เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 62 พิธีแต่งงานใหญ่ (1)

ในลี่โจว แม้ว่าตระกูลซั่งกวนจะไม่ได้มีอำนาจค้ำฟ้าที่พูดถึงกันเพียงนั้น แต่ก็ไม่กล่าวเกินไปเท่าไร งานแต่งงานของคุณชายใหญ่ตระกูลซั่งกวน ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องยินดีของตระกูลซั่งกวน แต่กลับเป็นเรื่องยินดีของลี่โจวด้วยเช่นกัน

วันที่ยี่สิบหก เดือนยี่ ทั่วทั้งเมืองลี่โจวล้วนปกคลุมไปด้วยบรรยากาศปิติยินดี ทุกบ้านสาดน้ำสะอาดไปทั่วพื้น ทั้งยังประดับตกแต่งด้วยโคมสีสันสดใส ในบ้านยังเพาะปลูกดอกไม้นานาพรรณ กำลังเบ่งบานไปทั่วทิศทาง พาให้ดอกไม้สดใสที่เรียงรายอยู่นอกริมถนน ถูกแต่งแต้มด้วยบรรยากาศของวสันตฤดูไปด้วย ผู้คนที่เดินผ่านไปมาก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน ใบหน้ายังเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขใจ พวกเด็กๆ ยิ่งชอบใจใหญ่ที่ได้วิ่งไปหยิบลูกกวาดที่ตระกูลซั่งกวนได้จัดวางเอาไว้ให้ เบิกบานใจยิ่งกว่าปีที่แล้วเสียอีก ไม่ถึงยามเหม่า[1]เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตื่นนอนแล้ว มีสาวใช้คนสนิท แม่นมและสาวใช้ที่ตระกูลซั่งกวนตั้งใจส่งมาให้คอยรายล้อมช่วยนางอาบน้ำสางผม เปลี่ยนเป็นสวมชุดแต่งงานสีแดงตัวใหญ่ที่ปักลายด้วยหงส์สีทอง

วันนี้ถือเป็นวันพิเศษ จึงไม่อาจให้เซียงเสวี่ยสาวใช้ผู้นั้นมาแต่งหน้าทำผมให้นางได้ แต่ว่า…เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองใบหน้าของตนเองในกระจกทองเหลือง สงสัยเป็นอย่างมากว่าแม่นมที่ส่งมาแต่งหน้าให้นางเป็นพิเศษนั้นเคยมีความแค้นอันใดกับนางหรือไม่ จึงได้แต่งหน้าให้นางคล้ายราวกับประชดประชันเช่นนี้ แม้จะไม่จงใจแต่งให้น่าเกลียด แต่ว่า…จะพูดอย่างไรดีล่ะ? ฝีมือของนางอาจจะพูดได้ว่าละเอียดประณีต เยี่ยนมี่เอ๋อร์ในยามนี้ดูเปล่งประกายจนต้องตาผู้คน ไม่ว่าจะเป็นใครที่เห็นครั้งแรกก็ล้วนแต่ละสายตาไปไม่ได้อยู่บ้าง แต่รายละเอียดเล็กน้อยนี้กลับทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์สงสัยว่าตัวนางมีอะไรแปลกไปกันแน่

การแต่งหน้าหนาเข้มนั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์รับได้ อย่างไรก็เป็นเจ้าสาว แต่งหน้าให้หนาก็ไม่ใช่ไม่เหมาะสม แต่งให้ออกมาสวยสดก็ทำให้บรรยากาศชื่นมื่นขึ้นตาม แต่คล้ายว่าแม่นมผู้นั้นตั้งใจทำอะไรบางอย่างกับใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นพิเศษ

คิ้วของเยี่ยนมี่เอ๋อร์โค้งโก่งเป็นอย่างมาก ทำให้ทั้งใบหน้าเปล่งความพริ้งพรายออกมาโดยไม่รู้ตัว หากจะพูดให้รื่นหูหน่อยก็ดูมีชีวิตชีวาและมีเสน่ห์น่าหลงใหล หากจะพูดให้น่าเกลียดก็หางคิ้วชี้สูงปรี๊ด ดวงตาทั้งสองคู่ราวกับปีศาจภูตพรายที่คอยล่อลวงผู้คน เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจ่างใจดีว่าใบหน้าของตนนั้นมีเสน่ห์ดึงดูด และก็รู้ว่าควรจะปกปิดท่าทีและรายละเอียดนั้นอย่างไร แต่ไหนแต่ไรนางก็จงใจเติมแต่งคิ้วให้ดูอ่อนโยนและตรงอย่างเรียบง่าย หางตาก็ตั้งใจแต่งกลบเบาบางลงไป ให้แววตาดูละมุนอ่อนหวาน จมูกของตัวเองก็จะแต่งออกมาอย่างได้รูปงดงามเป็นธรรมชาติ ไม่กล้าที่จะแต่งหนักให้เห็นเค้าโครงใบหน้าชัดเจนแม้แต่น้อย แต่แม่นมผู้นี้กลับทำในสิ่งตรงกันข้าม ลากคิ้วนางสูงขึ้นไปอีก หางตาก็สูงคม ทำให้เกิดเป็นภาพที่ดูคล้ายปีศาจจิ้งจอกที่น่ายั่วยวนผู้หนึ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนดึงดูดไปหมด

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะคุณหนู?” แม่นมผู้นั้นยิ้มออกมา “บ่าวเคยจัดการแต่งหน้าแปลงโฉมให้เจ้าสาวมาไม่น้อยล้วนแต่เป็นหญิงชั้นยอดที่โดดเด่นทั้งนั้นเจ้าค่ะ แต่ผู้ที่งดงามอย่างคุณหนูถึงเพียงนี้กลับพบเจอได้ยากจริงๆ เจ้าค่ะ! รอหลังเสร็จพิธีกราบไหว้ฟ้าดินแล้ว พอคุณชายใหญ่ซั่งกวนเปิดผ้าคลุมออกเห็นใบหน้าของเจ้าสาวแล้ว ย่อมต้องมองจนตาค้างแน่เจ้าค่ะ!”

“ขอบคุณแม่นมที่ชมข้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แย้มยิ้มเล็กน้อย “เซียงเสวี่ย เจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”

เซียงเสวี่ยกำลังถือกระจก ใบหน้านั้นดูระมัดระวังและเกรงกลัวอยู่บ้าง “คุณหนูงามมากเจ้าค่ะ! แต่บ่าวรู้สึกว่าดูแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกอยู่บ้าง”

“แปลกๆ? เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาว่าตรงไหนที่ไม่ดี?” แม่นมเฒ่าผู้นั้นแม้จะยังยิ้ม แต่จู่ๆ กลับขึ้นเสียงอยู่บ้าง ทั้งน้ำเสียงก็เยือกเย็นขึ้นมา

“แม่นมอย่าได้ใส่ใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่งดงามนั้นทำให้แม่นมจำต้องส่งรอยยิ้มตอบกลับไปให้ “เด็กสาวผู้นี้แต่งหน้าประทินโฉมให้ข้ามาโดยตลอด ทั้งข้าก็คุ้นชินถามความเห็นนางหลังจากแต่งหน้าเสร็จแล้วเช่นกัน ท่านอย่าได้มองนางที่อายุยังน้อย ทั้งปากไวและขี้ขลาดตาขาว ถึงเช่นนั้นนางกลับเป็นคนที่มองทะลุปรุโปร่งและมีฝีมือ เซียงเสวี่ย เจ้าลองพูดมาเถิดว่าแปลกๆ อย่างไร?”

“คุณหนู…” เซียงเสวี่ยคล้ายกับจะร้องไห้ออกมา “บ่าวไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี หรือไม่…หรือไม่ก็ให้บ่าวแต่งให้ท่านเสียใหม่ ดีหรือไม่เจ้าคะ?”

“เจ้านับเป็นใคร ถือดีอะไรมาปรับแต่งใบหน้าที่ข้าแต่งให้คุณหนู ไม่กลัวว่าจะแต่งใบหน้าคุณหนูจนเลอะเทอะไปหมดงั้นหรือ?” แม่นมเฒ่าอาศัยที่ตนมีอายุมากกล่าวข่มดูถูก “เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าใช้เวลามากเพียงใดจึงค่อยแต่งออกมาได้ ตอนนี้ยังจะมีเวลาอยู่อย่างนั้นหรือ? หากพลาดฤกษ์งามยามดี…”

“จื่อหลัว เจ้ามาถือกระจก ให้เซียงเสวี่ยลองดู” เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นมีใจอยากจะดูละคร แต่น่าเสียดายที่เวลามีไม่มากแล้ว ทั้งนางก็ไม่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมพิธีแต่งงานด้วยใบหน้าเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ ทั้งไม่ชอบซั่งกวนเจวี๋ย จอมเจ้าชู้ผู้นั้น แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ตระกูลซั่งกวนและแขกที่มางานมีภาพจำของตนเป็น ‘ปีศาจจิ้งจอกจอมยั่วยวน’ ได้หรอก

“คุณหนู นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ นางเป็นสาวใช้ที่ขาดประสบการณ์ผู้หนึ่ง กลัวว่าจะทำออกมาได้ไม่ดีเจ้าค่ะ” แม่นมเฒ่ารู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์มองออกแล้ว ทั้งยังแสดงออกชัดเจนว่าตนเองไม่พอใจ นางยิ้มอย่างกระดากใจ “ท่านดูว่าไม่พอใจตรงไหน แล้วให้บ่าวช่วยแก้ไขดีหรือไม่เจ้าคะ?”

“ข้าก็รู้สึกว่าไม่ค่อยคล้ายกับตัวข้า และก็พูดไม่ถูกว่าตรงไหนไม่เหมาะสม สาวใช้ผู้นี้แม้ว่าอายุจะยังน้อย ทั้งอยู่ข้างกายข้ามาไม่นาน แต่ก็ยังคงรู้ใจข้าอยู่บ้าง ให้นางเป็นคนทำเถิด แม้ว่าจะแต่งออกมาดูไม่ได้ ข้าก็ยอมรับตามนั้น”

จื่อหลัวรับหน้าที่ยกกระจกต่ออย่างรวดเร็ว นางย่อมดูออกว่าแม่นมเฒ่าผู้นี้ทำตัวไม่เหมาะสมอยู่บ้าง ทั้งถึงขนาดกีดกันนางออกไปอย่างไม่เกรงใจ ทว่าปากกลับกล่าวเสแสร้งออกไปว่า “แม่นม ท่านก็ยุ่งมาสักพักใหญ่แล้ว นั่งพักสักครู่ก่อนดีกว่าแม้ว่าเซียงเสวี่ยจะโง่เขลาไปบ้างแต่ดีที่คุณหนูของพวกเรานั้นมีรูปโฉมงดงามเหนือผู้อื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้ว่าจะแต่งออกมาเลอะเทอะ ก็ย่อมออกมาสะสวยเช่นเดียวกัน!”

แม่นมผู้นั้นถูกนางบีบเค้น โทสะก็พุ่งขึ้นมา นางเป็นคนข้างกายของทั่วป๋าซู่เยวี่ย จึงสามารถถูกส่งออกมาทำงานในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ได้ นอกจากมีสาเหตุมาจากของทั่วป๋าซู่เยวี่ยแล้ว ก็ยังเพราะว่านางมีฝีมือในการแต่งหน้าอยู่จริงๆ แต่บังเอิญที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยไม่ค่อยชอบใจหลานสะใภ้(ควรพูดว่าไม่ชอบใจเป็นอย่างมากดีกว่า) รู้ว่านางมีหน้าตาที่โดดเด่นอยู่บ้าง จึงถือโอกาสกำชับมาสองสามประโยค ใจความสำคัญก็คืออย่าให้เจ้าสาวได้เปิดตัวออกมาเป็นจุดสนใจเกินกว่าทั่วป๋าฉินซิน

แม่นมเฒ่าตกปากรับคำ ทั่วป๋าฉินซินก็เป็นคนงามที่ยากจะได้พบผู้หนึ่ง สวยงามบริสุทธิ์อย่างธรรมชาติ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั้งนั้น หากจะให้เอาชนะเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ก็ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แต่ว่าหลังจากที่ได้พบเจอกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว ในใจของแม่นมเฒ่าก็ร้องพร่ำบ่นอยู่ในใจ ภารกิจที่ดูเหมือนจะง่ายนี้กลับยากขึ้นมาเสียแล้ว ครุ่นคิดอยู่ในหัว จึงตัดสินใจไม่ปิดบังความงามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่กลับแต่งหน้าให้นางดูเป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์และน่ายั่วยวนแทน ผู้หญิงเช่น นั้นแม้ว่าจะงดงาม แต่ก็มักจะทำให้คนรู้สึกอึดอัดใจ คิดจินตนาการไปจนคล้ายว่าเป็นผู้หญิงที่ขายเรือนร่าง แม้ว่าจะยกตนให้บริสุทธิ์ดุจวารีขนาดไหน แต่ก็มิอาจหลีกพ้นไปจากคำว่า ‘ต่ำ’ ได้ ดังนั้นจึงได้ทำเช่นนี้ออกมา

ในความคิดของนาง เยี่ยนมี่เอ๋อร์กำเนิดในตระกูลพ่อค้าวาณิชเล็กๆ ดูท่าแล้วคงจะดูบอบบางจนแทบจะปลิวไปตามลม แม้จะรู้ว่าตัวนางกำลังเล่นลูกไม้ คาดว่าก็คงจะทำเพียงก้มหน้ายอมอย่างไม่กล้าพูดอะไร ผ่านวันนี้ไป นางก็จะหาเวลาไปขอรางวัลจากฮูหยินใหญ่ และก็ไม่กลัวว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะมีโอกาสคิดบัญชีย้อนหลังกับนางด้วย คาดไม่ถึงว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ดูนุ่มนวล กลับไม่ยอมเป็นแป้งที่ให้ผู้ใดมาบีบเค้นได้ง่ายๆ แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวสั่งสอน ไม่ได้ทำให้ลำบากอะไร แต่วิธีการของเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับทำให้นางตกอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“เจ้ากล้า…” แม่นมเฒ่าไม่สนใจหน้าตาอันใดแล้ว คิดจะใช้เสียงขู่ขวัญทะเลาะกับอีกฝ่ายก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

“หุบปาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีโอกาสพูด เป็นแม่นมฉินที่โผล่ออกมา “งานมงคลใหญ่เช่นนี้ยอมให้เจ้าทำตามอำเภอใจได้งั้นหรือ! ยังไม่เชิญแม่นมผู้นี้ออกไปพักด้านนอกอีก!”

“เจ้า…” แม่นมเฒ่าไม่คาดคิดมาก่อนว่าแม่นมฉินจะไม่ไว้หน้านางขนาดนี้ กลับไล่คนออกไปตรงๆ เสียอย่างนั้น!

“ยังอ้ำอึ้งทำอะไรอยู่? วันนี้เป็นวันอะไร ทุกคนก็คงรู้ดี แววตานั้นได้บอกคำตอบข้าหมดแล้ว วันนี้ใครกล้าทำให้คุณหนูของข้าไม่สบายใจ ข้าจะทำให้มันมิอาจสงบสุขได้ทั้งชั่วชีวิต!” แม่นมฉินกล่าวเสียงดังอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย คนที่รู้งานทั้งแม่นมและสาวใช้ที่พอสนิทกับแม่นมเฒ่านั้นอยู่บ้างก็พานางออกไป

น่าขันสิ้นดี! เยี่ยนมี่เอ๋อร์กำลังจะกลายเป็นสะใภ้ตระกูลซั่งกวนอยู่แล้ว คิดจะเล่นลูกไม้ตื้นๆ มันก็เท่านั้น แต่ผู้ที่ถูกคนอื่นมองออก ทั้งยังกล้าก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาในวันสำคัญเช่นนี้ นั่นก็เท่ากับว่าหาเรื่องตายแล้ว ขอเพียงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่พอใจ แค่ลอบกล่าวหรือเปิดเผยออกไป นายท่านก็ย่อมสามารถทำให้พวกเขาทั้งหมดไปเกิดใหม่ได้ทันที

เซียงเสวี่ยคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก ชั่วพริบตาเดียวก็ลบเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่พอใจอย่างยิ่งออกจนเกลี้ยง จากนั้นก็ค่อยแต่งเติมอย่างละเอียดประณีต แต่งให้เข้มกว่าวันปกติเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่ขาดความพริ้มเพราและความนุ่มนวลของหญิงสาวไป ดูงดงามและอ่อนหวาน แต่สิ่งที่ทำให้คนไม่เข้าใจก็คือ เซียงเสวี่ยใช้แป้งแต่งแต้มใบหน้าของนางหนายิ่งกว่าแม่นมเฒ่าที่ไม่ได้เรื่องได้ราวผู้นั้นเสียอีก ทำให้ความสง่างามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกบดบังไป

“คุณหนู ท่านว่าแบบนี้พอได้หรือไม่เจ้าคะ?” เซียงเสวี่ยถามอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย นางจงใจทำ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกเรือนด้วยความรู้สึกเช่นไรเป็นเรื่องที่นางไม่อาจคาดเดาได้ทั้งหมด แต่นางรู้ดีว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่อมไม่อยากใช้ความงดงามหยาดเยิ้มนั้นเปิดตัวเพื่อเป็นจุดสนใจของคนอื่นแน่

“เยี่ยมมาก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พอใจอย่างยิ่ง เซียงเสวี่ยไม่ได้ตั้งใจปิดบังรูปลักษณ์ของนาง กระนั้นกลับเปลี่ยนตัวตนนางไปไม่น้อย ตรงกับใจนางเป็นอย่างมาก

จากนั้นก็สวมใส่เครื่องประดับต่างๆ กำไลข้อมือ สร้อยข้อมือลูกประคำ สร้อยคอ ปิ่นปักผม…คราวนี้ไม่มีใครกล้าเล่นลูกไม้อะไรแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์อาจจะไม่ได้เก่งกาจ แต่ทนไม่ไหวกับสายตาที่มองมาของคนอื่น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าตัวเองควรทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม เมื่อครู่แม่นมเฒ่าผู้นั้นเพิ่งถูกเชิญออกไป ก็ถูกคนของพ่อบ้านหวงจิ่วพาตัวออกไป ใครจะรู้ว่าจะมีจุดจบเช่นไร เช่นนั้นทำตามคำสั่งจึงจะดีที่สุด

รอจนแต่งตัวทำผมเสร็จแล้ว แม่นมฉินก็มองเยี่ยนมี่เอ๋อ์รด้วยหางตาที่เปียกชื้น หยิบผ้าคลุมหน้าสีแดงมาจากถาดที่ลู่หลัวถืออยู่ ก่อนจะค่อยๆ คลุมลงไปให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ภาพเบื้องหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกบดบังไป ทั้งทำให้คนอื่นมองไม่เห็นท่าทีที่ผ่อนคลายของเยี่ยนมี่เอ๋อร์หลังผ้าคลุมนั้น

“ฤกษ์มงคลมาถึงแล้ว เชิญเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวได้!” คนจากด้านนอกกล่าวเสียงดังขึ้นมา ก่อนแม่นมฉินจะหลีกไปด้านข้าง คนที่ตระกูลซั่งกวนตั้งใจส่งมา ประคองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ลุกขึ้นทั้งซ้ายและขวาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากห้องไปหยุดตรงเกี้ยวที่มารออยู่ที่เรือนสดับวายุนานแล้ว

เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งลงไปอย่างมั่นคง มองลอดผ้าคลุมจากด้านล่างก็พบเท้าหลายคู่อยู่ด้านนอกเกี้ยว มีมากมายทั้งหญิงทั้งชาย จากนั้นพริบตาเดียว ผ้าม่านเกี้ยวก็ถูกปล่อยลงจนมองไม่เห็นอะไรได้อีกแล้ว

นางพยายามทำให้ตัวเองไม่ตื่นเต้น พยายามปรับลมหายใจให้คงที่ ทั้งยังพยายามที่จะไม่ทำให้หัวใจเต้นกระเด็นหลุดออกมา ความคิดที่ว่า ‘หลบหนี’ ถูกปัดตกลงไป นางไม่อาจหลบหนีไปโดยไม่สนใจอะไรได้ หากเป็นเช่นนั้น ท่านแม่ก็คงไม่เป็นสุข ท่านป้ายิ่งจะตายตาไม่หลับ ตระกูลเยี่ยนล้วนได้รับผลกระทบ และสาวใช้และแม่นมข้างกายของนางก็จำต้องรับความพิโรธของตระกูลซั่งกวน แต่ว่า…แต่ว่า…

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยายามกะพริบตาที่มีน้ำตารื้นขึ้นอย่างระมัดระวังให้พวกมันจางหายไป ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนางก็เป็นเพียงหญิงสาวผู้หนึ่งเท่านั้น นางจะไม่สนใจเรื่องที่ตัวเองต้องแต่งงานกับผู้ชายที่ตนไร้ความรู้สึกด้วยได้เช่นไร? แม้ว่านางจะมีแผน ‘หลบหนี’ แล้ว แต่นั่นก็เป็นทางเลือกที่จนใจจริงๆ นางไม่อาจมองข้ามความเป็นจริงไปได้ว่านางจะต้องแต่งงานแล้ว!

นางไม่อาจหลอกตัวเองได้ แม้ว่าจะมีวันหนึ่งที่ ‘การหลบหนีสำเร็จ’ แต่นางก็ยากที่จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอยู่ดี ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ทำได้เพียงคลาดจากกันเท่านั้น!

เมื่อเกี้ยวถูกยกขึ้นมาอย่างโอนเอน เสียงประทัดมงคลก็ดังขึ้นตามมาจากประตูใหญ่ของเรือนสดับวายุ ทั้งประสานกับเสียงขบวนรับเจ้าสาวที่อยู่ด้านหน้า ใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายค่อยๆ ล่วงลงไปสู่ก้นหุบเขาลึก เยือกเย็นจนไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ทว่าใบหน้ากลับปรากฏยิ้มหวานที่จืดชืด อ่อนโยน ขวยเขิน และมีความสุขขึ้นมา ดวงตาก็ค่อยๆ ทอแสงอบอุ่นลง เพียงแต่ภายในแววตานั้นกลับลึกล้ำอย่างไม่อาจคาดเดาเป็นอย่างมาก

แสงเย็นยะเยือกวาบผ่านออกมา…

ฟู่…เช่นนั้นก็ปลดปล่อยความรู้สึก โชคชะตา ทั้งเรื่องในอดีตให้พัดพาไปตามสายลมเถิด!

———————————–

[1] ยามเหม่า เวลาประมาณ 05:00 – 06:59

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset