เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 245 อีกหนึ่งความลับ

“งานประลองยุทธ์ปีนี้มี่เอ๋อร์อยากไปหรือเปล่า?” อินหงหลันหาโอกาสมาพูดคุยกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพียงลำพัง พอเอ่ยปากถามคำถามนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตาตื่นขึ้นมาทันที ในแววตานั้นยังประกายแสงวูบไหว แต่ไม่นานนักก็สลายหายไป

“ข้าไปไม่ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่นศีรษะ ไม่ใช่นางไม่อยากไป แต่นางไปไม่ได้ นางไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างในการออกจากบ้านถึงยี่สิบกว่าวัน ทั้งยิ่งไม่รู้ว่าหากพบคนที่คุ้นเคยในงานประลองยุทธ์ควรจะเผชิญหน้าอย่างไรดี แต่ในใจกลับอยากจะออกไปเที่ยวเล่นเป็นอย่างมาก…นางเคยคิดว่าตัวเองสามารถเอาแต่อยู่ในบ้านอย่างนี้ไปชั่วชีวิต ปีที่แล้วก็ไม่มีความคิดที่จะออกไปข้างนอกแต่อย่างใด แต่เมื่อเรื่องราวทั้งหมดเดินไปตามทางที่เหมาะสมของมันแล้ว หลังจากในบ้านสงบสุข ความคิดที่อยากออกไปข้างนอกก็ลอยขึ้นมาอยู่ในหัวอีกครั้ง

ไปไม่ได้ แต่ไม่ใช่ไม่อยากไป! อินหงหลันตาสว่างวาบ กล่าวยิ้มๆ “มี่เอ๋อร์กำลังกังวลอะไร? เพราะไม่มีเหตุผลที่จะออกจากบ้านหรือกังวลว่าจะพบคนที่ไม่ควรพบเข้าในงานประลองยุทธ์?”

“ล้วนใช่ทั้งนั้น!” เผชิญหน้ากับอินหงหลัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ได้ปิดบังจนเกินไป กล่าวอย่างตรงๆ “อีกทั้ง หมิงเอ๋อร์ในยามนี้ยังไม่อาจห่างจากข้าได้ ข้าไม่อาจทิ้งหมิงเอ๋อร์อยู่ในบ้านได้หรอก!”

“แต่เจ้าเต็มใจที่จะอยู่ในตระกูลไปชั่วชีวิตเช่นนี้ ไม่ออกไปไหนอย่างนั้นหรือ?” อินหงหลันเชื่อว่าเป็นไปได้ยากที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะทำถึงจุดนี้ได้ หลังจากคุ้นชินกับรสชาติของอิสระแล้ว ก็ย่อมยากที่จะรับความรู้สึกผูกมัด

“ไม่อย่างนั้นเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย “นี่ก็คือชีวิต เยี่ยนมี่เอ๋อร์และคุณหนูสุราโม่จิ้ง ข้าทำได้เพียงเป็นคนใดคนหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจจะเป็นทั้งคู่ได้ ข้าไม่มีวิชาแยกร่างเสียหน่อย แน่นอนว่าคุณหนูสุราที่สามารถเป็นอิสระ ไม่ต้องสนอันใดได้นั้นย่อมดีอยู่แล้ว แต่การใช้ชีวิตในความเป็นจริงก็มีเพียงเยี่ยนมี่เอ๋อร์เท่านั้น ก็เหมือนกับช่วงเวลาที่สว่างเจิดจ้า ท้ายที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่ความปกติ ความสว่างสดใสของคุณหนูสุราเป็นเพียงเวลาชั่วพริบตาเท่านั้น แต่ชีวิตที่ธรรมดาและมั่นคงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงจะนับว่าเป็นที่พิงพึ่งของข้า”

ยากจะต่อกรจริงๆ! อินหงหลันเกาศีรษะอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง รู้สึกว่าหญิงสาวที่เขาเคยพบคนแล้วคนเล่าล้วนยากที่จะรับมือ พี่อวี๋ฮวนแทบไม่ต้องพูดถึง คนผู้นั้นราวกับเทพที่อยู่บนฟ้า ตัวเองยืนอยู่เบื้องหน้านาง ชั่วชีวิตนี้ก็ทำได้เพียงเป็นน้องชายตัวเล็กคนหนึ่งเท่านั้น ภรรยาของตนก็พูดไม่ได้ หากพูดถึงนาง แค่ตัวเองยกก้นขึ้นมา นางก็รู้ว่าว่าตัวเองอยากจะฉี่หรืออยากจะถ่าย หากมีอะไรที่ทำให้นางรู้สึกถึงความผิดปกติ วิชาดรรชนีก็จะถูกเรียกขึ้นมาทันที จะหลบก็ไม่กล้าหลบ เซียงเสวี่ย เด็กสาวคนนั้น ในนามเป็นลูกสาวของตน แต่เจ้าเด็กแสบประเดี๋ยวก็ผุดแผนการอะไรขึ้นมา ประเดี๋ยวก็คิดพิเรนทร์ ร่วมกับซินหรันทำนู่นทำนี่ กลับเรียนรู้ที่จะรังแกเขาเสียแล้ว และเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกนาง สิ่งที่แตกต่างคือเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้รุนแรงเหมือนกับพวกนางถึงขนาดนั้น ไม่ได้ใช้วรยุทธมาจัดการกับตัวเอง…แต่ว่าอินหงหลันก็ยอมที่จะเผชิญหน้ากับแม่ลูกเลี้ยงจอมรุนแรงคู่นั้น ดีกว่าต้องมาเผชิญหน้ากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ผู้ที่ทำให้เขายากที่จะคาดเดาเช่นนี้

“งานประลองยุทธ์ปีนี้จัดขึ้นที่ไหลหยาง หากรีบตามไป ออกเดินทางให้เร็วหน่อย ยามที่ฟ้ามืดก็สามารถถึงจุดหมายแล้ว ใกล้เสียกว่ากระไร เรื่องเวลาไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงแค่ใช้เวลาสามถึงห้าวันก็เพียงพอแล้ว” อินหงหลันหว่านล้อมเยี่ยนมี่เอ๋อร์ งานประลองยุทธ์ในปีนี้เขาคิดที่จะแสดงละครฉากหนึ่ง ให้พวกซั่งกวนฮ่าวได้รู้ว่าพี่อวี๋ฮวนนั้นไม่อยู่แล้ว ให้พวกเขาได้เจ็บปวดเสียใจ…เรื่องนี้เขาคิดอยากทำตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ปีที่แล้วเยี่ยนมี่เอ๋อร์เอาแต่ยุ่งมาโดยตลอด กระทั่งในยามพักก็ยังต้องคอยเล่นกับลูกน้อย ไหนเลยจะสนใจเขา จึงทำได้เพียงปล่อยผ่านไป แต่ปีนี้ เขาไม่คิดจะล้มเลิกจริงๆ

“จากนั้นเล่า?” หากกล่าวว่าไม่ทำให้ใจสั่นคลอนแม้แต่น้อยย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ตั้งแต่เล็กเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็กระจ่างแจ้งในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรล้วนมีการแลกเปลี่ยน ยอมละทิ้งถึงจะได้มา หากไม่ว่าอะไรก็คิดจะกอบกุมไว้ในมือ ไม่ว่าอะไรก็ปรารถนาให้สำเร็จทั้งหมด สุดท้ายก็ย่อมคว้าอะไรไม่ได้ ยามนี้นางได้รับความสุขที่นางวาดฝันไว้แล้ว พ่อแม่สามีที่รักและเอ็นดูนาง สามีที่สมบูรณ์แบบทุกอย่างสำหรับนาง ลูกน้อยที่น่ารักซุกซน นี่นับเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบแล้ว นางไม่อาจจะทำเรื่องอะไรที่สามารถทำร้ายตัวเอง หรือทำลายความสุขตัวเองได้หรอก

“เจ้า…” อินหงหลันมองออกว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ใจสั่นคลอน แต่ก็มองออกถึงความหนักแน่นของนางเช่นกัน ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมนางอย่างไรอยู่บ้าง…ซินหรันไม่เห็นด้วยกับความคิดแย่ๆ ของเขาแม้แต่น้อย กล่าวว่าเขาว่างจนไม่มีอะไรทำ ทั้งจะไม่ช่วยเขาพูดกล่อมมี่เอ๋อร์ ไม่อย่างนั้น เขาจะต้องพยายามถึงขนาดนี้หรือ?

“เจ้ารู้ความลับของตระกูลซั่งกวนหรือไม่?” จู่ๆ อินหงหลันก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่อาจจะทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงความคิดโดยทันที

“ความลับอันใด?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หันศีรษะไปมองเขา จากนั้นไม่รอให้อินหงหลันได้พูด ก็กล่าวอย่างยิ้มๆ “ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องความลับเท่าใด รู้ความลับมาก ก็ง่ายที่จะเกิดเรื่อง ล้วนพูดกันว่า ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมว[1] แมวมีเก้าชีวิตยังถูกทำให้ตายได้ แต่ข้ากลับเป็นเพียงคน ไม่ได้มีเก้าชีวิตเหมือนแมว ไม่อยากรู้ความลับอะไรทั้งนั้น”

“เจ้า…” อินหงหลันอยากจะกระโดดย่ำเท้า แต่ก็ยังคงอดกลั้นโทสะของตัวเองไว้ได้ “แต่ความลับนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของเจ้า!”

“อนาคตของข้ามันอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดว่าอินหงหลันเพียงเจตนาพูดให้คนอื่นตกใจเท่านั้น

“เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดผู้นำของตระกูลซั่งกวนล้วนแต่มีอายุสั้น? บิดาของพี่ฮ่าวนับว่าเป็นผู้ที่มีฝีมือในยุทธภพ คนที่เรียนวรยุทธ อย่าพูดเลยว่าอายุจะยืนยาวถึงหกสิบเจ็บสิบปี แต่แม้ว่าจะอายุร้อยปีก็เป็นนับเป็นเรื่องธรรมดา ท่านบรรพชนของตระกูลซั่งกวน เจ้าก็พบเห็นมาหลายครั้ง ปีนี้เขาก็จะอายุครบเก้าสิบเก้าปี ปีหน้าก็จะเป็นผู้เฒ่าอายุร้อยปีแล้ว แต่เจ้าดูเขา นอกจากรอยย่นและกระผู้สูงอายุที่มากหน่อย ก็ไม่มีท่าทีอ่อนแอแต่อย่างใด ดูมีสง่าราศี ทั้งสามารถอุ้มโยนหยอกล้อเสี่ยวหมิงเอ๋อร์ขึ้นไปสูงขนาดนั้นได้ จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่ใช่ผู้นำของตระกูลซั่งกวน มีอายุยืนยาวอยู่มาก แต่ข้ากล้ายืนยัน พี่ฮ่าวผ่านไปสักสิบสามสิบสี่ปี ก็คงต้องจัดงานศพแล้ว!” คำพูดของอินหงหลันทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชะงักไปเล็กน้อย จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องยามที่กราบไหว้บรรพบุรุษเป็นครั้งแรก รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้นางไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก นั่นก็คือป้ายวิญญาณของผู้นำตระกูลที่หายไปรุ่นหนึ่ง แม้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะอธิบายให้นางฟัง แต่คำอธิบายนั่นก็เป็นการบอกไปทีเท่านั้น

“อีกอย่าง เจ้าคิดว่าฮูหยินใหญ่บีบผู้หญิงที่ห้ำหั่นกับนางมาชั่วชีวิต แต่กลับมีความสามารถอยู่เหนือผู้คนคนนั้นให้ตายได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?” การกระทำน่าขยะแขยงของทั่วป๋าซู่เยวี่ยในงานศพ แทบที่จะอยู่ในดวงตาของอินหงหลันทั้งหมด หากไม่ได้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น เขาก็คงไม่มีความรู้สึกแย่ๆ ต่อทั่วป๋าซู่เยวี่ยขนาดนี้หรอก

“ลุงอินพูดความลับนั้นมาเถิด มี่เอ๋อร์ล้างหูรอฟังแล้ว” ในที่สุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ใจสั่นคลอน เรื่องนี้ที่จริงเหมือนเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ที่ขวางในใจนางมาโดยตลอด เพียงแต่บางครั้งก็ถูกนางมองข้ามไปเท่านั้น แต่เมื่อมีคนรู้เรื่องราวถึงเพียงนี้ นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองไม่รู้ต่อไปเช่นนี้

“ที่จริงนี่ก็เป็นธรรมเนียมของแปดตระกูลใหญ่เช่นกัน ผู้ที่อายุเกินหกสิบปีไม่อาจจะเป็นผู้นำตระกูลได้ หลังจากอายุผ่านหกสิบปีไป คนส่วนมากก็ล้วนมีปัญหาหูเบา เชื่อคนง่าย คนธรรมดาทั่วไปมีอาการนี้ พวกผู้ที่มีอำนาจตำแหน่งสูงก็ยิ่งทำผิดง่าย ตระกูลใหญ่หลายตระกูลก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นนี้ ผู้นำตระกูลที่ยิ่งใหญ่ฉลาดเฉลียว ในยามที่หูตาฝ้าฟางก็จะคิดแต่อยากจะทำเรื่องไร้สาระ คิดว่าเองว่าตัวเองลำบากมาทั้งชั่วชีวิต ก็ควรได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย กระนั้นกลับไม่อาจปล่อยวางอำนาจในมือลง ชอบที่จะแก่งแย่งอำนาจกับลูกหลาน และสิ่งที่ร้ายแรงกว่าคือทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเกิดบาดหมาง มองกันราวกับศัตรู ตระกูลได้รับความเสียหาย เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลใหญ่ต่างๆ ก็จะเชิญเขาไปใช้ชีวิตบั่นปลายที่เรือนพำนักของผู้อาวุโส แต่ตระกูลซั่งกวนกลับทำสิ่งที่เหนือกว่านั้น ใช้การตายของผู้นำตระกูลมาเป็นฉากหน้า หลีกหนีจากโลกความจริง ไปใช้ชีวิตอย่างสันโดษแทน” รอจนซั่งกวนฮ่าว ‘ตาย’ ก็คงจะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้อาวุโสเช่นกัน ดังนั้นเขาย่อมเข้าใจถึงความลับภายใน กล่าวทั้งส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “ฮูหยินใหญ่ที่น่าสงสาร คิดไปเองว่าได้บีบหญิงสาวที่ทำให้นางเกลียดชังมาทั้งชีวิตตายไปแล้ว ผลลัพธ์กลับเป็นการทำให้ผู้หญิงคนนั้นสมดั่งปรารถนา ได้เสวยสุขบั่นปลายชีวิตในเรือนพำนักอวี้ฉิง แต่นางกลับต้องอยู่แก่ชราเพียงลำพังในเรือนหลัง”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฉุกคิดขึ้นมาในหัว จู่ๆ ก็นึกถึงหญิงชราแปลกประหลาดที่เข้ามาหยั่งเชิงตัวเองคนนั้น หรือนางก็คือป้าผู้นั้นของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ผู้ที่หนุนอนุภรรยาอู๋อยู่เบื้องหลัง มิน่าเล่าซั่งกวนฮ่าวในยามนี้ก็ยังไม่จัดการอนุภรรยาอู๋อย่างเด็ดขาด และซั่งกวนเจวี๋ยก็ทำเพียงเพิกเฉยต่ออู๋เลี่ยนเยี่ยน กลับไม่ได้ขับไล่นางไปอย่างตรงๆ…อู๋เลี่ยนเยี่ยนรอบคอบเป็นอย่างมาก หลายเรื่องล้วนมีนางเป็นส่วนร่วม แต่กลับไม่เหลือจุดอ่อนไว้แม้แต่น้อย หากซั่งกวนเจวี๋ยจะจัดการนางตรงๆ ก็ย่อมดูไม่ดีเท่าใดเช่นกัน

“เช่นนั้น เขาเป็นผู้อาวุโสคนไหนหรือ?” จู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็นึกขึ้นมาได้ นอกจากครั้งแรกที่เจอกัน นางก็ไม่เคยพบผู้อาวุโสหลายคนปรากฏตัวพร้อมกันโดยไม่สวมหน้ากากเลย ในยามที่หมิงเอ๋อร์ครบปี หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ขึ้นเขาเช่นกัน และในยามที่เหล่าผู้อาวุโสผู้นั้นปรากกฏตัวก็ล้วนสวมชุดสีเดียวกัน ทั้งใส่หน้ากากเช่นเดียวกัน หรือเพราะป้องกันไม่ให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจำพ่อสามีของตัวเองได้?

“เป็นผู้อาวุโสหก!” อินหงหลันกล่าวตรงๆ “อายุของเขาไม่ได้เยอะที่สุด ทำได้เพียงอยู่ลำดับที่หก แต่ตำแหน่งของเขา ในบรรดาผู้อาวุโสก็เป็นรองเพียงผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้น”

ผู้อาวุโสหก? ก็คือคนที่แม้จะพูดไม่มาก แต่ก็เอาแต่เผยท่าทีมีเมตตาคนนั้น? เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มเล็กน้อย เอาเถิด ความลับนี้ทำให้นางไม่ต้องกลัวว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะตายไว ทิ้งนางไว้เพียงลำพังอีกแล้ว แต่ยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกอย่างนั้นหรือ?

“แต่ว่า มีจุดหนึ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้ ไม่ว่าจะผู้นำตระกูลรุ่นใด ยามที่เร้นกายไปจากโลกความจริงล้วนไม่อนุญาตให้พาภรรยาไปอยู่ด้วย มีประเภทที่สามีภรรยามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ก็จะมารับภรรยาหลังจากปีสองปี มี่เอ๋อร์อยากจะเป็นแบบนั้นหรือไม่?” อินหงหลันเชื่อว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมไม่อยากจะเป็นเช่นนั้น

“หากไม่อยากจะมีวิธีอย่างไร?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ประกายแสงวาบในดวงตาเล็กน้อย นางไม่อยากถูกซั่งกวนเจวี๋ยละทิ้งให้อยู่ในจวนเพียงลำพังเช่นนี้ นางไม่อยากจะเป็นหญิงอาวุโสอยู่คนเดียว

“หากไม่อยาก เจ้าก็จำเป็นต้องมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือเป็นหญิงคนรู้ใจของเจวี๋ยเอ๋อร์ หากเจ้ายังสามารถเป็นหญิงคนรู้ใจของเจวี๋ยเอ๋อร์ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความตายมาหนีจากโลกแห่งความจริง สามารถไปใช้ชีวิตยามแก่ชราที่เรือนพำนักอวี้ฉิงได้เลย อยากจะอยู่ที่จวนหรืออยู่ที่เรือนพำนักอวี้ฉิงก็แล้วแต่เจ้าจะปรารถนา เจ้าลองคิดดู นี่มันดีแค่ไหน!” อินหงหลันกล่าวชักจูง

“ความหมายของท่านคือต้องการให้ข้าเอาเรื่องที่ข้าเป็นคุณหนูสุราโม่จิ้ง ไปบอกกับเจวี๋ย? ท่านไม่ใช่เอาแต่คัดค้านไม่ให้ข้าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปหรอกหรือ? หรือท่านไม่กังวลว่าเมื่อท่านแม่รู้เข้าจะตามมาสร้างปัญหาให้ข้าอย่างบ้าคลั่ง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตาใส่เขา พูดมาถึงท้ายที่สุด ก็ยังคงหลอกล่อให้ตัวเองไปเข้าร่วมงานประลองยุทธ์

“ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าเปิดเผยฐานะให้ทุกคนรู้เสียหน่อย ขอเพียงแค่ให้เจวี๋ยเอ๋อร์รับรู้ยามที่เหมาะสมก็เพียงพอแล้ว!” อินหงหลันเกาศีรษะอีกครั้ง “จากนั้นเจ้าก็สามารถอยู่ในฐานะของภรรยาคุณธรรม ทั้งจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพ นี่มันดีตั้งเท่าใด!”

“สรุปก็คืออยากให้ข้าไปร่วมงานประลองยุทธ์ ใช้ฐานะของคุณหนูสุราไปเจอกับเจวี๋ย รอหลังจากกลายเป็นหญิงรู้ใจของเขาก็บอกฐานะให้เจวี๋ยรู้อีกครั้ง…อื้ม บางทียังต้องให้คนทั้งหมดล่วงรู้ว่า คุณหนูสุราก็คือศิษย์ของอวี๋ฮวน ให้พวกท่านพ่อคอยปกป้องหนุนหลังคุณหนูสุรา แสดงละครใหญ่ออกมาให้ท่านดูสินะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แค่นเสียงใส่เขา กล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ข้าไม่อยากจะสร้างเรื่องวุ่นกับท่าน อย่างไรท่านเพลาๆ สักหน่อยเถิด!”

“มี่เอ๋อร์ มี่เอ๋อร์!” อินหงหลันร้องเรียกขึ้นมาอย่างร้อนใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย กลอกตาใส่ก็เดินจากไป…หากไม่ไป นางกลัวว่าตัวเองคงจะถูกกล่อมจนสำเร็จ นางก็มีความหุนหันพลันแล่นและปรารถนาที่จะทำตามใจเช่นกัน โดยเฉพาะยามที่ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขก็ยิ่งหุนหันพลันแล่นได้ง่าย…

———————————–

[1] ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมว อุปมาว่า ความอยากรู้อยากเห็นอาจนำภัยมาสู่ตัวเองได้

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset