าหลังจากพิงถิงแต่งงาน ลู่หลัวก็คลอดลูกชายออกมาอย่างราบรื่น เดือนสี่ เมื่อซั่งกวนหมิงครบปี ก็ล่วงหน้าไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่เรือนพำนักอวี้ฉิง เจ้าตัวเล็กที่เผยความน่ารักมีชีวิตชีวา ทั้งไม่เกรงกลัวอันใดทำให้ท่านบรรพชนและเหล่าผู้อาวุโสตระกูลซั่งกวนต่างก็ชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง ชายชราเหล่านั้นพากันมะรุมมะตุ้มกอดหอมอุ้มเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ และเจ้าตัวเล็กก็ถอนหนวดกลุ่มชายชราที่ล่วงเกินเขาอย่างไม่ไว้หน้าเช่นกัน(เว้นแต่ท่านบรรพชน) ทำให้เหล่าผู้อาวุโสล้วนชมเขาว่า ‘ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ’ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้มาเช่นกัน เมื่อก่อนซั่งกวนเจวี๋ยก็เคยทำเรื่องเช่นนี้ ท่านบรรพชนคิดว่าร่างกายของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์นั้นแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไปมาก จึงเปลี่ยนคำพูดที่ว่าจะให้เขาขึ้นเขามาที่เรือนพำนักอวี่ฉิงตอนอายุสามปี เป็นรอหลังจากเดือนสี่ของปีหน้าแทน ให้เขาอยู่บนเขาและในจวนสลับกันไปที่ละสิบวัน เพื่อให้เขาสามารถปรับตัวกับการใช้ชีวิตบนเขาได้เร็วขึ้น

และก็เป็นสองวันก่อนที่ตระกูลชุยแห่งจือหยางได้ส่งข่าวดีมา กล่าวว่าหลิงหลงได้ให้กำเนิดแฝดชายหญิงที่น่ารักคู่หนึ่ง ทำเอาฮูหยินชุยดีใจจนแทบอยากป่าวประกาศให้รู้ไปทั้งใต้หล้า หวงฝู่เยวี่ยเอ้อและซั่งกวนฮ่าวก็เตรียมที่จะออกเดินทางอีกวันสองวัน ไปจือหยางเพื่อเยี่ยมเยียนลูกสาวและหลานตัวน้อยคู่นั้น ถือโอกาสไปรับสองสามีภรรยาอินหงหลันและเซียงเสวี่ยกลับมาด้วย

แต่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งมวลล้วนเทียบกับเรื่องของทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ทำให้คนในตระกูลซั่งกวนรู้สึกสังเวชและตกใจไม่ได้!

ปลายเดือนสิบสอง ก่อนที่จะข้ามปีอีกสี่ห้าวัน ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็พาสาวใช้สองคนกลับมาด้วยใบหน้าซูบเซียว สิ่งของที่ติดกายก็มีเพียงพวกเสื้อผ้า ส่วนของอื่นๆ ที่ย้ายไปที่บ้านของอวี่ไข่และสาวใช้แม่นมที่นางไว้ใจมากที่สุดกลับไม่เห็นแม้แต่เงา เพียงกล่าวว่ากลับมาฉลองปีใหม่ แต่หลังจากกลับมาแล้วก็เจ็บป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ แม้ว่าอินหงหลันจะฝืนใจรักษานาง ทั้งพิงถิงที่เฝ้าปรนนิบัติอยู่ข้างเตียงนางอย่างอดสงสารไม่ไหว ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสองเดือนเต็มๆ ก่อนวันที่พิงถิงจะแต่งงานถึงค่อยดีขึ้นมา สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ และช่วงเวลานั้นก็เพียงพอให้ซั่งกวนฮ่าวตรวจสอบความเป็นไปเป็นมาของเรื่องราวและต้นสายปลายเหตุได้แล้ว

แม่นมอี้และแม่นมหนิงผู้ที่อยู่ข้างกายทั่วป๋าซู่เยวี่ยมาชั่วชีวิตและได้รับความเชื่อใจมากที่สุดร่วมมือกับสาวใช้ใหญ่สองคนที่ได้รับคำสั่งมาจากอวี่ไข่ ให้ฉินซินใช้ความกตัญญูเป็นข้ออ้าง ใช้เวลาที่คอยพานางเดินเที่ยวเล่นชมนกชมไม้ในสวน ค่อยๆ ทยอยขนย้ายของล้ำค่าที่นางเก็บไว้ทั้งชั่วชีวิต โดยที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้แต่อย่างใด ยังคงเอาแต่จมปลักกับความกตัญญูจอมปลอมของหลานชายและหลานสะใภ้ จวบจนกระทั่งใกล้จะข้ามปีเพิ่งรับรู้ถึงความกตัญญูที่หลานชายมีต่อตน ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจึงตัดสินใจจะควักเอาของล้ำค่าไม่กี่อย่างให้เป็นของขวัญแก่สองสามีภรรยาอวี่ไข่ที่มอบ ‘ความกตัญญู’ ให้กับนาง ทั้งนับเป็นของรางวัลที่พวกเขาดูแลเอาใจใส่นางมาทั้งปี ให้นางได้รับความสุขกายสบายใจมาตลอด

ทว่าสาวใช้ใหญ่และแม่นมข้างกายนางเอาแต่พยายามหว่านล้อมนาง กล่าวว่าอะไรนะ ความกตัญญูของสองสามีภรรยาอวี่ไข่เป็นเรื่องที่ควรกระทำให้นางอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเอาของดีอะไรให้พวกเขา ของเหล่านั้นอย่างไรเหลือไว้ข้างกายนางจะดีกว่า…อนุภรรยาหนิงก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน ทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่เต็มไปด้วยความสงสัยจึงไม่สนใจคำเกลี้ยกล่อมของผู้ใดทั้งนั้น รีบเปิดตู้พวกนั้นของตัวเองออกดู เรื่องที่ทำให้นางหายใจแทบไม่ทัน ทั้งโมโหจนเป็นลมไปทั้งเดี๋ยวนั้นก็ได้เกิดขึ้น…ของล้ำค่าที่อยู่ในตู้นั้นล้วนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ในหีบบางอันก็โล่งเกลี้ยงไม่มีของเหลือสักชิ้นเดียว รอจนยามที่นางฟื้นสติกลับคืนมา สองสามีภรรยาอวี่ไข่ อนุภรรยาหนิง และพวกแม่นมหนิงล้วนคล้ายกับหายไปอย่างไร้ร่องรอย แทบไม่เห็นเงา เหลือเพียงสาวใช้ธรรมดาสองคนที่ไม่ได้รับความโปรดปรานและไว้วางใจจากนางเท่านั้น

สิ่งที่ทำให้นางเคืองโกรธและผิดหวังยิ่งกว่านั้นคือ ก่อนที่นางจะเป็นลมล้มพับไป ในห้องยังคงตกแต่งด้วยข้าวของมากมาย อย่างเช่นกระถางต้นท้อที่ตกแต่งด้วยอัญมณี ต้นไม้มงคลประดับที่ประกายความระยิบระยับที่นางชื่นชอบพวกนั้น แต่พอฟื้นขึ้นมาสิ่งของที่เห็นอยู่เบื้องหน้าทุกวันกลับไม่พบเสียแล้ว เมื่อสอบถาม สาวใช้สองคนนั้นก็ตอบอึกๆ อักๆ นางจึงได้รู้ว่า ในยามที่ตนเองเป็นลม แม่นมสาวใช้ข้างกายที่นางไว้ใจและใช้การได้มากที่สุดก็ได้ออกทัพด้วยตัวเอง บ้างก็ออกคำสั่งกับสาวใช้และหญิงแก่ที่มีแรงมากให้เคลื่อนย้ายของในห้องของนางออกไปให้หมด(รวมถึงของที่เหลือไม่กี่อย่างก่อนหน้านี้ในตู้และหีบหับ) ไม่รู้ว่าเคลื่อนย้ายไปไว้ที่ใด ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่เพิ่งฟื้นคืนสติกระอักเลือดออกมา เป็นลมล้มพับไปอีกรอบ

ในยามที่ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง นางก็เรียกพ่อบ้านใหญ่ของเรือนอวี่ไข่เข้ามาด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยเพลิงโทสะ พ่อบ้านที่ว่ากันว่าทั่วป๋าฉินซินเป็นคนซื้อตัวมาคนนั้นให้ความเคารพและเกรงใจกับทั่วป๋าซู่เยวี่ย ทั้งบอกทั่วป๋าซู่เยวี่ยอีกด้วยว่า คุณชายรองและสะใภ้รองได้รับจดหมายมาทางเหยี่ยนโจวจากตระกูลทั่วป๋า ได้ตระเตรียมกระเป๋าเดินทาง ออกเดินทางไปฉลองปีใหม่ที่เหยี่ยนโจวแล้ว ไม่อาจอยู่คอยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินใหญ่ได้ ส่วนกำหนดเดินทางกลับนั้น อาจจะกลับมาหลังจากฉลองปีใหม่เสร็จ หรือไม่ก็อาจจะพำนักที่เหยี่ยนโจวนานหน่อย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างพูดยาก

ชั่วชีวิตนี้ของทั่วป๋าซู่เยวี่ย หลังจากแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากพ่อแม่สามี ส่วนสามี บางครั้งก็ห่างเหิน บางครั้งก็สนิทสนม หลังจากให้กำเนิดซั่งกวนฮ่าวก็แต่งภรรยารองเข้าตระกูล ชีวิตของนางนับแต่นั้นก็คล้ายตกนรกทั้งเป็น ระหองระแหงกับสามี ชิงอำนาจกับภรรยารอง แก่งแย่งความโปรดปรานกับอนุภรรยา…จวบจนสามีล่วงลับไป ลูกชายรับช่วงต่อเป็นผู้นำตระกูล หญิงสาวที่วางอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้านางมาครึ่งชีวิตผู้นั้นก็ถูกนางบีบให้ตายตามสามี อนุภรรยาที่เคยแก่งแย่งชิงดีกับนางเหล่านั้น หากไม่ถูกนางบีบจนตาย ก็จำต้องติดตามพวกลูกๆ ออกไปจากจวนให้เลี้ยงดูยามแก่เฒ่าอย่างจนใจ พวกที่ไม่มีบุตรทั้งให้ความเคารพต่อนาง ก็จะถูกจัดไว้ในเรือนหลัง กักบริเวณไว้จนถึงยามแก่ชรา ชีวิตของนางจึงค่อยจะดีขึ้นมา

แต่แม้ว่าซั่งกวนฮ่าวจะกตัญญูต่อนาง กลับไม่ได้เชื่อฟังเสมอไป โดยเฉพาะยามที่เจอกับเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตระกูลก็แทบไม่สนใจความคิดเห็นของนางโดยสิ้นเชิง แม้จะไม่ได้ตบหน้านางและตระกูลทั่วป๋าอย่างตรงๆ แต่ก็ไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าว นี่ทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัย ทั้งไม่มีหลักประกันอันใด

ลูกสะใภ้นั้นไม่ใช่คนที่นางโปรดปราน อนุภรรยาที่นางหาให้ก็ไม่ใช่คนที่ลูกชายชอบ หลานชายก็ไม่มีสีหน้าดีๆ ให้แก่นาง ทั้งยังมองข้ามหลานสะใภ้ที่นางถูกใจและเลือกให้อย่างไม่ไว้หน้า กลับยอมที่จะแต่งกับหญิงสาวชาติกำเนิดพ่อค้าผู้หนึ่ง แทนที่จะแต่งกับหญิงสาวสูงส่งของตระกูลทั่วป๋า ลูกชายและหลานชายสำหรับนางแล้วล้วนไม่ค่อยมีความสนิทสนม ทั้งไม่อาจพึ่งพาได้

ดังนั้นสำหรับนาง สิ่งเดียวที่สามารถทำให้นางรู้สึกสบายใจได้ก็มีเพียงของล้ำค่าคู่บ้านคู่เมืองพวกนั้นและทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น วันเกิดทุกปีของนาง ซั่งกวนฮ่าวล้วนแต่จัดงานฉลองให้กับนาง แต่ละตระกูลก็จะส่งของขวัญล้ำค่ามามากมาย ของขวัญพวกนี้แม้ว่าควรจะถูกส่งกลับไปยังคลังสินค้าของตระกูล ทั้งสามารถให้นางเก็บไว้ส่วนตัวได้ กระนั้นก็ล้วนแต่ถูกนางเก็บไว้ทั้งหมด หากไม่มีสิ่งของเหล่านี้ เดิมทีนางก็ไม่มีความรู้สึกปลอดภัย นางยึดถือสิ่งนี้มาตลอด ขอเพียงแค่มีของพวกนี้ นางย่อมใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข และนางจะทิ้งสมบัติพวกนี้ให้กับหลานที่ยังกตัญญูต่อนางจนถึงยามวาระสุดท้าย หลานคนนี้ที่อยู่ในใจของนางมาโดยตลอดก็คืออวี่ไข่

แต่ตอนนี้กลับไม่มีสมบัติอะไรสักอย่างแล้ว นอกจากเครื่องประดับที่พกติดกายอยู่บนร่าง แม้แต่กำไลข้อมือ ปิ่นปักผม กระทั่งต่างหูล้วนไม่เหลือ ในยามที่นางออกจากตระกูลซั่งกวนคล้ายกับจะย้ายทรัพย์สินส่วนตัวออกไปถึงเก้าส่วน และยามนี้ที่เหลืออยู่ นอกจากเสื้อผ้าก็ไม่มีสิ่งอื่นใด ล้วนแต่ถูกพวกแม่นมสาวใช้ที่คิดทรยศร่วมมือกับหลานชายและหลานสะใภ้ที่นางรักมากที่สุดขนย้ายออกไปหมดแล้ว…

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยนอนอยู่บนเตียงก็คร่ำรวญขึ้นมา นางตัดสินใจแล้วว่า จะรั้งอยู่ในจวนนั้นรอจนพวกคนที่คิดคดเหล่านั้นกลับมา นางจะเอาของทุกอย่างของตนเองกลับมาให้หมด!

วันแรกผ่านไป วันที่สองผ่านไป ข่าวคราวของพวกอวี่ไข่ก็ไม่มีหลุดออกมาแม้แต่น้อย ทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่เอาแต่เฝ้าคอย เพราะว่าพวกเจ้านายไม่อยู่ที่เรือน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจึงถูกลดลง แม้กระทั่งเตาถ่านให้ความร้อนในห้องจากเมื่อก่อนที่มีสี่ห้าอันก็ลดเหลือหนึ่งอัน จากที่เป็นถ่านชนิดพิเศษที่ไร้ควันไร้กลิ่น ก็เปลี่ยนเป็นถ่านมีควันและกลิ่นฉุน อาหารสามมื้อและของว่างสองเวลาของนางก็เหลือแค่สองมื้อ อาหารพวกนั้นแทบจะกินไม่ลง ทั่วป๋าซู่เยวี่ยคว่ำเตาถ่าน ล้มจานอาหาร พ่อบ้านผู้นั้นก็กล้าให้นางทนหิวทนหนาวเสียจริง การใช้ชีวิตเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรทั่วป๋าซู่เยวี่ยเองคาดไม่ถึงเช่นกันว่า ตนจะมีวันนี้ได้ หลังจากนั้นสามวัน นางที่ทนไม่ไหว ทำได้เพียงกลับตระกูลซั่งกวนอย่างระทมทุกข์ คล้อยหลังก็ล้มป่วยจนลุกไม่ขึ้น…

ซั่งกวนฮ่าวนั้นโมโหอย่างถึงขีดสุด หลังจากเขารู้เรื่องราว ก็ส่งคนไปตรวจสอบทางพวกอวี่ไข่อย่างละเอียดทันที…พบว่าพวกเขาพำนักในที่แห่งหนึ่งใกล้ๆ กับลี่โจว และของพวกนั้นของทั่วป๋าซู่เยวี่ย พวกของที่สามารถเปลี่ยนมือได้ก็ถูกอวี่ไข่และฉินซินขนย้ายไปนอกลี่โจวตั้งนานแล้ว ส่วนของที่เพิ่งได้มา ก็ล้วนอยู่ในคลังเก็บสินค้าแห่งหนึ่งในเรือนของอวี่ไข่ ซั่งกวนฮ่าวให้พวกผู้ดูแลบุกเข้าไปในบ้านของอวี่ไข่อย่างเปืดเผยและไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย ขนย้ายสิ่งของเหล่านั้นกลับมา วางไว้ในห้องของทั่วป๋าซู่เยวี่ย แม้กระทั่งพวกปะการังที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเป็นฝ่ายให้อวี่ไข่ก็ขนกลับมาเช่นกัน ทั้งยังให้ซั่งกวนจิ่นไปเรือนนั้นแจ้งให้อวี่ไข่ทราบว่า นับแต่นี้ไปตระกูลซั่งกวนไม่รู้จักกับลูกอนุภรรยาผู้นี้ ภายหลังเรื่องของเขาก็ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลซั่งกวนอีกต่อไป

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเห็นของที่สูญหายไปกลับมาอีกครั้งก็ร้องห่มร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง…นี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนางเพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น ของที่นางเก็บไว้อย่างยากลำบากทั้งชั่วชีวิตยังคงมีเจ็ดแปดส่วนที่เป็นของอวี่ไข่ไปแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ก็ทำให้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเศร้าซึมเป็นอย่างมาก เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนหลังอย่างสงบเสงี่ยม ทั้งไม่มีความคิดและปรารถนาจะยุ่งเรื่องอะไรแล้ว สาวใช้และแม่นมข้างกายของนางล้วนเป็นซั่งกวนฮ่าวที่เลือกให้ด้วยตัวเอง ก็สามารถทำให้นางได้ใช้ชีวิตที่สะดวกสบายเช่นกัน

ในยามที่พิงถิงออกเรือน นางก็โผล่หน้าออกมาครั้งหนึ่ง เอาสิ่งของล้ำค่าที่เก็บไว้มาโดยตลอดไม่กี่อย่าง มอบให้พิงถิง สองอย่าง ถือว่ามอบสินเจ้าสาวให้แก่นาง ทั้งนับว่าตอบแทนหลานสาวคนนี้ที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงในยามที่ตัวเองอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชที่สุดและไร้ชีวิตชีวาที่สุด ส่วนของอื่นๆ ก็ให้คนจดรายการไว้ในสมุด ให้นับเป็นของในคลังของตระกูลซั่งกวนไป ไม่ใช่ของส่วนตัวของนางอีกแล้ว

หลังจากพิงถิงแต่งงานออกไป ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็เริ่มตั้งใจกินเจสวดมนต์ ทั้งยังเป็นฝ่ายเอ่ยปากอยากจะไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในวัดประจำตระกูล แต่ก็ถูกซั่งกวนฮ่าวปฏิเสธ และก็เป็นยามนี้ นางจึงได้รับรู้ว่าที่จริงแล้วลูกชายไม่ได้อกตัญญู เพียงแต่ถูกนางบีบจนแสดงความกตัญญูแบบผิดๆ ไปก็เท่านั้น…

ส่วนซั่งกวนอวี่ไข่ เขากลับไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าการใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ทรัพย์สินส่วนตัวของทั่วป๋าซู่เยวี่ยมีไม่น้อยเลยจริงๆ แม้ของชิ้นใหญ่ๆ ที่ไม่อาจเปลี่ยนมือได้จะถูกซั่งกวนฮ่าวริบคืนไปในชั่วพริบตาเดียว แต่ของที่เหลืออยู่ก็เพียงพอให้เขาได้กินอยู่สบายไปถึงสามชาติ ทั่วป๋าฉินซินก็ตั้งท้อง สาวใช้ใหญ่สองคนของนางและสาวใช้ใหญ่ของทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ดึงมาเป็นพวกก็กลายเป็นเมียบ่าวของเขาทั้งหมด สองแม่ลูกอนุภรรยาหนิงก็ใช้ชีวิตแบบฮูหยินได้สมปรารถนา ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็มีคนคอยรับใช้ ทั้งยังไม่จำเป็นต้องสนใจสีหน้าผู้ใด ใช้ชีวิตที่วาดฝันอย่างมีความสุข ตระกูลซั่งกวนสำหรับพวกเขาก็เป็นเพียงอดีตเท่านั้น อดีตที่ไม่อาจจะมาบรรจบกันได้อีกแล้ว…

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset