เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 28 เมื่อข่าวลือชนกัน…

“พี่จิงอิ๋ง พี่สะใภ้เจวี๋ยเก่งมากเลยหรือ?” เด็กหญิงตัวน้อยที่มีใบหน้าทะเล้นมองไปที่ซั่งกวนจิงอิ๋งอย่างสงสัยแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ไม่ได้บอกว่านางเก่ง เพียงแค่บอกว่าเดินทางราบรื่น ไม่มีเหตุไม่คาดฝันอะไร”

“ข้าจะโกหกเจ้าได้หรือ” จิงอิ๋งมีสีหน้าเจ็บปวด ในดวงตาฉายแสงอันน่าสงสัย หากซั่งกวนฮ่าวกับลูกชายพบเข้า ย่อมจะเชื่อนางโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย แต่น่าเสียดายที่คนที่นางได้เผชิญหน้าด้วยไม่ใช่พ่อและพี่ชายที่ใจอ่อนเมตตานาง

เด็กหญิงตัวน้อยไม่ขยับเขยื้อน ยังพยักหน้ายืนยันแล้วพูดยกตัวอย่างว่า “ครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน เจ้ายังหลอกข้าอยู่เลย! เจ้าบอกว่าจะพาข้าไปอู๋โจว แต่จบลงที่เจ้าได้ติดตามท่านพ่อไปจากปากของข้า แล้วทิ้งข้าไปเสียเอง ทำให้ข้าไม่เพียงไม่ได้ไปด้วย ทั้งยังโดนท่านแม่เล่นงานอีกต่างหาก!”

“นั่นเป็นเพราะว่า…” จิงอิ๋งรู้สึกว่านางต้องอธิบายให้กระจ่าง

“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” เด็กหญิงตัวน้อยดูไม่ไว้วางใจแล้วพูดว่า “คำอธิบายก็คือการปกปิด! ข้าจะไม่เชื่อเจ้าจนกว่าข้าจะได้เห็นพี่สะใภ้เจวี๋ยก่อน!”

“สิ่งที่ข้าพูดเป็นความจริง!” จิงอิ๋งกระโดดอย่างกระวนกระวาย นางรีบร้อนมาป่าวประกาศให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในแง่ดีที่ตระกูลซั่งกวน แต่เด็กน้อยตรงหน้าคนนี้ไม่เชื่อเลย แล้วใครยังจะเชื่อนางอีกเล่า

“พูดปากเปล่าไม่มีหลักฐาน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ามีประวัติเสียกี่ครั้งแล้ว เจ้าจะให้ข้านับหรือไม่?” เด็กหญิงตัวน้อยยื่นนิ้วออกมาอย่างชาญฉลาด ดูเหมือนเตรียมจะนับคิดบัญชี

“แล้วต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะเชื่อ?” จิงอิ๋งหมดปัญญากับนาง คำโบราณกล่าวว่าสิ่งหนึ่งย่อมข่มอีกสิ่งหนึ่งเพราะแพ้ทางกัน เด็กซั่งกวนหลิงลี่คนนี้ทั้งฉลาดทั้งร้ายกาจ ฝีมือในการเล่นลูกไม้ก็ยิ่งสูงขึ้นอีกระดับ จิงอิ๋งจึงยังไม่มีวิธีจัดการนางจริงๆ

