เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 9 คำสารภาพ

ซั่งกวนจิ่นไม่เคยคิดว่าซั่งกวนจิงอิ๋งจะดูหน้ามุ่ยและผิดหวังเป็นทวีคูณเมื่อปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง ซั่งกวนจิงอิ๋งเป็นแบบนี้แปลกมาก ในความทรงจำของซั่งกวนจิ่น ซั่งกวนจิงอิ๋งมีเพียงปีนั้นที่สารภาพรักกับชายผู้มีตาหามีแววไม่คนหนึ่งแล้วมีอารมณ์ขุ่นมัวอย่างนี้ นึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะไม่เคยคิดถึงตัวตนของซั่งกวนจิงอิ๋ง ซึ่งไม่น่าจะเรียบง่ายขนาดนั้น แล้วปฏิบัติกับนางในฐานะสาวใช้ตัวน้อยที่ไม่สะดุดตาจริงหรือ?

เมื่อพิจารณาจากการสอบถามของพ่อบ้านกับภูมิหลังครอบครัวของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เยี่ยนมี่เอ๋อร์อาจไม่มีสติปัญญาเหนือมนุษย์ แต่อย่างน้อยก็เป็นคนที่มีจิตใจแจ่มใส ซั่งกวนจิ่นไม่คิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะเพิกเฉยถึงจุดนี้! หรือว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เจตนาทำให้พวกเขาเห็น? เมื่อนึกได้เช่นนี้ ซั่งกวนจิ่นก็ขมวดคิ้ว!

ซั่งกวนจิ่นถามด้วยความเป็นกังวล “ทำไมหน้าตาเป็นแบบนี้? ใครทำให้เจ้าโกรธหรือ?”

“ลุงจิ่น ข้าโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” จิงอิ๋งทำปากเบ้ด้วยความเสียใจ นางใช้เวลาสองวันในการปักสิ่งของที่ดูอย่างไรก็เหมือนกองด้ายพันกันยุ่งเหยิง แม้ว่าที่พี่สะใภ้จะอดทนเป็นอย่างยิ่ง และปลอบใจนางอย่างนุ่มนวล แต่นางก็ยังสะเทือนใจอย่างมาก

“เอ๊ะ? เกิดอะไรขึ้น?” ซั่งกวนจิ่นพูดขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ใครจะไม่รู้ว่าคุณหนูรองของเราฉลาดเฉลียว มีชีวิตชีวาและน่าเอ็นดู ใครจะกล้าเรียกเจ้าว่าโง่ล่ะ?”

“แต่เจ้าดูนี่สิ!” จิงอิ๋งยื่นมือทั้งสองข้างให้ซั่งกวนจิ่นดู ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเก้ๆ กังๆ จึงถูกเข็มตำไปกี่เข็ม ในมือเล็กที่บอบบางก็มีรูเข็มที่ยังไม่จางหายไป

“ใครเป็นคนทำ?” น้ำเสียงของซั่งกวนจิ่นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เขารู้ว่าเจ้านายบางคนลงโทษลูกน้องได้โหดร้ายมาก และไม่คิดว่าการกระทำของตัวเองจะถูกคนอื่นจับได้ ดังนั้นจึงมีวิธีแปลกพิสดารมากมาย การใช้เข็มปักก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

“ยังจะใครอีกล่ะ? ตัวข้าเองนี่แหละ!” จิงอิ๋งก็เป็นคนที่มีนิสัยสะเพร่า ไม่ได้ยินความหมายแฝงในคำพูดของซั่งกวนจิ่น ยังคิดว่าซั่งกวนจิ่นรู้สึกเสียใจกับความเจ็บปวดของนางเอง แล้วกล่าวอย่างเสียใจว่า “ข้าถูกเข็มตำ เจ็บจะแย่! แต่ถึงอย่างนั้น ผ้าเช็ดหน้าของข้าก็ยังโดนข้าปักจนยุ่งอีนุงตุงนัง แม้พี่สะใภ้ในอนาคตจะปลอบโยนข้าเต็มที่ บอกว่าเมื่อแรกเริ่มทุกคนก็เป็นแบบนั้น…แต่ข้าก็รู้เหมือนกัน แค่ไม่อยากให้ข้าเสียใจถึงพูดแก้หน้า ลุงจิ่น ข้าโง่มากเหรอ?”

ปักผ้า? ซั่งกวนจิ่นค่อนข้างไม่เข้าใจ ผู้หญิงในตระกูลซั่งกวนไม่เป็นสองรองใครไม่ว่าจะในด้านวรยุทธ์หรือความปราดเปรื่อง แต่การเย็บปักถักร้อย? ในตระกูลซั่งกวนดูเหมือนจะไม่มีสตรีใดปักผ้าได้…ยกเว้นแม่นมกับสาวใช้ แต่ถึงจะเป็นแม่นมกับสาวใช้ ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ปักได้ เป็นไปได้ไหมว่าคุณหนูรองไม่ได้ค้นพบความลับใดๆ ของคุณหนูเยี่ยนอู่ในช่วงสองวันนี้ แต่ศึกษาการเย็บปักถักร้อยอย่างขะมักเขม้น? เมื่อเห็นท่าทางยุ่งเหยิงของจิงอิ๋ง ซั่งกวนจิ่นก็แค่อยากจะหัวเราะเท่านั้น

“ลุงจิ่น” จิงอิ๋งไม่ได้สังเกตเห็นความเย็นชาของซั่งกวนจิ่นเมื่อครู่ แต่กลับตรวจจับได้ถึงรอยยิ้มที่ข่มกลั้นของซั่งกวงจิ่น ได้อย่างง่ายดาย นางจึงตะโกนอย่างไม่พอใจ นัยน์ตาแดงก่ำ แล้วน้ำตาก็กำลังจะไหลลงมาด้วยความอัปยศ

“แค่กๆ” ซั่งกวนจิ่นระงับรอยยิ้มที่กำลังจะหลุดออกมาทันทีแล้วกล่าวว่า “ก็เห็นดีๆ อยู่ เหตุใดเจ้าถึงคิดจะเรียนเย็บปักถักร้อย? คุณหนูเยี่ยนอู่สอนเจ้างั้นหรือ?”

“ใช่แล้ว!” จิงอิ๋งพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ข้าเห็นนางปักก็เลยอยากเรียนขึ้นมา!แต่ลุงจิ่น นางปักดูง่ายมาก แค่ดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องง่ายมากเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก แต่ข้าว่ามันยากเหลือเกิน? แม้นางจะสอนข้าอย่างอดทน ท่าทีก็อ่อนโยน แต่ทำไมข้าถึงปักไม่ได้เรื่องล่ะ?”

“อืม…คุณหนูรอง เจ้าเป็นคนฉลาดหลักแหลม ควรรู้ว่ามีบางอย่างที่ทำได้ และบางสิ่งที่ทำไม่ได้ คนอื่นทำแล้วดูเหมือนจะง่ายมาก นั่นเป็นเพราะการฝึกฝนจนช่ำชอง จึงไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งที่คนอื่นถนัดมากดดันตัวเอง เจ้าว่าไหม? อีกอย่าง เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียนเย็บปักถักร้อยงานพวกนี้ ตระกูลซั่งกวนมีลักษณะอย่างไร ในฐานะคุณหนูของตระกูลซั่งกวน สิ่งที่เจ้าต้องการคือความสุภาพเรียบร้อย วรยุทธ์ชั้นสูง ส่วนการเย็บปักถักร้อยอย่างเดียว? นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณหนูของตระกูลซั่งกวนต้องทำ” แม้ซั่งกวนจิ่นจะยิ้มเต็มที่ แต่ไม่กล้าหัวเราะออกมาจริงๆ ทว่ากลับปลอบโยนจิงอิ๋งอย่างจริงจัง

“แต่พี่สะใภ้ในอนาคตช่างน่าทึ่งจริงๆ” แม้จะอยู่ด้วยกันได้เพียงสองวันสั้นๆ แต่จิงอิ๋งก็ประทับใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาก และชื่นชมเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ขาดปากแล้วกล่าวว่า “นางปักของหลายอย่างในห้องด้วยตัวนางเอง ประณีตมาก สวยงามมาก ยังดีกว่างานเย็บปักถักร้อยในห้องของข้าที่บ้านเสียอีก นางเขียนตัวอักษรได้ดีมากเช่นกัน ข้าอ่านลายมือของนาง มันค่อนข้างมีความชำนาญ ลีลาการเขียนจะใช้พู่กันปล่อยลายเส้นเป็นสีขาวฝอยๆ ตัวอักษรก็เหมือนตัวนางเองที่สวยงามและสง่างาม เมื่อเทียบกับพี่ใหญ่แล้วไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย เมื่อเย็นวาน นางเล่นพิณในสวนดอกไม้ของตระกูลเยี่ยนสักพักใหญ่ เจ้ารู้ไหม ข้าไม่เข้าใจเรื่องนี้มากนัก แต่บอกได้เลยว่านางเล่นเก่งจริงๆ ข้ายังรู้จากลู่หลัวสาวใช้ของนางว่านางมีฝีมือปลายจวัก วาดภาพได้ดี บทกวีและตำราก็ดีเยี่ยม…ลุงจิ่น เจ้าลองคิดดูสิ นางอายุมากกว่าข้าแค่สองปี แต่ทำไมนางทำเป็นหลายอย่าง แต่ข้าไม่เป็นอะไรเลย?”

“คุณหนูรอง ข้าไม่ได้พูดแบบนั้น คุณหนูของตระกูลซั่งกวนเราแตกต่างกัน เจ้าลองนึกถึงพี่สาวของเจ้า นางเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงและความสามารถ มีหลายต่อหลายคนบอกว่านางฉลาดมาก แล้วนางเย็บปักถักร้อยได้ไหมเล่า? เป็นแม่ศรีเรือนหรือเปล่า? ไม่เป็นเลย! ฮูหยินก็ไม่เป็นเช่นกัน เล่นพิณ? ไม่มีใครเล่นเป็น นายท่านชอบกู่เจิง ฮูหยินก็ชอบกู่เจิงด้วย คุณชายใหญ่ชอบขลุ่ย ส่วนคุณหนูใหญ่ชอบพิณผีผา เจ้ากับนายน้อยรองไม่สนใจเรื่องนี้เลย วาดภาพ? ฮูหยินเก่งเรื่องนี้ การเขียนพู่กันจีน นั่นเป็นงานอดิเรกของนายท่านกับคุณชายใหญ่ บทกวีกับตำรามีเพียงนายน้อยรองเท่านั้นที่ชอบ แล้วอย่างไรเล่า? ตระกูลซั่งกวนไม่มีใครที่ไม่มีทักษะพิเศษ วิชาดาบของนายท่าน ทักษะผ้าแพรแดงของฮูหยิน วิชากระบี่ของคุณชายใหญ่ กลยุทธ์ค่ายกลของคุณหนูใหญ่ เข็มเอ๋อเหมยของเจ้า วิชาดาบของนายน้อยรอง สิ่งเหล่านี้คุณหนูเยี่ยนอู่จะรู้เรื่องหรือไม่? อีกอย่าง เจ้าฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนที่เจ้ายืนอยู่บนเสาดอกเหมยนางกำลังทำอะไร? ตอนที่เจ้าฝึกเข็มเอ๋อเหมยอย่างหนักนางกำลังทำอะไร? ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้กับนาง สภาพแวดล้อมการใช้ชีวิตของพวกเจ้าไม่เหมือนกัน ความถนัดก็ย่อมจะแตกต่างกัน” ซั่งกวนจิ่นให้ความกระจ่างแก่นาง เขาจะทนเห็นจิงอิ๋งตกอยู่ในสภาพแห่งความทุกข์แบบนั้นต่อหน้าต่อตาไม่ได้

“พี่สะใภ้ในอนาคตก็พูดแบบเดียวกันเลย” จิ้งอิ๋งยังคงเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ยังจะพูดอะไรได้อีก ดอกเบญจ มาศในฤดูใบไม้ร่วงกับดอกกล้วยไม้ในฤดูใบไม้ผลิต่างมีกลิ่นหอมของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อบกพร่องของตัวเองมาเปรียบเทียบจุดแข็งของคนอื่น…แต่ ลุงจิ่น ข้ายังเศร้าอยู่มาก ข้าอยากปักกระเป๋าสวยๆ เป็นของขวัญ…”

เป็นเช่นนี้นี่เอง! ซั่งกวนจิ่นรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ในใจ?

“เจ้าอยากจะฆ่าเวลาในช่วงที่เดินทางอย่างไร? จะขี่ม้าเองหรือนั่งรถม้า?” ซั่งกวนจิ่นไม่ต้องการถามต่อ ถ้าถามต่อไปอีกล่ะก็จะต้องเอ่ยถึงบาดแผลในใจของจิงอิ๋งอย่างแน่นอน

“ข้าอยากนั่งรถม้า!” ทันใดนั้นจิงอิ๋งก็หัวเราะร่วนอย่างเบิกบานใจ “ว่าที่พี่สะใภ้ขอให้ข้านั่งรถม้าไปกับนาง ยังมีจื่อ หลัวกับลู่หลัวนั่งรถม้าไปด้วย ข้าจะเปลี่ยนไปนั่งกับพี่สะใภ้ในอนาคต ลุงจิ่น เจ้าคงไม่รู้ว่านางนำขนมเล็กๆ มาให้ตั้งมากมาย ข้าได้ชิมไปสองสามอย่าง อร่อยทั้งนั้นเลย! ในรถม้าของนางยังมีน้ำชาอีกด้วย เราพูดคุยไปพลาง กินดื่มไปพลางได้ ถ้าไม่อยากพูดคุย จะอ่านหนังสือ เล่นหมากรุก เย็บปักถักร้อยก็ได้…ข้างนอกหนาวขนาดนี้ แต่ในรถก็อุ่นแล้ว ว่าที่พี่สะใภ้ยังเอาเตาอังมือไปสองสามลูก มีลูกหนึ่งเตรียมมาให้ข้าไว้เป็นพิเศษด้วย”

เมื่อเห็นจิงอิ๋งรีบวิ่งไปที่รถม้าที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งอยู่อย่างภาคภูมิใจ ซั่งกวนจิ่นก็มีความสุขมาก ลูกทั้งสี่คนของฮูหยินซั่งกวนล้วนฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าจะเป็นซั่งกวนเจวี๋ยก็ดี ซั่งกวนหลิงหลงก็ตาม ต่างก็แบกรับความคาดหวังจากบุพการีไว้มากเกินไป โดยพื้นฐานแล้วไม่มีวัยเด็กอะไรเลย ส่วนซั่งกวนอิงแม้จะไม่มีแรงกดดันมากจนเกินไป แต่ก็มีนิสัยของคนหนุ่มที่ขาดความกระฉับกระเฉง มีเพียงซั่งกวนจิงอิ๋งเท่านั้นที่ถูกตามใจมากที่สุดและไม่มีแรงกดดันอะไร จึงรักษาความไร้เดียงสาและน่าเอ็นดูเช่นนี้ไว้ได้

แต่…ซั่งกวนจิ่นหัวเราะเล็กน้อย ดูท่าคุณหนูเยี่ยนอู่จะสงสัยในตัวตนของจิงอิ๋งเข้าแล้ว ดังนั้นจึงใจกว้างและเอ็นดูนางเช่นนี้ และก็อดทนกับยัยหนูสาวใช้ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำคนนี้เสียด้วย!

แบบนี้ก็ดี! แม้ซั่งกวนจิงอิ๋งจะเป็นแก้วตาดวงใจของคนทั้งครอบครัว แต่มีเพียงไม่กี่คนในตระกูลซั่งกวนที่อดทนกับนางได้ และลูกสาวของตัวเอง ซึ่งก็เป็นสาวใช้ตัวเล็กๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็ต้องอดทนเมื่ออยู่รับใช้ใกล้ๆ ซั่งกวนจิงอิ๋ง สำหรับนางแล้ว เป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง บางทีนี่อาจเป็นข้อดีอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ภรรยาคุณชายในอนาคตผู้นี้

“ข้า…” จิงอิ๋งมองใบหน้าที่อ่อนโยนนุ่มนวลของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แล้วรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นี่เป็นวันที่หกที่พวกนางออกจากอู๋โจว และเป็นวันที่แปดที่จิงอิ๋งมาอยู่กับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ แม้จะเป็นเพียงแปดวันสั้นