ในระหว่างอาหารค่ำของเจ้านายตระกูลซั่งกวนนอกจากซั่งกวนอิงซึ่งไปอาศัยอยู่ที่ตระกูลหวงฝู่แล้ว คนที่หาตัวยากล้วนมาอยู่ที่นี่ครบหมด แม้กระทั่งทั่วป๋าซู่เยวี่ยผู้ซึ่งใช้การกินเจเป็นข้ออ้างมาโดยตลอดและไม่ค่อยได้มาทานอาหารร่วมกันก็มาร่วมโต๊ะกับคนในครอบครัว ซั่งกวนพิงถิงที่มักจะติดสอยห้อยตามก็มาพร้อมกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยซึ่งอยู่ที่นั่นด้วย บุตรชายอนุภรรยาของซั่งกวนฮ่าว ซั่งกวนอวี่ไข่ ซึ่งแทบจะไม่ได้ปรากฏตัวบนโต๊ะอาหารค่ำของตระกูลซั่งกวนก็มาร่วมด้วยเช่นกัน
เมื่อซั่งกวนฮ่าวทำเป็นเมินต่อสถานการณ์แบบนี้ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ยิ้มเยาะบางๆ สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยเหมือนปกติ ซั่งกวนหลิงหลงจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จิงอิ๋งกับซั่งกวนอวี่ฮ่าวต่างมองหน้ากันด้วยสายตางงงวยไม่เข้าใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา…สถานการณ์ที่แปลกเช่นนี้ นิ่งเงียบไว้จะดีกว่า
อนุภรรยาทั้งสามแยกกันยืนอยู่ข้างทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างว่าง่าย ซั่งกวนฮ่าวกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออยู่ด้านหลัง เพื่อจัดอาหารให้พวกเขา อนุภรรยาอู๋กับอนุภรรยาหวังคุ้นเคยกันแล้ว อนุภรรยาหนิงมักจะซ่อนตัวอยู่ในเรือนหลังบ้านโดยอ้างว่ารับใช้ฮูหยินใหญ่ จึงไม่ค่อยได้มาเห็นเจ้านายทั้งหลายรับประทานอาหารในลักษณะนี้ แล้วมองดูลูกชายทั้งคู่และลูกสาวของตัวเองนั่งบนโต๊ะอย่างดี แต่ตัวนางเองต้องมารับใช้ผู้อื่นตามกฎระเบียบ นางดวงตาแดงก่ำ มองซั่งกวนฮ่าวอย่างน้อยใจ…ซั่งกวนฮ่าวมองไปที่จิงอิ๋งซึ่งไม่ได้เห็นมาครึ่งเดือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โดยไม่ได้สนใจสายตาของใครๆ…
“จิงอิ๋ง…” ด้วยการรับใช้ของอนุภรรยาหนิง ฮูหยินใหญ่เป็นคนแรกที่กินอิ่ม นางหยุดตะเกียบ แล้วมองไปยังจิงอิ๋งที่กำลังทานอย่างเอร็ดอร่อยเต็มที่อยู่ รู้สึกว่านางมีบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม แต่ก็รู้สึกว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตาของนางเอง นานเกินไปแล้วที่ไม่ได้พูดคุยกับยัยเด็กทโมนคนนี้
จิงอิ๋งวางชามที่ถือไว้ในมือลงอย่างเรียบร้อย กลืนอาหารเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน แล้วค่อยจิบชาคำหนึ่ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรอยู่ในปาก จากนั้นนางก็มองไปที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตรงๆ พลางกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านย่ามีอะไรจะสั่งการหรือเจ้าคะ?”
“แค่กๆ!” ซั่งกวนฮ่าวที่กำลังซดน้ำแกงจึงสำลักพอดี เขารับผ้าเช็ดปากจากอนุภรรยาอู๋ มาปิดปากในขณะที่ไออย่างแรง แล้วก็มองลูกสาวที่เอาแต่ใจมาตลอดด้วยสายตาประหลาดใจ
คนอื่นๆ บนโต๊ะยังดีอยู่ มีจิตใจเตรียมพร้อม รอดูยัยเด็กทโมนว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรตลอดเวลา คนที่ไม่ได้เตรียมจิตใจมาก็มีเพียงซั่งกวนฮ่าวกับซั่งกวนอวี่ฮ่าว ส่วนซั่งกวนอวี่ฮ่าวโชคดีเพราะเพิ่งกลืนอาหารไปพอดี แม้จะตกใจแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการ
“ไม่ได้จะสั่งการ ข้าแค่อยากถามเจ้าว่า อู๋โจวสนุกหรือไม่?” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเช็ดมุมปากอย่างช้าๆ พร้อมกับน้ำเสียงประชดเล็กน้อย
จิงอิ๋งลอบพูดกับตัวเองว่า ‘ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!’ นางลุกขึ้นยืนโดยไม่ลังเล ออกจากที่นั่ง คุกเข่าลงไปทางทั่วป๋าซู่เยวี่ย อย่างคล่องแคล่ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่นางคิดว่าแสดงความจริงใจมากหลายครั้งว่า “จิงอิ๋งไม่ได้บอกใคร และไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโส ไปที่อู๋โจวโดยพลการ ท่านย่าโปรดลงโทษ!”
พี่สะใภ้บอกว่า ‘เมื่อมีผู้สนับสนุนต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวเองอย่างจริงใจ เมื่อทำผิดแล้วปฏิเสธไม่ได้ ย่อมจะมีคนออกหน้ามาช่วย เมื่อไม่มีผู้หนุนหลังจะทำสิ่งนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจะแสร้งโง่ก็ดีหรือตกตะลึงก็ตาม จะต้องไม่ปล่อยให้ผู้อื่นโจมตีได้ ต้องหาวิธีถ่วงเวลาเพื่อให้ผู้คนรอบตัวเข้ามาช่วยในยามคับขันให้ได้ ตอนนี้ท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ใหญ่อยู่ที่นี่ ต่อให้ท่านย่าต้อง การจะลงโทษ ก็ยากจะสมความปรารถนา…’ จิงอิ๋งลอบส่งเสียงคิกคักอยู่ในใจ
พี่ใหญ่ยังบอกอีกว่า ‘ตอนที่ออกจากบ้านครั้งนี้ ท่านย่าโมโหมาก ท่านพ่อท่านแม่ก็โกรธเช่นกัน จะต้องชิงยอมรับผิดก่อน ถ้ามีวี่แววเป็นไปด้วยดี นางก็จะพูดจาดี ต่อให้ท่านพ่อท่านแม่จะโกรธมาก แต่ก็ยังมีพี่ใหญ่คอยช่วยต้านอยู่!’
เมื่อเห็นจิงอิ๋งลุกขึ้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางคิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับทั่วป๋าซู่เยวี่ย ยกเว้นหลิงหลงซึ่งทำตัวไม่ขอเกี่ยวข้อง ถ้าไม่มีเรื่องกังวลหรือเดือดดาลใจนางย่อมมีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่น คอยดูว่านางจะยั่วฮูหยินใหญ่ให้โกรธเกรี้ยวได้อย่างไร เพราะใครๆ ต่างไม่เคยคิดว่าจิงอิ๋งจะสารภาพผิดง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านางจะคุกเข่าลง แม้แต่ซั่งกวนเจวี๋ยที่ขอให้นางยอม รับความผิดในระหว่างทางที่มาก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ แต่ละคนขยี้ตา หยิกแขนแล้วหยิกแขนอีก มักจะรู้สึกว่าฉากนี้แปลกพิลึกพิลั่นและไม่สมจริงเป็นพิเศษ…
จิงอิ๋งเห็นการแสดงออกของทุกคนอยู่ในสายตา ต้องการจะหัวเราะอย่างลำพองใจ แต่…นางรู้ว่าตัวเองยังควบคุมการแสดงออกทางสีหน้าไม่ถึงที่สุด และรู้ว่าผลที่ตามมาจากการเผยพิรุธให้เห็นในเวลานี้นั้นร้ายแรงแค่ไหน นางจึงลดศีรษะลงเล็ก น้อย เพื่อไม่ให้ใครเห็นท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่องในดวงตาและมุมปากที่เชิดขึ้นเล็กน้อยของนาง จากนั้นจึงกัดปลายลิ้นอย่างแรงทีหนึ่ง แต่ควบคุมแรงไม่ดี หลังจากกัดแล้ว จึงรู้สึกเจ็บปวดจนสั่นสะท้าน น้ำตาก็ไหลพรากอาบแก้มไม่หยุด ฉวยโอกาสจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นระบายความคับแค้นใจในใจแล้วพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “ข้ารู้จริงๆ ว่าผิดไปแล้ว…”
“รู้ว่าทำผิดก็ดี!” ก่อนที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยจะมีปฏิกิริยาใดๆ ซั่งกวนฮ่าวก็ดูยุ่งวุ่นวาย จากนั้นกวาดสายตาไปทางม่านซินซึ่งยังคงตกตะลึงอยู่ด้านข้าง พลางกล่าวตำหนิว่า “ไม่เห็นคุณหนูรองคุกเข่าอยู่กับพื้นหรือ? ยังไม่ช่วยพยุงคุณหนูรองขึ้นมาอีก!”
“จิงอิ๋งรู้ว่าท่านพ่อรักจิงอิ๋ง แต่จิงอิ๋งทำผิด ก็สมควรจะได้รับโทษ!” ตอนนี้จิงอิ๋งรู้แล้วว่าการเสนอตัวยอมรับผิดเองโดยมีผู้หนุนหลังนั้นมีประโยชน์ หากนางยังเป็นเหมือนก่อน เถียงคอเป็นเอ็นไม่ยอมรับผิดล่ะก็ ซั่งกวนฮ่าวกับซั่งกวนเจวี๋ยก็จะปกป้องนางเช่นกัน แต่ก็มักจะปรากฏตัวหลังจากที่นางถูกดุหรือถูกทุบตี ไหนเลยจะเหมือนอย่างตอนนี้ เพียงแค่วางมาดเป็นผู้หญิงว่านอนสอนง่าย แล้วก็จะมีคนกระโดดออกหน้ามาช่วย? …คิดแล้วก็นึกขันขึ้นมาในใจ
นางไม่ได้พายเรือตามน้ำลุกยืนขึ้นทั้งที่สถานการณ์เอื้ออำนวย แต่ผลักม่านซินออกไปแล้วพูดกับทั่วป๋าซู่เยวี่ยอย่างจริงจังว่า “จิงอิ๋งทำผิด ท่านย่าโปรดลงโทษ!”
เมื่อเห็นบุตรสาวอันเป็นที่รักที่สุดของเขาคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า ด้วยสีหน้าจริงจังและสมเหตุสมผล หัวใจของซั่งกวนฮ่าวเริ่มยุ่งเหยิงพลางพูดอย่างทุกข์ใจว่า “ลงโทษอะไรกัน แค่เล่นเยอะเกินไป และไปที่อู๋โจวเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกอย่าง ไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ จะถือเป็นความผิดอะไรเล่า! ท่านแม่ จิงอิ๋งเป็นเพียงเด็กน้อยเจ้าอารมณ์ ชอบเล่นชอบก่อเรื่องไปตามประสา ท่านก็อย่าลงโทษนางเลย”
ในขณะที่พูดก็ปรายตาไปที่ม่านซินที่ยังคงนิ่งอึ้งเป็นสากกะเบืออยู่ข้างๆ ยามปกติเป็นสาวใช้ที่ฉลาดหลักแหลม ตอนนี้จะเป็นเหมือนคนโง่ได้อย่างไร…เขาไม่รู้อยู่แล้ว ลูกหัวแก้วหัวแหวนของเขาที่ไม่เคยมีเล่ห์เหลี่ยมมาก่อนจะมาอธิบายเรื่องทั้งหมดที่นี่ นางมีไหวพริบนิดหน่อย อย่าเพิ่งปกป้องเจ้านาย ดูสถานการณ์ให้ชัดเจนแล้วค่อยว่ากัน
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยติดขัดที่หน้าอกหายใจไม่ออก นางพูดอะไรไปบ้าง? นางทำอะไรหรือเปล่า? เพราะไม่ค่อยเห็นจิงอิ๋งจะเป็นฝ่ายยอมรับผิดเอง นางจึงไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ บุตรชายที่มีมโนธรรมของนางบอกว่านางจะตำหนิยัยเด็กทโมนคนนี้งั้นหรือ?…นางยังไม่มีโอกาสได้พูดเลย!
จิงอิ๋งยิ้มเบิกบานอยู่ในใจ มันสนุกขนาดนี้ได้อย่างไร? การได้เห็นท่านย่าที่หยิ่งผยองตกเป็นเบี้ยล่างด้วยตาตัวเองนั้นช่างสบายใจจริงๆ! อย่างไรก็ตาม นางจำคำเตือนของพี่สะใภ้ได้ ‘เมื่อเห็นโอกาสดีให้รีบรับไว้ อย่าปล่อยให้คนอื่นเจ็บแค้น!’
จิงอิ๋งปล่อยหัวเราะ ‘ขำพรืด’ พร้อมกับเช็ดน้ำตาเป็นพัลวัน มองไปเห็นท่านย่าที่โมโหจนสีหน้าเขียวคล้ำ บิดาก็มีท่าทางตกตะลึง นางจึงพูดอย่างฉอเลาะว่า “ท่านพ่อ ท่านย่าไม่ได้พูดอะไรเลย แล้วจะตำหนิลูกได้อย่างไร? ต่อให้ท่านจะรักลูกมาก จะไปปรักปรำท่านย่าก็ไม่ได้!”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของจิงอิ๋งอย่างกะทันหัน หัวใจของซั่งกวนเจวี๋ยก็อึมครึม โดยคิดว่าจิงอิ๋งไม่ได้สงบลง นึกไม่ถึงว่าจะเผยไต๋ออกมา ครั้นเห็นสีหน้าบึ้งตึงของทั่วป๋าซู่เยวี่ยขณะที่จะไกล่เกลี่ยให้ลงเอยกันด้วยดี แต่ได้ยินจิงอิ๋งโกรธซั่งกวนฮ่าว จึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แล้วกลืนคำพูดที่จุกปากลงไปอีก
สีหน้าของทั่วป๋าซู่เยวี่ยผ่อนคลายลงเล็กน้อย คิดๆ ดูก็ตลกอยู่บ้าง ในขณะที่มองดูจิงอิ๋ง จู่ๆ รู้สึกว่านางก็ไม่ได้ขวางหูขวางตามากนัก นิสัยตรงไปตรงมาพูดจาขวานฝ่าซากไปบ้าง ปากไม่มีหูรูดไปหน่อย แต่นางก็ยังเป็นเด็กดี
สีหน้าของซั่งกวนฮ่าวแดงระเรื่อ เขาไม่คิดว่าจิงอิ๋งจะพูดจาผิดปกติอะไรกับทั่วป๋าซู่เยวี่ย จิงอิ๋งเห็นอกเห็นใจผู้คนอยู่ในสายตาของเขามาตลอด (เขาไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ การเอาใจใส่ผู้อื่นของจิงอิ๋งมีไว้สำหรับคนที่รักนางจริงๆ เท่านั้น) เป็นเด็กดีที่บริสุทธิ์และมีจิตใจเมตตา เขาลุกขึ้นพูดงึมงำ โค้งคำนับไปทางทั่วป๋าซู่เยวี่ยจนสุดตัว พลางเอ่ยขอโทษว่า “เป็นความผิดของลูกที่ใจร้อนและปรักปรำท่านแม่ส่งเดช ท่านแม่โปรดลงโทษด้วย!”
ทั่วป๋าซู่เยวี่ยตีหน้าขรึม แล้วกล่าวอย่างบึ้งตึงว่า “ข้าไม่กล้าลงโทษ ข้าไม่ได้พูดอะไรก็โดนเจ้าว่าเสียยกใหญ่ ถ้าจะให้ลงโทษเจ้ากับลูกสาวคนโปรดของเจ้าจริงๆ เจ้าจะไม่โวยกับข้างั้นหรือ!”
“ขอโทษเจ้าค่ะ ท่านย่า! ต้องโทษที่ข้าไม่ได้อธิบายก็น้ำตาไหลเสียแล้ว ท่านพ่อถึงพูดจาส่งเดช” จิงอิ๋งรู้สึกได้ไวมากว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ได้โกรธอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่ขาดไปขั้นตอนหนึ่งเท่านั้นเอง จึงเผยยิ้มอย่างสดใสไปทางทั่วป๋าซู่เยวี่ย พลางพูดขึ้นว่า “ท่านดูสิ ข้ายิ้มเก่งแค่ไหน ท่านก็ยิ้มด้วยกันสิ!”
เมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างอันสดใสบนใบหน้าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาซึ่งยังเช็ดไม่แห้งนั้น หัวใจของทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็อ่อนลง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนี่ก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ที่เติบโตมาด้วยกัน นางจึงจิตใจอ่อนลง ใบหน้าก็ไม่บึ้งตึง ทั่วป๋าซู่เยวี่ย อดยิ้มและดุว่ากล่าวไม่ได้ว่า “ยิ้มอะไรอยู่ได้ ยังคุกเข่าไม่พออีกหรือ? ม่านซิน ไม่ช่วยพยุงคุณหนูของพวกเจ้าให้ลุกขึ้นอีก เห็นแล้วยังไม่รู้หรือว่าข้าจะให้นางทำอะไร!”
“ไม่ต้อง! ไม่ต้อง! ข้าลุกขึ้นเองก็ได้!” จิงอิ๋งรีบลุกขึ้นด้วยตัวเอง ตามลักษณะนิสัยของนาง ถ้าได้ยินการยกโทษแล้วยังไม่ลุกขึ้นจะถือว่าผิดปกติ…นางไม่ได้ลืม พี่สะใภ้เคยบอกว่าควรเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตัวเองในสายตาของคนอื่นนั้นต้องใช้เวลาช้าๆ ใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้[1] เพราะจะทำให้ผู้คนพบความผิดปกติได้ง่าย การแสดงเมื่อตอนเที่ยงไม่ได้ทำให้พี่ใหญ่สงสัยหรอกหรือ?
อย่างกับสาวป่าเกเร! ต่อให้คนจะสงสัยว่าจิงอิ๋งจะแสดงละครอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นท่าทางที่หุนหันพลันแล่นของนาง ก็เอาความสงสัยในใจออกไป ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังคงเป็นคุณหนูรองที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร เพียงแต่ออกจากบ้านไปไกลเที่ยวนี้ แต่งตัวเป็นสาวใช้กลับมา รู้หลักการเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ทว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็เข้าใจทันทีว่าทำไมซั่งกวนฮ่าวกับลูกชายถึงเอาแต่ชอบเด็กลิงป่าเกเรคนนี้ เมื่อมองไปที่นาง ทั้งที่เพิ่งจะยอมรับความผิด และคุกเข่าลง แต่เมื่อรู้ว่านางจะไม่ถูกลงโทษ ก็มีความสุขเหมือนนกกระจาบฝน ลืมความอับอายเมื่อครู่นี้ไปเสียหมดแล้ว นางจะไม่ประจบเอาใจคนอย่างระมัดระวังเท่ากับพิงถิง และจะไม่รุกคืบหรือถอยหนีและพูดจาสวยหรูเหมือนหลิงหลง แต่ใช้ความไร้เดียงสามาทำให้คนอื่นมีความสุขง่ายๆ ไม่ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ ล้วนเป็นเพียงอารมณ์ที่บริสุทธิ์เท่านั้น จึงไม่เหมือนพวกนางที่มักจะมีจุดมุ่งหมายเสมอ
“ช่างเป็นลิงป่าเสียจริง” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยส่ายหัวและเอ่ยคำ แต่นางไม่รู้ว่า แม้ตัวเองจะยังคงดุว่านางเป็นลิงป่า แต่ก็รักโอ๋อยู่แล้ว
“ยังไม่กลับไปที่นั่งอีก” ซั่งกวนฮ่าวพึมพำเบาๆ จิงอิ๋งยิ้มเผล่ แล้วกลับไปที่นั่งอย่างว่าง่าย เมื่อรู้ว่านางแอบออกจากบ้าน เรื่องที่วิ่งไปถึงอู๋โจวก็ถือว่าจบลงด้วยดี รอยยิ้มสดใสก็ปรากฏบนใบหน้าของนางอย่างเป็นธรรมชาติ
“พี่รอง ท่านยังไม่ตอบคำถามของท่านย่าอีกหรือ?” พิงถิงมองไปที่จิงอิ๋งอย่างอิจฉา นึกไม่ถึงเลยว่านางจะได้รับการอภัยง่ายๆ เช่นนี้ เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
ยัยตัวร้ายคนนี้! ทุกคนฟังออกถึงเจตนาที่ไม่ดีในคำพูดของพิงถิง ซั่งกวนฮ่าวจ้องเขม็งมองนางอย่างเหี้ยมเกรียมแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “พิงถิง เวลาทานข้าวไม่พูดคุย เวลานอนไม่ทำเสียงกรนรบกวนผู้อื่น เจ้าไม่เห็นหรือทุกคนยังกินข้าวอยู่?”
“จิงอิ๋งก็พูดเมื่อครู่เช่นกัน!” พิงถิงพูดแบบไม่คิดด้วยความโกรธจนดวงตาแดงฉาน
“นั่นเป็นเพราะท่านย่าถาม ในฐานะผู้น้อยนางควรจะตอบด้วยความเคารพ ยิ่งกว่านั้น เจ้าไม่เห็นว่านางวางชามข้าวกลืนอาหารเข้าปากแล้ว ทั้งยังดื่มน้ำชาแล้วค่อยพูด ส่วนเจ้าล่ะ? เจ้าดูตัวเจ้าสิ ถือชามในขณะที่พูด อ้าปากยังมองเห็นเม็ดข้าวในปาก ไม่มีระเบียบเลยจริงๆ” ซั่งกวนฮ่าวนึกขึ้นได้ทันทีหลังจากตำหนิ เหตุใดถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในตอนแรก คาดไม่ถึงว่าจิงอิ๋งจะมีมารยาทมากเมื่อนางตอบ แต่ทุกคนก็ตกใจกับวิธีการตอบที่เรียบร้อยของนาง นึกไม่ถึงว่าสาวป่าที่เกเรที่สุดจะกลายเป็นตัวอย่างได้จริงๆ
“เอาล่ะ อย่าดุเด็กเลย” ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังคงเข้าข้างพิงถิง เมื่อเห็นว่านางถูกด่าท่อ จึงเอ่ยพูดขึ้นทันที “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าจิงอิ๋งไปทำอะไรในอู๋โจวบ้าง? แต่ก็หายากที่คนในครอบครัวจะมารวมตัวกันทานข้าว กินข้าวเสร็จแล้วค่อยพูดกันเถอะ”
จิงอิ๋งเพิ่งหยิบอาหารเข้าปากไปคำหนึ่งเมื่อครู่นี้ ในขณะที่ได้ยินคำพูดนี้ นางไม่ได้เคี้ยวอาหาร แต่ปิดปากแน่นสนิท แล้วพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา…
ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปที แม้ทั่วป๋าซู่เยวี่ยยังคงต้องการทราบข่าวคราวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จากปากของจิงอิ๋ง แต่ก็ปล่อยผ่านเรื่องที่จิงอิ๋งแอบออกจากบ้านไป ในที่สุดเด็กสาวที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงคนนี้ก็เรียนรู้จะเป็นเด็กดีแล้ว…
———————————-
[1] ใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้ อุปมาว่า ต้องมีความอดทนรอคอย เพื่อจะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จลงได้ รีบร้อนแล้วจะเสียเรื่อง หรือช้าๆ ได้พร้าสองเล่มงาม