“เว้นแต่ข้าจะเห็นด้วยตาตัวเอง ได้ยินกับหู มิฉะนั้น…เหอะ ข้าไม่มีทางเชื่อ!” หลิงลี่พูดอย่างจริงจัง อันที่จริงไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อคำพูดของจิงอิ๋ง เพราะนางรบเร้าสอบถามท่านพ่อมาเมื่อวานนี้ แม้จะเป็นเพราะมีความแตกต่างระหว่างชายหญิง จึงไม่ได้ติดต่อใดๆ กับพี่สะใภ้เจวี๋ย และไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ของพี่สะใภ้เจวี๋ย จากการสนทนาและกิริยามารยาทของพี่สะใภ้เจวี๋ย ก็สามารถรู้ได้ว่าพี่สะใภ้เจวี๋ยเป็นผู้มีความรู้ รู้จักกาลเทศะดี แต่…เพราะพี่จิงอิ๋งออกจากบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต เลยลากตัวเองเข้าไปพัวพันด้วย จึงโดนท่านแม่ตีไปสองสามครั้ง แล้วยังถูกกักบริเวณเป็นเวลาครึ่งเดือน จนกระทั่งท่านพ่อกลับบ้านเมื่อวานนี้จึงยกเลิกคำสั่ง ถึงอย่างไรก็ไม่อาจให้อภัยพี่จิงอิ๋งได้อย่างง่ายดาย อีกอย่าง…เด็กหญิงตัวน้อยแอบหัวเราะ นางอยากเห็นว่าพี่สะใภ้เจวี๋ยเป็นอย่างไร แต่นางเคยบอกว่า เมื่อโตขึ้นจะเป็นเจ้าสาวให้กับพี่เจวี๋ย ถ้าพี่สะใภ้เจวี๋ยดีจริง ก็จะมอบพี่เจวี๋ยให้นาง ไม่งั้น หึ นางจะชิงพี่เจวี๋ยกลับมาให้ได้

“แต่ท่านแม่เคยเตือนอย่างจริงจังว่า ก่อนจัดงานแต่งงานของพี่ใหญ่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ไปเรือนสดับวายุเพื่อรบกวนพี่สะใภ้ หากถูกจับได้ จะถูกลงโทษอย่างหนัก!” จิงอิ๋งไม่ได้พูดปัดภาระให้คนอื่น หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ต้องการให้หลิงหลงถูกอู๋เลี่ยนเยี่ยนผู้เจ้าเล่ห์เพทุบายและถนัดเล่นละครตบตามาหลอกใช้ ถ่อไปที่เรือนสดับวายุแล้วพูดบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์ แล้วจะส่งผลกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยไม่ต้องพูดถึง ซ้ำยังทำร้ายความสัมพันธ์ในระหว่างญาติของพี่สะใภ้ จึงต้องเตือนทุกคนอย่างเฉียบขาด

ถ้าเป็นในอดีต เมื่อเข้าหูซ้ายของจิงอิ๋งจะทะลุออกหูขวา จะไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลย แต่…พี่สะใภ้บอกว่า ทำผิดได้ไม่เป็นไร แต่ต้านกระแสลมไม่ได้ นั่นคือให้จับมาเป็นอุทาหรณ์ เมื่อถึงเวลาสำคัญ จงเชื่อฟังบ้างมักจะถูกต้องเสมอ นางก็คิดเช่นกันว่า ยามปกติมักจะทำผิดพลาด บ่อยครั้งที่เรื่องใหญ่เปลี่ยนเป็นเรื่องเล็กและเรื่องเล็กก็มลายหายไป ไม่มีผลร้ายแรงอะไร ส่วนใหญ่จะถูกพ่อแม่ว่ากล่าวลงโทษให้ยืนบนเสาดอกเหมย แต่ในช่วงวิกฤตินั้นแตกต่างกัน จะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ และจะถูกตีแผ่เป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นเรือนสดับวายุ ไม่ใช่เพราะปะทะด้วยน้ำมือของฮูหยินใหญ่หรอกหรือ?

“ข้าแน่ใจว่าเจ้ากำลังโกหก” หลิงลี่พูดเว้นทีละคำ ใบหน้าแดงขึ้นด้วยความโกรธ พี่จิงอิ๋งก็ไม่ดีเช่นกัน นึกไม่ถึงว่านางจะใช้คำพูดของฮูหยินใหญ่มาขายผ้าเอาหน้ารอด นั่นก็เหมือนกับอู๋เลี่ยนเยี่ยนหญิงสารเลวและพิงถิงยัยเด็กจอมขี้ฟ้องถึงจะทำเรื่องนั้นได้

“ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ! ข้าสาบานต่อฟ้าได้ ถ้าข้าโกหกเจ้า ขอให้กลายเป็นลูกหมาทันที!” จิงอิ๋งกังวลใจ นางยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิงลี่ที่อยู่ดีๆ ถึงโกรธขนาดนั้น

“แต่เจ้าพูดด้วยน้ำเสียงผิดปกติ มีเพียงพิงถิงเท่านั้นที่ไม่ทันไรก็จะใช้คำพูดของฮูหยินใหญ่มากดดันผู้คน เช่นเดียวกับหญิงเลวอย่างอู๋เลี่ยนเยี่ยนคนนั้น ไม่ทันไรก็จะพูดฉอดๆ ไหนใครว่าอะไรก็ไม่ยอม ทำไม…” หลิงลี่เชื่อแล้ว แต่กลับอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง

“นั่นเป็นเพราะท่านแม่…เอาล่ะ ข้าจะพูดตรงๆ” จิงอิ๋งมองแววตาที่กังขาของเด็กตัวน้อย รู้ว่าตัวเองแสดงเป็นลูกที่น่าเอ็นดูต่อหน้านางไม่ได้ จึงกล่าวตามตรงว่า “นั่นเป็นเพราะตอนนี้ข้าเข้าใจหลักการข้อหนึ่ง นั่นก็คืออย่าทำผิดมหันต์ในช่วงเวลาสำคัญ หลิงลี่ เจ้าคิดให้ดี ท่านแม่เพิ่งบอกว่าไม่ควรไปรบกวนพี่สะใภ้โดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วเราก็วิ่งไปดูพี่สะใภ้ที่เรือนสดับวายุ ไม่เพียงจะถูกจับได้ง่ายที่สุดเท่านั้น ตอนที่ไก่ตัวนั้นถูกจับได้ยังโดนเอามา ‘เชือดให้ลิงดู’ อีกด้วย คุ้มค่าอย่างนั้นหรือ?”

“นั่นสินะ!” หลิงลี่เด็กแก่แดดและฉลาดกว่าจิงอิ๋งมาก พอได้ยินก็รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่นางอยากเห็นพี่สะใภ้เจวี๋ยมากจริงๆ ทว่า…เด็กฉลาดก็คือเด็กฉลาด ลูกนัยน์ตาของนางกลอกไปมา เกิดความคิดขึ้นทันที สาวน้อยจึงกระซิบกระซาบกับจิงอิ๋งในคราวนี้ว่า…

จิงอิ๋งดวงตาเปล่งประกายพยักหน้าระรัว จากนั้นเรียกสาวใช้ใหญ่ข้างๆ นางที่ชื่อว่าม่านซินให้เข้ามา แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ม่านซิน เรียกสาวใช้ปากเสียที่ชอบนินทามากที่สุดคนนั้นมาให้ข้า!”

ม่านซินสะดุ้งเล็กน้อยพลางคิดไปว่านางคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นใช่ไหม? แต่นางทำได้แค่ก้มหน้าลงแล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “คุณหนูเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ? ใครทำให้ท่านโกรธ?”

“เจ้าว่าไงนะ?” จิงอิ๋งตีหน้าขรึมพลางกล่าวว่า “เจ้าเป็นสาวใช้ชั้นหนึ่งมือดีสุดที่อยู่เคียงข้างข้า แต่อะไรนะ? รู้ทั้งรู้ว่านางเป็นคนปากเสีย และไม่ได้มีระเบียบวินัยดี ให้นางพูดนินทาเจ้านายลับหลัง เจ้ายังไม่เรียกนางเข้ามาหาข้าอีก!”

“คุณหนู แม้สุ่ยอวิ๋นจะชอบพูด แต่ก็รู้จักที่ต่ำที่สูง บ่าวไม่รู้ว่านางทำผิดอะไรลงไปแต่…คุณหนู ขอร้องท่านเห็นแก่ที่นางยังเด็กอยู่ โปรดยกโทษให้นางสักครั้งเถอะ!” ในที่สุดม่านซินก็ร้อนใจ แล้วพูดว่าในบรรดาเจ้านายทุกคน รับใช้คุณหนูรองสบายใจที่สุด ไม่มีเรื่องอะไรให้เหนื่อยกายเหนื่อยใจ คุณหนูรองก็เป็นคนใจดี ไม่ดุด่าอย่างรุนแรง เบี้ยหวัดก็ไม่น้อย สุ่ยอวิ๋นเป็นลูกผู้น้องของนาง นางยังมองเห็นความฉลาดของสุ่ยอวิ๋น จึงคิดหาวิธีนี้ เชื่อใจในความสัมพันธ์ ให้สุ่ยอวิ๋นอยู่รับใช้คุณหนูรอง เพียงแต่สุ่ยอวิ๋นยังเด็ก ชอบสนุกสนาน มีพี่สาวน้องสาวหลายคนที่เติบโตมาด้วยกันในจวน เมื่อไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ก็จะชอบจับกลุ่มซุบซิบนินทาด้วยกัน นางเคยเตือนหลายครั้งก็ไม่มีประโยชน์ คุณหนูรองก็ไม่ได้สนใจ จึงไม่ได้ควบคุมอย่างเข้มงวด แต่คุณ หนูรองเพิ่งกลับมา สุ่ยอวิ๋นก็ไม่มีโอกาสออกไปจากเรือน แล้วจะเกิดความผิดพลาดได้อย่างไรเล่า?

ที่แท้ยังมีคนปากเสียอย่างนี้อยู่ข้างๆ นางจริงด้วย! จิงอิ๋งถลึงตาจ้องมองไปที่ม่านซินอย่างจริงจัง โดยไม่พูดอะไรสักคำ

“คุณหนู…” ม่านซินไม่เคยเห็นท่าทางของจิงอิ๋งแบบนี้มาก่อน ในใจก็จับต้นชนปลายไม่ถูก จึงงึมงำพูดว่า “บ่าวจะเรียกนางเข้ามาเจ้าค่ะ!”

“พี่จิงอิ๋ง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าสุ่ยอวิ๋นคนนั้นชอบนินทา?” หลิงลี่สะกิดจิงอิ๋งอย่างชื่นชมมาก แต่นางไม่เคยเห็นว่าจิงอิ๋งจะคิดละเอียดรอบคอบเช่นนี้

“ข้าก็เพิ่งรู้เหมือนกัน!” จิงอิ๋งขยี้ตาอย่างเหนื่อยใจ!

“อ่า?” แม้หลิงลี่จะสติปัญญาดี แต่อันที่จริงก็เป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อยอายุเก้าขวบเท่านั้น ไหนเลยจะรู้เล่ห์เหลี่ยมมากมายขนาดนี้ แล้วรอให้จิงอิ๋งอธิบายส่วนที่ไม่เข้าใจและสงสัย

“พี่สะใภ้บอกข้าว่า คนที่จะเป็นสาวใช้ใหญ่ชั้นหนึ่งได้นั้นล้วนฉลาดหลักแหลม บางครั้งพวกนางก็เข้าใจความชอบของตัวเองดีกว่าเจ้านายเสียอีก และสามารถจัดการสาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ลำดับล่างได้ดีกว่าเจ้านายอีกด้วย รับมือกับสาวใช้และแม่นมที่อยู่ข้างกายเจ้านายแต่ละคนได้ ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าสาวใช้พวกนั้นที่อยู่รอบตัวข้าจะน่าทึ่งขนาดไหน และทำอะไรได้บ้าง แต่ ม่านซินอยู่กับข้ามาสามปีแล้ว และได้รับคัดเลือกจากแม่นมเฝิงมาอย่างดี จึงจัดการกับสาวใช้อื่นๆ ได้อย่างแน่นอน เจ้าไม่ได้บอกให้หาคนมากระจายข่าวลือหรอกหรือ? ข้าไม่รู้ว่าใครจะเหมาะสม แต่คนที่ยามปกติชอบพูดเรื่องไร้สาระและหูเบาย่อมต้องใช้งานได้ดีเป็นแน่ จึงโกหกม่านซินไป ทว่าคาดไม่ถึงว่านางจะร้อนตัว สารภาพว่าเป็นสุ่ยอวิ๋น!” จิงอิ๋งก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะคล่อง ตัวขนาดนี้ ดังนั้นนางจึงพอใจมาก

“ปลิ้นปล้อนจริงนะ” หลิงลี่มองไปที่นางด้วยความชื่นชม พร้อมกับขยิบตาน้อยๆ จากนั้นก็พูดอย่างงงๆ ว่า “เจ้ายักคิ้วหลิ่วตาทำไม?”

“ข้ายักคิ้วหลิ่วตาเพราะข้าเมื่อยตาต่างหาก!” จิงอิ๋งกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ ตอนที่ข้าคิดในใจ ลูกนัยน์ตาก็จะกลอกไปมา จะมองออกว่าคิดอะไรในใจได้ง่ายมาก…ดังนั้น ข้าแค่พยายามจ้องเขม็งไปที่จมูกของม่านซิน จากนั้นก็หยุดกลอกตา”

“พี่สะใภ้เจวี๋ยก็สอนเจ้างั้นหรือ?” หลิงลี่มองไปที่จิงอิ๋งและพยักหน้าพลางอุทานว่า “พี่สะใภ้เจวี๋ยฉลาดมาก ข้าอยากเจอนางเสียแล้วสิ!”

“คุณหนู บ่าวรู้ว่าผิด คุณหนูได้โปรดยกโทษให้ด้วยเจ้าค่ะ!” สุ่ยอวิ๋นเดินตามหลังม่านซินเข้ามาอย่างสั่นเทา นางนึกไม่ถึงว่าคุณหนูที่เอาแต่เล่นมาตลอดจะรู้ความผิดพลาดของตัวเองจริงๆ ในใจทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัว

“รู้ว่าผิดหรือ? เจ้าบอกมาสิว่าเจ้าทำผิดตรงไหน?” จิงอิ๋งกลับประหลาดใจเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เด็กหญิงคนนี้ทำอะไรบางอย่างที่ผิดต่อตัวเองไว้?

“บ่าวไม่ควรคุยกับพี่น้องในเรือนอื่นๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับคุณหนูตอนกลับมาเมื่อวานนี้ แต่บ่าวไม่ได้พูดอะไรเสียหายกับคุณหนู เพียงแค่บอกว่าเติบโตขึ้น พูดจาทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่ได้พูดอะไรที่ไม่ดีกับคุณหนู…คุณหนูผู้ปราดเปรื่อง!” สุ่ยอวิ๋นพูดวิงวอน แต่นางก็แน่ใจแล้วว่า คุณหนูออกไปเที่ยวนี้โดนมนต์ดำดังคาดจริงๆ คนทั้งร่างก็เปลี่ยนไปเลย!

“ข้าก็ไม่ใช่คนที่ชอบจุกจิกจู้จี้ และไม่ถือสาความผิดของเจ้าในเรื่องก่อนหน้านี้ แต่…” จิงอิ๋งจ้องถมึงทึงที่นางแล้วพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ต่อไปถ้าข้ารู้ว่าเจ้ายังควบคุมปากของเจ้าไม่ได้ล่ะก็ ข้าจะส่งเจ้าออกไป!”

“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ!” สุ่ยอวิ๋นถอนหายใจด้วยความโล่งอกไปที ดูท่าคุณหนูยังคงเป็นคุณหนูคนเดิมก่อนหน้านี้ และเป็นเจ้านายที่ดี

“เดี๋ยวเจ้าจะได้เวลาแลกเปลี่ยนข่าวสารกับพวกพี่น้องของเจ้าแล้วใช่ไหม พูดคุยเรื่องต่างๆ ในจวน มีความคิดเห็นของตัวเองแล้วหรือยัง?” จิงอิ๋งไม่ได้มองสีหน้าของนาง แล้วพูดในสิ่งที่ครุ่นคิดไว้ออกมาในรวดเดียว

“บ่าวมิกล้า!” สุ่ยอวิ๋นโขกศีรษะอย่างอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย ถ้านางยังกล้าออกไป เกรงว่าคุณหนูจะไม่พูดอะไร ม่านซินก็จะฉีกปากของนางเสียก่อน

“เจ้าควรไปซะ! ถ้าไม่ไปละก็ ไม่งั้นคนจะพูดว่าพอข้ากลับมาก็รังแกพวกเจ้าทันที แต่มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องไปพูดให้เหล่าสาวใช้ที่ชอบคุยโวพวกนั้นฟังว่า…” จิงอิ๋งเตรียมจะเล่าข่าวลือที่หลิงลี่ให้แพร่กระจายกับสุ่ยอวิ๋น แล้วกล่าวว่า “ถ้าเจ้าทำงานนี้ได้ดี ข้าจะมีรางวัลให้ ถ้าทำไม่ได้ล่ะก็ ม่านซินจะจัดการไปตามสมควร!”

“บ่าวจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวัง จะทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงจนได้เจ้าค่ะ!” เมื่อสุ่ยอวิ๋นได้ยิน นั่นคืองานที่นางถนัดที่สุด จึงตบอกรับประกันโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย…

————————-

หลังจากม่านซินปล่อยผ่านความวิตกกังวลไป สุ่ยอวิ๋นก็มาถึงสถานที่นัดพบซึ่งในยามปกติจะชอบแลกเปลี่ยนข่าวคราว วิพากษ์วิจารณ์ และถือโอกาสยุให้รำตำให้รั่วซึ่งคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ณ ที่แห่งนั้นข่าวลือได้แพร่กระจายจนถึงที่สุดแล้ว สุ่ยเหยาสาวใช้ชั้นสองประจำตัวของซั่งกวนเจวี๋ยได้นำข่าวที่น่าตกใจมาด้วย…นั่นคือหญิงงามที่เป็นแขกสามคนซึ่งอาศัยอยู่ในเรือนทางใต้ถูกซั่งกวนเจวี๋ยส่งไปพักชั่วคราวที่เรือนหิมะสุขใจด้วยตัวเองในเช้าตรู่ของวันนี้ ยังไม่มีกำหนดวันเดินทางกลับ!

นั่นเป็นข่าวใหญ่เชียว แม้จะไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่คิดอย่างไรกับหญิงงามที่เป็นแขกทั้งสามคนนั้นกันแน่ แม้แต่คนตาบอดก็ยังมองออกว่า ‘จอมยุทธ์หญิง’ ทั้งสามต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยตาปริบๆ ที่จะได้เข้าไปในเรือนด้านตะวันออก ส่วนว่าที่ภรรยาคุณชายใหญ่เพิ่งมาถึงลี่โจว นางพักอยู่ที่เรือนสดับวายุตอนเที่ยงของเมื่อวานนี้ แล้วก็ส่งแขกหญิงงามทั้งสามออกไปตั้งแต่เช้า ในนั้นจะยังมีเหตุผลอะไรอยู่อีกเล่า?

สุ่ยอวิ๋นเฝ้าดูบรรดาพี่น้องคุยกันอย่างออกรสออกชาติ จึงอดเข้าไปร่วมวงไม่ได้ จากนั้นก็โยนข่าวลือที่นางเตรียมมาแพร่กระจายออกไปอย่างลึกลับเต็มไปด้วยปริศนา ผลคือ…

ในยามที่ข่าวลือปะทะกับความจริง…หากข่าวลือถูกมองออก ความจริงก็จะเปิดเผยต่อใต้หล้า หรือไม่อย่างนั้น หากความจริงถูกปิดบัง ข่าวลือก็จะสัมฤทธิ์ผล แต่ว่า…ถ้าข่าวลือชนกับความจริงที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกันอยู่บ้างเล่า?

—————————————————–

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset