“อู๋น่งอวิ๋นนับว่ามีตำแหน่งอยู่ในตระกูลซั่งกวนอยู่บ้าง” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้ประเมินอีกฝ่ายต่ำไป แต่กล่าวไปตามจริง “นางจัดการเรื่องในจวนที่ซับซ้อนได้อย่างมีชั้นเชิง ทั้งยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็เท่านั้น! ตระกูลซั่งกวนอย่างไรก็เป็นตระกูลเก่าแก่ที่มีมาแต่ช้านาน มีกฎระเบียบอยู่มากมาย สิ่งที่อู๋น่งอวิ๋นทำให้ได้ก็เพียงเพิ่มเงินให้กับบ่าวบางคน ขับไล่บ่าวที่ไม่ฟังคำสั่งนางและไม่มีเจ้านายคอยคุ้มกะลาหัวออกไป หรืออาจจะนำบ่าวที่รู้จักมักคุ้นกับนางพวกนั้นฝากเข้าไว้ในจวน แต่จะสามารถได้รับความสนใจจากเจ้านายหรือไม่นั้น กลับเป็นเรื่องที่นางไม่อาจควบคุมได้”
“เช่นนั้นการซื้อขายในจวน การใช้จ่ายของเจ้านายแต่ละคนและการเลี้ยงดูปูเสื่อนั้น นางสามารถแทรกแซงได้แค่ไหนกันเจ้าคะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้กังวลเรื่องพวกนั้น สิ่งที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดมาเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สลักสำคัญอันใดเท่านั้น
“เรื่องของการซื้อขาย การใช้จ่ายไม่เกี่ยวข้องกับนาง แต่เป็นความรับผิดชอบของพ่อบ้าน กิจธุระเล็กใหญ่ในตระกูลซั่งกวนจะมีพ่อบ้านเก้าคนคอยดูแล ซั่งกวนจิ่นเป็นหัวหน้าพ่อบ้าน การจับจ่ายล้วนเป็นความรับผิดชอบของเขา พวกเราต้องการอะไรก็เป็นเขาที่ติดต่อกับตระกูลพ่อค้าพวกนั้น มาให้เลือกถึงหน้าประตูบ้าน ที่ดิน บ้าน ร้านค้าล้วนขึ้นอยู่กับซั่งกวนจิ่นเป็นคนจัดการ กระนั้นเขาก็รู้จักกระจายอำนาจ เรื่องเหล่านั้นเขาก็มอบให้พ่อบ้านคนอื่นๆ และผู้ดูแลแต่ละคนไปทำเช่นกัน เพียงแต่คอยควบคุมทิศทางหลักของเรื่องเท่านั้น ซั่งกวนจิ่นเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลซั่งกวน มีตำแหน่งในตระกูลซั่งกวนเป็นรองเพียงนายท่าน ทั้งยังมากกว่าน้องชายลูกอนุภรรยาของนายท่านพวกนั้นเสียอีก!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างดีใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เหมือนกับลูกสาวทั้งสองของตนที่ไม่รู้เรื่องพื้นฐานอะไรเลย
“เช่นนั้นผู้ที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องรับมอบของขวัญคือใครเจ้าคะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในเวลานี้ ไม่ใส่ใจว่าตนอาจจะแสดงความสามารถมากไป นางเกิดในตระกูลพ่อค้า หากจะแสดงความสามรถทางด้านนี้ก็นับเป็นเรื่องที่สมควร
“เดิมทีเป็นป้าผู้นั้นของข้าที่ดูแล หลังจากที่นางตามพ่อสามีไปแล้ว ซั่งกวนจิ่นก็ได้รับช่วงต่อ” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกละอายใจอยู่บ้าง จริงๆ แล้วควรจะเป็นนางที่ดูแลเรื่องนี้ เสียดายที่เดิมนางก็ไม่มีความสามารถในการจัดการ
เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากจะถามมากว่า แล้วหวงฝู่เยวี่ยเอ้อสามารถจัดการอะไรได้บ้าง แต่ก็ยังอดกลั้นไว้ได้ จึงทำเพียงผงกศีรษะอย่างเงียบๆ เท่านั้น
“แต่การไปมาหาสู่กับตระกูลใหญ่ๆ นั้นอยู่ในความรับผิดชอบของข้า” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็รู้สึกว่าตนเองแทบไม่มีเรื่องน่าสนใจเช่นกัน จึงหาเรื่องที่ตนเองพอจะแสดงฝีมือได้ออกมาพูด “ข้าได้ปรึกษากับนายท่านแล้ว รอเจ้าเข้าตระกูลมา กิจธุระในมือของอู๋น่งอวิ๋น งานในมือของข้าและเรื่องที่เคยปฏิบัติสืบต่อกันมาก็ล้วนจะค่อยๆ ส่งมอบให้กับเจ้าทั้งหมด”
ที่แท้ตัวนางเองก็เป็นตัวหมากที่ชิงอำนาจ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงพยักหน้าอย่างไร้เสียง
“เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้าจึงต้องสอดมือเรื่องอู๋เลี่ยนเยี่ยน!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพูดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง “ข้ารู้ว่านั่นเป็นเพราะหลิงหลงถูกดึงไปเกี่ยวพันด้วย ที่เจ้าทำก็เพราะปรารถนาดีต่อนาง แต่ว่าเจ้ายังไม่รู้จักนิสัยของอู๋เลี่ยนเยี่ยนหญิงแพศยาผู้นั้นดี เพราะยามนี้นางเข้าตาจน ไร้ทางที่จะไปจึงได้ยอมให้ความร่วมมือกับเจ้า หากนางได้มีโอกาสพลิกตัวขึ้นมา นางก็จะแว้งกัดเจ้าอย่างไม่ลังเลสักนิด! อีกทั้งเจ้ารู้หรือไม่ว่า ‘สาวใช้ที่ทดลองอยู่ก่อนแต่ง’ ที่เจ้ากล่าวออกมา ก่อให้เกิดผลกระทบมากมายเพียงใด?” จะเกิดผลกระทบอะไรได้อีก? เว้นเสียแต่จะทำให้คนสงสัยซั่งกวนเจวี๋ยว่า ‘มีโรคที่ปิดบัง’ อยู่จริงๆ ให้ซั่งกวนเจวี๋ยจำใจต้องลิ้มรสความขื่นขมของเหล้าทั้งเกลียดตนก็แล้วไป! เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบกล่าวในใจกับตนเอง นางย่อมไม่อาจพูดออกไปได้ว่า นั่นเป็นการจงใจ ใครใช้ให้นางไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อซั่งกวนเจวี๋ยเลยล่ะ!
“ที่จริงแล้ว มี่เอ๋อร์ก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของตระกูลซั่งกวน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเสียใจและจนใจอยู่บ้าง “ข้ากระจ่างใจดีหากข้าไม่ทำอะไรก็สามารถปลีกตัวจากเรื่องนี้ได้ ไม่ต้องแปดเปื้อนน้ำโคลนพวกนั้น ถึงขนาดคิดมาดีแล้วว่าจะปลอบใจหลิงหลงและจิงอิ๋งอย่างไร เพียงแต่ คำพูดปฏิเสธยังไม่ทันหลุดออกจากปาก ก็ถูกท่าทีของหลิงหลงนั้นต้อนกลับไปเสียแล้ว!”
“นางข่มขู่เจ้าใช่หรือไม่?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อหลุดปากออกไป แม้ว่าหลิงหลงจะเป็นลูกสาวแท้ๆ ของนาง แต่ความเข้าใจที่นางมีต่อหลิงหลงจำกัดเพียงคำว่า ‘ทวงหนี้บุญคุณ’ สี่คำนี้เท่านั้น นอกจากนี้ก็สิ่งที่รู้ก็เป็นเรื่องเพียงผิวเผิน
“ไฉนฮูหยินจึงพูดเช่นนี้ออกมาเจ้าคะ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปรากฎความตกใจทั่วทั้งใบหน้า ครั้งนี้ไม่ใช่การเสแสร้งแต่อย่างใด แต่นางไม่เข้าใจ การเป็นแม่คนจะไม่เข้าใจลูกสาวของตนได้อย่างไร? นางนั้นแม้จะแค่กลอกลูกตา จงเสวี่ยฉิงก็รู้แล้ว หรือไม่ก็จะพูดว่านางต้องการสิ่งใด เรื่องที่นางฝึกวิทยายุทธ์กับป้าโม่ นางเชื่อว่าท่านแม่เพียงไม่คิดจะเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่อย่างไรก็ไม่เหมือนกับป้าโม่ที่คิดว่าตัวเองได้ปิดบังท่านแม่ไว้ได้แน่
“เฮ้อ…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเห็นท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงชะงักไป นางอยากจะพูดว่านางรู้จักว่าหลิงหลงเป็นคนอย่างไร แต่ก็ถูกใบหน้าที่ตกใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์หยุดไว้เสียก่อน
“ข้าไม่รู้ว่าระหว่างฮูหยินและหลิงหลงเป็นเรื่องอย่างไรกันแน่ และก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลิงหลงและอนุภรรยาอู๋จึงสนิทสนมถึงเพียงนั้น แต่กลับห่างเหินกับท่านเช่นนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยากที่จะกล่าวออกมาตรงๆ “บางทีอาจจะเป็นเพราะแม่ของข้า ข้าจึงมักรู้สึกว่าใต้หล้าแห่งนี้ไม่มีอะไรจะสนิทสนมไปมากกว่าสายใยสัมพันธ์ของแม่ลูกอีกแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูด เพียงแค่ใช้แววตา การเคลื่อนไหวหรือคำพูดประโยคเดียว ก็สามารถรู้ได้แล้วว่าอีกฝ่ายมีอารมณ์ความรู้สึกเป็นอย่างไร สามารถรู้ได้ถึงความ คิดของกันและกัน เป็นคนที่ไม่อาจเข้าใจผิดกันได้!”
“ข้าไม่ได้สนิทสนมกับหลิงหลง!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างขมขื่น “ยามที่ข้าท้องนาง อู๋น่งอวิ๋นมีโอกาสขึ้นเตียงกับนายท่านไม่ว่า ยังเอาเรื่องที่ข้าไม่อาจพูดตรงๆ ได้ไปบอกกับนายท่านโดยไม่ปรานีสักนิด ทำเอาข้าแทบจะแท้งอยู่รอมร่อ แม้ว่าต่อมาจะให้กำเนิดได้อย่างปลอดภัย แต่ก็พบกับภาวะคลอดบุตรยากจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด หลังจากนางกำเนิดออกมา ข้าก็นอนป่วยอยู่บนเตียงนานถึงครึ่งปี ยามที่ข้าพบนางก็มักจะคิดถึงภาพที่ตนเองไปป้วนเปี้ยนแถวหน้าประตูผีเช่นนั้น เดิมทีก็ไม่อาจรักใคร่อย่างลึกซึ้งได้ รอหลังจากที่ข้ารักษาอาการดีแล้ว ก็มีจิงอิ๋งและอิงเอ๋อร์ตามมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนนางก็ได้สนิทสนมกับอู๋น่งอวิ๋นราวกับเป็นแม่ลูกเสียแล้ว ด้านข้าก็ยอมแพ้ไป”
“แท้จริงแล้วหลิงหลงและอนุภรรยาอู๋ไม่ได้สนิทสนมอย่างที่ท่านคิดถึงเพียงนั้น” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างมั่นใจ “อย่าพูดเลยว่าที่อนุภรรยาอู๋เข้าใกล้หลิงหลงก็เพราะมีจุดประสงค์ แม้ว่าจะไม่มีจุดประสงค์ ก็ไม่อาจสนิทสนมได้เท่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดของแม่ลูกได้หรอกเจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงพูดเช่นนี้เล่า?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับไม่กล้าเชื่อมั่น
“ฮูหยินคงจะรู้ว่าข้ามีคนที่คอยเลี้ยงดูคนหนึ่ง เป็นคนที่รักข้าด้วยหัวจิตหัวใจอย่างแท้จริง” ยามที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดถึงป้าโม่ก็น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างอดไม่ไหว “ขอเพียงแค่ข้ามีความสุขและสุขภาพแข็งแรง ท่านป้าล้วนยอมทำทุกอย่างทั้งนั้น ต่อให้ต้องลงไปในนรกนางก็ไม่หวาดหวั่น…แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ในใจของข้าแล้ว ผู้ที่สนิทสนมอย่างลึกซึ้งที่สุดก็ยังคงเป็นท่านแม่!”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อลังเลไปเล็กน้อย นางย่อมรู้จักป้าโม่ จากการสืบเสาะของนาง คนผู้นั้นสูญเสียสามีและลูกชายไป ไร้ที่ซึ่งพึ่งพา หลังจากถูกจงเสวี่ยฉิงให้ความช่วยเหลือ ก็รั้งตัวเป็นหญิงหม้ายอยู่ดูแลเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ตระกูลเยี่ยน และก็รู้ว่าในยามที่ซั่งกวนจิ่นไปรับคนของตระกูลเยี่ยนมานั้น ป้าโม่ก็เพิ่งล่วงลับไป เพราะสาเหตุนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงเสียใจจนสลบไสลไปสามวันสามคืน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนย่อมต้องแน่นแฟ้นจนถึงที่สุด
“สัญชาตญาณของแม่ลูกไม่อาจมีเรื่องอันใดมาทำให้จืดจางไปได้หรอกเจ้าค่ะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เปลี่ยนเรื่อง “อีกอย่าง หลิงหลงเป็นคนที่อ่อนไหว ที่นางใกล้ชิดสนิทสนมกับอนุภรรยาอู๋เช่นนั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยได้รับความสนใจจากท่าน ดังนั้นการยอมรับความรู้สึกเฉกเช่นแม่ลูก ก็อาจจะเป็นเพราะความตั้งใจได้เช่นกัน อยากจะให้ท่านมองนางบ้าง…ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร นางย่อมไม่ได้สนิทสนมกับอนุภรรยาอู๋ดั่งเช่นภายนอกที่เห็นเป็นแน่ มิเช่นนั้น นางก็คงไม่เกิดความห่างเหินและความสงสัยต่ออู๋เลี่ยนเยี่ยนเพราะคำพูดไม่กี่คำพวกนั้นของข้าหรอก”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์หมายถึงหลังจากที่นางพบเจอกับหลิงหลงเป็นครั้งแรก หลังจากกลับมาตระกูลซั่งกวน ซั่งกวนฮ่าวก็จะส่งอู๋เลี่ยนเยี่ยนออกจากจวน แต่หลิงหลงก็ไม่ได้พยายามโหวกเหวกโวยวายเพื่อรั้งอู๋เลี่ยนเยี่ยนถึงเพียงนั้น
“ท่านคงไม่รู้ ยามนั้นแม้ภายนอกหลิงหลงจะดูสบายๆ แต่แววตากลับไม่เป็นเช่นนั้น ในแววตาของนางล้วนเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้ง ความหมดหวังที่มองไม่เห็นแสงสว่างใด ทั้งยังมีความโศกเศร้าอย่างหนึ่งที่ยากจะอธิบายได้ หากไม่ใช่เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องฐานะ นางก็อยากกอดนางไว้ในอ้อมอกจริงๆ ให้นางได้ร้องไห้ปลดปล่อยความทุกข์ออกมา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวคำที่อัดแน่นอยู่ภายในใจออกมา หลิงหลงในยามนั้นช่างบอบบาง และก็ต้องการคนออกหน้าเช่นกันแต่ก็ไม่ได้เกินจริงอย่างที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าว การที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลงมือก็เพราะยังมีจุดประสงค์อื่นอยู่ ไม่เช่นนั้นแม่นมฉินก็คงไม่ลงสนามเองอย่างง่ายดายเช่นนั้นหรอก แต่ว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรพูดออกไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ดีว่าพูดอย่างไรจึงจะสามารถสั่นคลอนจิตใจของคนได้ ทั้งยังทำให้ตนเองดูอ่อนโยนและจิตใจดี มีภาพลักษณ์ที่เข้าอกเข้าใจผู้อื่น
“ดังนั้นเจ้าจึงขอให้แม่นมฉินออกหน้าโดยไม่สนใจผลลัพธ์ในภายหลังเลยอย่างนั้นหรือ?” สิ่งที่หวงฝู่เยวี่ยคิดก็ยังคงเป็นความเก่งกาจของแม่นมฉิน เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากที่แม่นมฉินกลับมา กลับเป็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่กู้สถานการณ์ของเรื่อง
“ข้าไม่อาจทนมองแสงสว่างสุดท้ายในดวงตาของหลิงหลงเลื่อนหายไปได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยอมรับว่าตนใจอ่อน “หลิงหลงก็เหมือนเม่นตัวหนึ่ง มีหนามแหลมคมทั่วร่างก็เพื่อปกปิดความอ่อนแอของตนก็เท่านั้น ข้าไม่อาจถอนหนามแหลมของนางออกไปได้ แต่ข้าก็ไม่อยากให้นางตั้งหนามแหลมทั้งหมดนั้นขึ้นมา”
“หลิงหลงไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิดเพียงนั้น!” ความจริงแล้วหวงฝู่เยวี่ยเอ้อคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เปรียบเทียบได้ดีทีเดียว หลิงหลงก็เป็นดั่งเม่นตัวหนึ่ง มักจะทิ่มแทงนางจนทำให้ปวดหัว!
“ฮูหยิน ข้าคิดว่าในตระกูลซั่งกวน คนส่วนมากอาจจะชื่นชอบจิงอิ๋งมากกว่า ส่วนหลิงหลงคงจะให้ความเคารพอยู่ไกลๆ อย่างนั้นสินะเจ้าคะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังออกถึงความไม่พอใจที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมีต่อหลิงหลง แต่นางก็ไม่ได้พูดกล่อมมากไปอีก น้ำแข็งที่หนาสามฉื่อ ไม่ได้ใช้ความหนาวจากเพียงวันเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนแม่ลูก แม้ว่าจะอ่อนโยนลง ก็ไม่ใช่ว่ามีความสนิทสนมที่ลึกซึ้งอย่างแท้จริง หากต้องการจะให้สนิทสนมอย่างลึกซึ้งนั้น อย่างไรนางก็เป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง นางไม่อาจพยายามทุกวิถีทางให้ระหว่างแม่ลูกรักใคร่กลมเกลียวได้ แต่นางยินดีที่จะทำให้สองแม่ลูกไม่กระทบกระทั่งกันได้ นั่นนับ ว่ามีประโยชน์ต่อนางมากกว่า
“มิผิด!” ตัวหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเองก็ชอบจิงอิ๋งมากกว่า แม้ว่าจะไม่ได้สนิทกับเด็กคนนั้นมากมาย แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้ทำให้นางรำคาญใจ ทั้งซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยพ่อลูกก็ยังชื่นชอบความสดใสร่าเริงของจิงอิ๋งเช่นกัน
“จิงอิ๋งและหลิงหลงไม่เหมือนกัน จิงอิ๋งมองโลกในแง่ดีมาแต่กำเนิด สดใสร่าเริง คล้ายกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ขอเพียงแค่มีแสงอาทิตย์และลมฝนตกกระทบ นางก็สามารถเติบโตได้อย่างงดงาม เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีและความพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะต่อกร หรือจะเอาชนะความลำบาก นางก็จะก้าวข้ามผ่านไปอย่างง่ายดาย แต่หลิงหลงนั้นไม่เหมือนกัน…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อทั้งกล่าวด้วยใจจริง “หลิงหลงเป็นเพียงดอกไม้ดอกหนึ่ง ภายนอกนางมีความเปล่งประกายกว่าจิงอิ๋ง แต่ยังขาดความแข็งแกร่ง สำหรับนางแล้ว แสงอาทิตย์และลมฝนก็ไม่อาจเพียงพอ เพราะยังต้องการการดูแลเอาใจใส่ มิเช่นนั้นแล้ว นางก็จะร่วงโรยและเหี่ยวเฉาไปในที่สุด อนุภรรยาอู๋นั้นก็เป็นดั่งคนสวนที่คอยกำจัดวัชพืชและแมลงสำหรับนาง ดังนั้นยามที่นางไร้ที่พึ่งพิง นางจึงทำได้เพียงตอบรับอ้อมกอดที่ไม่จริงใจนั้นของอนุภรรยาอู๋ก็เท่านั้น!”
“ข้า…” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพอจะรู้สึกถึงความจริงใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้(หากยังไม่รู้สึกเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ควรต้องพิจารณาตัวเองแล้ว)กระนั้นกลับรู้สึกลำบากใจและไม่รู้จะรับมืออย่างไรอยู่บ้าง ลูกสาวของตัวเองหากให้คนอื่นมาพูดว่านางน่าสงสารและน่าเอ็นดูแค่ไหน คงจะเป็นเรื่องที่น่าลำบากใจอยู่บ้าง แต่ในใจก็รับรู้ถึงความปรารถนาดีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางจึงเปลี่ยนเป็นอีกเรื่อง “เจ้าได้คิดบ้างหรือไม่ว่าจะจัดการกับเรื่องอู๋เลี่ยนเยี่ยนอย่างไร?”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ดีว่าเปลวไฟมอดดับไปบ้างแล้ว ในตอนที่พูดถึงเรื่องของหลิงหลงก็คงจะทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเขินอายจนขุ่นเคืองไปบ้าง ตนเองก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเมตตา แต่เพียงแค่ชอบยุ่งเรื่องที่ไม่ควรยุ่งเท่านั้น ก่อนจะกล่าวคล้อยตามเรื่องของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ “อู๋เลี่ยนเยี่ยนไม่นับเป็นปัญหาอันใด ทั้งข้าก็ไม่อยากเสียแรงและกำลังในเรื่องของนางนัก!”
“นางยังมีอนุภรรยาอู๋คอยหนุนหลัง เจ้าอย่าได้ประมาทผู้หญิงสองคนนี้ต่ำไป!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อขมวดคิ้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นเช่นนี้จะเสียเปรียบเอาได้ หากอนุภรรยาอู๋และอู๋เลี่ยนเยี่ยนร่วมมือโต้กลับขึ้นมา นางจะรับไหวหรือ?
“ไม่ใช่ว่ามี่เอ๋อร์ประมาทนาง แต่นางไม่มีคุณค่าพอจะให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์สนใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เคยคิดว่าอู๋เลี่ยนเยี่ยนจะสามารถพลิกกายกลับมาทำเรื่องใหญ่อะไรได้
“เพราะอะไรกัน?” ตัวของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเองก็เพราะว่าดูแคลนชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของอู๋น่งอวิ๋นจึงทำให้เกิดเรื่องวันนี้ได้ สถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ นางไม่อยากที่จะเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียเปรียบเช่นเดียวกับตน
“อันดับแรก อู๋เลี่ยนเยี่ยนไม่สลักสำคัญอันใดในสายตาของคุณชายใหญ่ มิเช่นนั้นพวกนางก็คงไม่ใช้วิธีที่ต่ำช้าเช่นนี้บีบบังคับให้คุณชายรับเมียบ่าว อันดับสอง อู๋เลี่ยนเยี่ยนก็ล้วนไม่อยู่ในสายตาข้าเช่นกัน ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจก็ไม่มีแม้แต่น้อย ดังนั้นหากนางกล้ากระโดดขึ้นมาก่อเรื่องก่อราวละก็ ข้าย่อมไม่อาจมอบโอกาสอันใดให้นางได้พลิกกายขึ้นมาอีกแล้ว นางเขียนสัญญาขายตัวแล้ว แม้ว่าจะเพราะให้เป็นเมียบ่าว แต่ความเป็นความตายของนางก็ขึ้นอยู่กับข้าแล้ว หากนางเชื่อฟังแต่โดยดี ข้าก็จะไม่ทำให้นางลำบาก ทั้งไม่มีความจำเป็นต้องลดตัวไปจัดการกับนาง แต่หากนางคิดจะทำอะไรขึ้นมา ขอแค่ข้าเอ่ยปาก ขายนางหรือส่งนางออกไป แม้ว่าจะฆ่านางไปเลยก็ล้วนได้ทั้งนั้น” คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถึงกับตกตะลึงไป แม้คิดอยากจะแย้งกลับแต่ก็พบว่าที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดมามีเหตุผลเป็นอย่างมาก
“เจ้าไม่กลัวว่าหากเจวี๋ยเอ๋อร์ให้ความสนใจนาง เจ้าจะไร้ทางที่จะจัดการหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่รู้ว่ากำลังถามเยี่ยนมี่เอ๋อร์หรือกำลังถามตัวเองกันแน่
เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ก็ได้แต่คิดในใจ ข้าไม่ได้ชอบลูกชายจอมเจ้าชู้คนนั้นของท่านเสียหน่อย เขาอยากจะชอบใครก็ปล่อยให้ชอบไปเถอะ ข้ายอมปล่อยไปแต่โดยดี กระนั้นปากกลับตอบไปอย่างตั้งใจ “ถ้าหากมีวันนั้น ข้าก็จะจัดการสังหารนาง แม้จะทำให้คุณชายใหญ่ถือโกรธ ก็ไม่อาจทำให้นางนั่งเป็นใหญ่ได้ บางทีข้าอาจจะดูอ่อนโยนไปบ้าง แต่ถ้าหากถูกงูพิษแว้งกัดขึ้นมา ข้ากลับยินยอมที่จะเจ็บปวดตัดแขนออก ไม่ยอมให้พิษร้ายนั้นค่อยๆ กัดกร่อนทั้งร่างกายเป็นแน่”
สมกับเป็นลูกสาวของจงเสวี่ยฉิง! หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่แน่ใจว่าตนควรจะชื่นชมหรือควรตักเตือนดี ในสายตาของนาง ความประทับใจต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์ได้ถูกเติมเต็มขึ้นมาทันที บางทีนางที่เป็นเช่นนี้ก็คงเพียงพอที่จะให้เจวี๋ยเอ๋อร์ชมชอบด้วยใจจริงแล้วกระมัง! แต่ว่านางนึกไปถึงหญิงสาวสามคนที่อยู่เรือนหิมะสุขใจก็ปวดหัวขึ้นมา ผู้หญิงสามคนนั้นไว้ค่อยว่ากันภายหลังเถิด!
ลำพังอู๋เลี่ยนเยี่ยนคนเดียวก็รำคาญใจมากพอแล้ว ที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สะทกสะท้านก็เพราะเกี่ยวกับท่าทีของเจวี๋ยเอ๋อร์และชาติกำเนิดของอู๋เลี่ยนเยี่ยน แต่หญิงสาวสามคนนั้นเป็นคนที่เจวี๋ยเอ๋อร์ให้ความสำคัญอยู่บ้าง ฐานะก็มิใช่ต่ำต้อย แม้ว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์อาจจะรู้คำเล่าลือมาจากปากของแม่นมฉินถึงเรื่องของพวกนางแล้วก็ตาม แต่หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เคยรู้มาก่อนเลยเล่า? หวงฝู่เยวี่ยเอ้อคิดหลอกตัวเอง อย่างไรก็ยังไม่พูดออกไปดีกว่า!
—————————————————–