เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 64 พิธีแต่งงานใหญ่ (3)

เมื่องานเลี้ยงจะเริ่มต้นขึ้น ซั่งกวนเจวี๋ยก็มารับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ในขณะนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์มีเซียงเสวี่ยดูแลอยู่ แต่งหน้าประทินโฉมบางเบา พยายามทำให้จิตใจของคนทั้งร่างดูดีขึ้นบ้าง และมีจิงอิ๋งคอยสรวลเสเฮฮาอยู่ข้างๆ

“เกิดอะไรขึ้นกับฉินซินกันแน่? ในเวลาพริบตาเดียวก็มีข่าวลือว่านางไม่ปฏิบัติตามกฎ กล้าไปแม้กระทั่งแหล่งกามารมณ์ได้อย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามหลิงหลง

“หา?” หลิงหลงดูการเคลื่อนไหวที่เชี่ยวชาญของเซียงเสวี่ยอยู่ จึงตอบโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นถึงได้สติกลับมา เห็นซั่งกวนเจวี๋ยคุยกับนาง จึงพูดกลั้วหัวเราะอย่างเขินอายว่า “พี่ใหญ่ เจ้าพูดอีกครั้งได้หรือไม่?”

“เหล่าคุณหนูและสะใภ้ใหญ่หลายคนจากตระกูลชนชั้นสูงเล่าต่อๆ กันว่าฉินซินเคยไปแหล่งกามารมณ์ พูดจาไร้มารยาท พี่น้องตระกูลทั่วป๋าต่างสีหน้าเขียวคล้ำ ซ่งซื่อเจี๋ยคู่หมั้นของทั่วป๋าฉินอินก็ใบหน้าเขียวม้านเช่นกัน ถึงขั้นส่งคนไปตรวจสอบว่าทั่วป๋าฉินอินออกไปเถลไถลหรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอย่างอดทน เขาไม่ได้บอกว่าเขาหวิดจะขำออกมาตอนได้ยินเรื่องนี้ แต่หลิงหลงยังมองออกว่าเขายิ้มเยาะในความเคราะห์ร้ายของผู้อื่นโดยไม่ปกปิด

“ใครจะไปรู้เล่า?” หลิงหลงพูดอย่างขมขื่นว่า “หลังจากที่พวกเจ้าจากไป พี่สะใภ้สุภาพอ่อนโยนแล้วทักทายทุกคนเชิญให้นั่งลงคุยกัน ทุกคนอยากจะใช้โอกาสนี้พูดคุยและเป็นมิตรกัน แต่นางล่ะ? กลับพูดว่า ‘พี่สะใภ้ของเจ้าดูดีมากจริงๆ เมื่อเทียบกับเยวี่ยเจียวหนูที่ข้าเห็นแต่แรกก็ตกใจนึกว่าตกลงมาจากสวรรค์!’ เยวี่ยเจียวหนูเป็นใครกัน ไม่นึกเลยว่าจะใช้หญิงนางโลมมาทัดเทียมกับพี่สะใภ้ นางเจตนาไม่ดีใช่หรือไม่! ผลที่ตามมาคือพี่สะใภ้นั้นกลับไม่รู้ความด้วย ไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใครจริงๆ จึงถามนาง นางถึงกับกล้าพูดโดยไม่อาย ทั้งยังบอกอีกว่าเยวี่ยเจียวหนูระบำได้สวยงาม ดึงดูดใจผู้ชายกลุ่มใหญ่ได้มากโข พี่สะใภ้ตกใจในเวลานั้น รีบถามข้ากับจิงอิ๋งว่าเคยเจอผู้หญิงแบบนี้มาก่อนหรือไม่ เพราะกังวลว่าจะทำให้ชื่อเสียงของตระกูลเสียหาย ภายหลังแม้จะเชื่อที่ข้าพูดว่าไม่เคยไปสถานที่พรรค์นั้น แต่ก็ตื่นตระหนก เหนื่อยมากพอแล้วจึงไปพักผ่อนครู่หนึ่ง หลังจากฟื้นพลังได้แล้วก็ซักถามข้าอีกครั้ง กังวลว่าเพวกราจะประพฤติตัวผิดทำนองคลองธรรม พวกเราล้วนเจ็บปวดเพราะนาง!”

คำพูดของหลิงหลงเต็มไปด้วยน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหลงเหลง ทำให้ทั่วป๋าฉินซินเป็นแพะรับบาปอย่างช่วยไม่ได้

              “ที่แท้เป็นเช่นนี้! ถ้าอย่างนั้นนางก็หาเหาใส่หัวเอง อยากจะสาดสีใส่ร้ายผู้อื่น แต่กลับโดนสาดเสียเอง” ซั่งกวนเจวี๋ย พอใจ หลังจากนั้นไม่นาน ลูกหลานของตระกูลชนชั้นสูงที่มางานเลี้ยงแต่งงานก็รู้เรื่องนี้ทั้งหมด ทั่วป๋าฉินซินชอบรบกวนเขาอยู่เสมอ ยังไม่รู้จะห้ามปรามอย่างไร ซึ่งค่อนข้างน่ารำคาญ นางเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ใจร้ายมากที่คิดถึงเรื่องแบบนี้

“พี่สะใภ้พร้อมแล้ว เราไปกันเถิด” จิงอิ๋งตะโกนด้วยรอยยิ้ม สีหน้าปลาบปลื้ม ในที่สุดพี่สะใภ้ก็เป็นสมาชิกของตระกูลซั่งกวน ไม่มีใครแย่งพี่สะใภ้ไปได้

“พวกเจ้าสองคนไปกันก่อน เราจะตามไปภายหลัง!” ซั่งกวนเจวี๋ยมีบางอย่างจะกำชับกำชาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ จึงทำได้เพียงให้น้องสาวทั้งสองไปก่อน

เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้าบอกเป็นนัย แม้น้องสาวทั้งคู่จะไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ออกไปก่อนอย่างเชื่อฟัง ม่านเหลียนกับม่านเหอสาวใช้ของซั่งกวนเจวี๋ยโค้งคำนับให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วออกไป พอจื่อหลัวเห็นก็ไม่ได้ขวางทาง น้อมคารวะซั่งกวนเจวี๋ยแล้วออกไปรอที่หน้าประตูเรือนกับพวกม่านเหลียนทั้งสองคนนั้น

“สาวใช้ของเจ้าถือว่าฉลาดนัก!” ซั่งกวนเจวี๋ยค่อนข้างพอใจกับสาวใช้เหล่านี้ที่รู้จักกาลเทศะ

“พวกนางรับใช้อยู่ข้างกายเชี่ยเซิน[1]มานานแล้ว ย่อมรู้ว่าจะต้องทำอะไร” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างนุ่มนวล นางยังไม่เข้าใจความคิดของตนอย่างถ่องแท้ ไม่รู้ว่าทำไมคนที่นางคะนึงหามาตลอดจะกลับกลายเป็นซั่งกวนเจวี๋ย แต่อารมณ์ของนางกลับดีมากเป็นพิเศษ กิริยาโต้ตอบก็อ่อนโยนขึ้นมาก

เสียงของนางไพเราะจริงๆ! ฟังดูเป็นคนละเมียดละไม ลำพังแค่น้ำเสียงก็บอกได้ว่านางเป็นคนอ่อนโยน แต่ก็ยากจะฟังดูมีอำนาจ มิน่าเล่ายามที่นางพูดจึงเจตนาใช้เสียงแข็งขึ้นอย่างเย็นชา

“ที่นี่เป็นเรือนของเจ้า ชื่อว่าเรือนมีคู่ เรือนที่ข้าอาศัยอยู่คือเรือนไร้เดี่ยวซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้าต้องการไว้ทุกข์ให้แม่บุญธรรมเป็นเวลาร้อยวัน ก็เต็มใจจะทำให้เจ้าสมหวังอย่างจริงใจ แต่เนื่องจากวันนี้เป็นคืนเข้าห้องหอ ข้ายังคงต้องค้างคืนที่นี่ และต้องอยู่อย่างน้อยสามวันเต็ม ก่อนจะกลับไปอยู่ที่เรือนของข้าได้”

“เชี่ยเซินเข้าใจ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม นางรู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยผู้นี้ก็ใจดีเช่นกัน ไม่เช่นนั้นข่าวคราวที่ไม่ชอบนางจะออกมาในเช้าตรู่วันพรุ่งนี้

“แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่อยู่ร่วมห้องกับเจ้า” ซั่งกวนเจวี๋ยเน้นย้ำ

“เชี่ยเซินไม่มีอะไรต้องกังวล” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างพาซื่อว่า “ภรรยาถือว่าสามีเป็นดั่งสวรรค์ สามีพูดอะไรเชี่ยเซินก็เชื่อ”

แค่ก! ซั่งกวนเจวี๋ยไออย่างไม่สบายใจเล็กน้อย นอกจากคนรับใช้แล้ว เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพเช่นนี้ จึงปฏิบัติตัวไม่ถูกอยู่บ้างแต่ก็สบายใจไม่น้อย กล่าวว่า “ประเดี๋ยวพวกเราต้องไปดื่มเหล้าคารวะ แสดงความเคารพผู้อาวุโสสามสี่โต๊ะเท่านั้น เจ้าไม่ต้องพูดอันใด เพียงฟังข้าก็พอ”

“เจ้าค่ะ เชี่ยเซินทราบแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า นางไม่ต้องการออกหน้าออกตาเช่นกัน ไม่พูดอะไรจะดีกว่า

“เราไปกันเถิด” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่รู้จะพูดอะไรอีกว่าแล้วหก็มุนตัวออกไป แต่เขายังชะลอฝีเท้าลง ไม่ได้เดินจ้ำๆ เพราะเยี่ยนมี่เอ๋อร์อยู่ข้างๆ เขาอย่างระมัดระวัง รักษาระยะห่างตามหลังอยู่ครึ่งก้าว

———————

“ท่านลุงทุกท่าน! วันนี้เป็นวันแต่งงานของหลานชาย ในครานี้หลานชายและหลานสะใภ้จะดื่มคารวะให้ท่านลุงทุกท่าน!” ซั่งกวนเจวี๋ยมาที่โต๊ะแรก โต๊ะนี้มีเพียงเก้าคน นายท่านเยี่ยนก็ปรากฏตัว ณ ที่นี้ด้วย

“ในที่สุดเจวี๋ยเอ๋อร์ก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว! ลุงๆ อาๆ อย่างเรานี้ก็มีความสุขเช่นกัน!” หนึ่งในนั้นพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวของข้าไม่คู่ควรกับเจวี๋ยเอ๋อร์ ที่นั่งของพ่อตาคนนี้ก็จะไม่มอบให้พี่เยี่ยนหรอก!”

“ต่อให้จะมีก็ยังไม่ถึงตาเจ้า!” อีกคนพูดยิ้มสัพยอกว่า “น้องสาวของข้ามองหาลูกสะใภ้ไว้ตั้งนานแล้ว จองไว้ตั้งแต่เป็นเด็กทารก เจ้าสายเกินไปที่จะพูดแล้ว! มาๆๆ เรามาดื่มเหล้ามงคลนี้ให้เจวี๋ยเอ๋อร์กันเถอะ!”

ผู้นี้น่าจะเป็นนายท่านของตระกูลหวงฝู่ พี่ชายของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ หวงฝู่เจิ้นหลงสินะ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์คาดเดาเบื้องลึกอยู่ในใจ

“ได้เวลาดื่มแล้ว แต่พี่เยี่ยนควรดื่มเพิ่มอีกสักหน่อยกระมัง!” อีกคนหนึ่งยิ้มตอบ

“เชียนเย่า นี่มันอะไรกัน?” หวงฝู่เจิ้นหลงยังคงกลับมาปกป้องนายท่านเยี่ยน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการแต่งงานครั้งนี้สำเร็จได้เพราะน้องสาวของเขาเองเป็นคนประสาน จึงต้องดูแล…นอกจากนี้ หลานสาวที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นหญิงงามเลอโฉมที่หายากยิ่ง

เชียนเย่า? ทั่วป๋าเชียนเย่าหรือ? ดูท่าจะไม่พอใจที่ถูกหาเรื่อง! การแสดงออกบนใบหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เริ่มอ่อนหวานและนุ่มนวลมากขึ้นเท่าใด แต่สายตากลับสงบลงมากขึ้นเท่านั้น

“ทำไม? ยังต้องถามอีกหรือ? อู๋โจวที่นั้นมันไม่ค่อยดีสักเท่าไร การที่เขาดื่มเพิ่มให้นั้น ก็ดื่มให้เจวี๋ยเอ๋อร์ในฐานะลูกเขยไม่ย้ายครอบครัวของพ่อตามาที่ลี่โจวเลยล่ะ ดื่มให้ถ้วยนี้ก็เพื่อแสดงความยินดีว่าอาจเอื้อมถึงแล้วต่างหาก” นี่จงใจมาก่อกวนชัดๆ ยามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกไม่ดีต่อตระกูลทั่วป๋าอย่างมาก

“คำพูดของนายท่านตระกูลทั่วป๋าข้าไม่อยากฟังแล้ว!” นายท่านเยี่ยนหัวเราะและกล่าวต่อ “ถ้าข้าให้แต่งกับลูกสาวคนอื่น นั่นคือการอาจเอื้อม อย่าพูดถึงการดื่มอีกถ้วยหนึ่ง ต่อให้ดื่มมากเป็นไห ข้าก็รับได้เหมือนกัน! แต่ลูกสาวคนนี้ต่างออกไป ไม่ใช่ว่าข้าจะมายกย่องลูกสาวของตนเองที่นี่ นางยอดเยี่ยมจริงๆ ทุกท่านล้วนเป็นผู้กว้างขวาง เจ้าว่าจริงไหม!”

“พวกเจ้าไม่ต้องสู้กันให้เปลืองน้ำลาย ดื่มเหล้าเถอะ! นี่เจวี๋ยเอ๋อร์กับหลานสะใภ้ก็รอมาพักใหญ่แล้ว” มีคนหนึ่งพูดไกล่เกลี่ยให้จบลงด้วยดีว่า “แต่พูดตามตรง ทั้งสองยืนอยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เข้ากันได้ดีเหมือนกิ่งทองใบหยก ดั่งบุพเพสันนิวาส ต่อให้ข้าอยากจะส่งลูกสาวของข้าไปเป็นน้อยให้เจวี๋ยเอ๋อร์ เดาว่าคงไม่ได้ผล!”

“ว่าไปนั่น! ลูกสาวของบ้านเจ้าอายุมากกว่าเจวี๋ยเอ๋อร์ตั้งสามถึงห้าปี มีลูกชายสองสามคน ลูกสาวที่รอแต่งงานมีคนเดียวอายุแค่หกขวบ คงให้เจวี๋ยเอ๋อร์ไปเป็นพ่อได้กระมัง!” ซั่งกวนฮ่าวหัวเราะเยาะอย่างก้าวร้าว จากนั้นไม่เปิดโอกาสให้ใครพูดแต่อย่างใด จึงยกเหล้าขึ้นแล้วพูดว่า “มา ดื่มฉลองให้กับลูกชายของข้ามีความสุขล้นเหลือ!”

เมื่อดื่มเสร็จ ซั่งกวนเจวี๋ยก็พูดชวนขันอีกสองสามคำ แล้วพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที่โต๊ะถัดไป หวงฝู่เจิ้นหลงชื่นชมมากพลางกล่าวว่า “หลานสะใภ้คนนี้ดี ยิ้มแย้มตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แค่ดูก็รู้ว่าคมในฝัก”

“ข้าว่าก็ดีเช่นกัน!” มู่หรงฉวีกุยเห็นด้วยว่า “ดูดีเข้าท่า ยังมีความอดทนมากกว่าชิงหวั่นที่ไม่โตของข้าเสียอีก นิสัยใจคอก็ดี ไม่มีความคิดเย่อหยิ่ง สุภาพเรียบร้อยและอ่อนโยน เป็นคู่ที่ดีอย่างแท้จริง”

“ข้าว่าก็ไม่แน่!” ทั่วป๋าเชียนเย่าพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่มีสง่าราศีใดๆ จะดูแลครอบครัวในอนาคตได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่มีศักดิ์ศรีเลยแม้แต่นิดเดียว!”

นายท่านเยี่ยนหัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “ในด้านอารมณ์ ลูกสาวของข้าเป็นคนดื้อรั้นมาตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากเรื่องแม่และแม่บุญธรรมตายแล้ว ยังไม่เคยร้องไห้จริงๆ เสียที ครอบครัวเขย ต่อไปถ้านางร้องไห้ ก็อย่าลืมหาคนวาดเก็บเอาไว้ล่ะ ให้ข้าดูเป็นของหายากสักหน่อย!”

นี่ยังจะพูดว่าดีอีก!

“ถ้าหลานสะใภ้ได้ยินนี่จะไม่โมโหเจ้าหรือ?” มู่หรงฉวีกุยหัวเราะลั่น แม้นายท่านเยี่ยนจะพูดจาเสียมารยาทไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล

“นางไม่อยู่มิใช่หรือ!” นายท่านเยี่ยนพูดอย่างเถรตรง “ถ้านางอยู่ที่นี่ ข้าจะพูดเช่นนี้ได้หรือ! ลูกสาวน่ะ ดีด้วยตัวของนางเอง แม้ครอบครัวของข้าจะดื้อรั้นไปบ้างในบางครั้ง แต่ต้องบอกเลยว่าพวกเรายังคงห่วงใยกันมาก”

“ได้ยินมาว่าคุณหนูเยี่ยนไม่สนิทกับเจ้า…ไม่ต้องพูดแล้ว ดูก็รู้ว่าไม่ได้เลี้ยงดูแบบตามใจ” ทั่วป๋าเชียนเย่าพูดอย่างเยียบเย็นว่า “เลี้ยงลูกสาว ต้องตามใจนะ!”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น!” แต่นายท่านเยี่ยนมีจุดยืนที่ไม่เห็นด้วยจึงกล่าวว่า “ไม่ช้าก็เร็วลูกสาวจะเป็นของครอบครัวคนอื่น ย่อมต้องตามใจ จะให้น้อยใจไม่ได้ แต่ก็ไม่ดีที่จะเอาอกเอาใจเกินไป มิฉะนั้นจะบ่มเพาะนิสัยเสียและเอาแต่ใจ ไปแต่งงานกับใครก็เป็นอันตราย แน่นอนล่ะ ถ้าแต่งกับตระกูลศัตรู คงต้องเอาอกเอาใจเต็มที่ เมื่อนางกำเริบเสิบสาน ควบคุมไม่ได้ ก็ถึงเวลาแต่งงานให้นางไปทำลายและแก้แค้นตระกูลศัตรู!”

สุดยอด! จิ้งจอกเฒ่าทั้งนั้นที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพียงแต่ทุกคนล้วนมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันเมื่อครั้งเยาว์วัย จึงไม่อาจเสแสร้งได้มากนักขณะที่พูดคุยกัน ด้วยเพราะเหตุนี้ทั่วป๋าเชียนเย่าถึงได้ถากถางคนได้อย่างหน้าตาเฉย แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างโจ่งแจ้ง แต่ในใจก็อยากรู้เช่นกันว่า เจ้าอ้วนฉุสมควรตายที่มีกลิ่นทองแดงของผู้มีอันจะกินผู้นี้เป็นเช่นไร ไม่นึกเลยว่าจะยิ่งพูดยิ่งเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ…แต่ทั้งหมดนั้นก็สมเหตุสมผลอยู่ทีเดียว!

“เจ้าไปเอาข้อโต้แย้งนี้มาจากไหนกัน?” หวงฝู่เจิ้นหลงกลั้นหัวเราะแล้วเอ่ยถาม

“ฮูหยินรองของข้าเป็นคนพูด!” นายท่านเยี่ยนถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ได้จะบอกว่าข้าไม่สนิทกับมี่เอ๋อร์! แต่พวกเจ้าดูข้าสิ ทั้งอ้วนและอัปลักษณ์ ไม่เคยอ่านบทกวีมากมาย นับประสาอะไรจะดีดพิณเอย เป่าขลุ่ยเลย หากอยู่กับข้า ข้าจะสอนอะไรได้บ้าง? สอนนางหาเงิน? คิดบัญชี? ทำการค้า? มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกหรือ! มี่เอ๋อร์หมั้นหมายกับเจวี๋ยเอ๋อร์ตั้งแต่ยังเด็ก ในเวลานั้นก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าเติบใหญ่ขึ้นก็จะเป็นคนของตระกูลซั่งกวน นางจึงต้องเรียนรู้การเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนตั้งแต่ยังเด็กเลย! มิฉะนั้น จะไม่ใช่การแต่งเข้าครอบครัวเขย แต่เป็นการแต่งเข้าครอบครัวศัตรู! ครอบครัวเขย เจ้าว่านี่สมเหตุสมเหตุผลหรือไม่? ต่อให้มี่เอ๋อร์หน้าตาสวยเหมือนอย่างในตอนนี้ แต่มีลูกคิดอยู่ในมือซ้าย สมุดบัญชีอยู่มือขวา พออ้าปากปิดปากก็จู้จี้จุกจิก แล้วพวกเจ้าจะไม่สะดุ้งตายหรอกหรือ? อีกอย่าง ตระกูลคุณหนูผู้ดี จะทำให้นางทำตัวเป็นเด็กจนเคยตัวอยู่ร่ำไป พ่อให้ท้าย แม่เข้าข้าง นางเป็นคนที่สาม หลังจากแต่งงานแล้ว ตระกูลเยี่ยนและตระกูลซั่งกวนก็มุ่งมั่นจะเป็นศัตรูกัน!”

ทำตัวเป็นเด็กจนเคยตัว? ทุกคนหัวเราะอู้อี้อยู่ในลำคอ แม้จะมองสีหน้าไม่ออก แต่ใครจะไม่รู้ว่านายท่านเยี่ยนพุ่งเป้าพูดถึงทั่วป๋าฉินซินคุณหนูสี่ตระกูลทั่วป๋าที่เพิ่งก่อเรื่องเมื่อครู่นี้ไม่ใช่หรือ? นางที่ท่าทางน่าเอ็นดูมีเสน่ห์ แต่เมื่อไม่พอใจขึ้นมาจะหยิ่งโอหังจนเหลิง!

“เจ้า!” ทั่วป๋าเชียนเย่าจ้องเขม็งมองนายท่านเยี่ยนอย่างมีน้ำโห ถ้าไม่ใช่ว่าเขามีลูกสาวดี ไหนเลยจะได้นั่งอยู่ที่นี่ได้? ทั้งยังกล้าพูดจาสามหาวเต็มปากเต็มคำ!

“ข้าเป็นคนหยาบคาย ถ้าพูดจาผิดไปทุกคนอย่าถือสา มาดื่มกัน ดื่มฉลองกันดีกว่า!” นายท่านเยี่ยนหัวเราะชอบใจ เขาไม่ได้ตีหน้าขรึม…

ใช่ ถ้าต่อล้อต่อเถียงกับเขาจริงๆ จังๆ ก็จะกลายเป็นคนหยาบคาย! ทั่วป๋าเชียนเย่าจึงทำได้เพียงข่มกลั้นไปชั่วคราว…

———————————-

[1] เชี่ยเซิน เป็นคำเรียกแทนตัวเองของผู้หญิงจีนที่เป็นภรรยากับสามีอย่างถ่อมตัวในสมัยโบราณ

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset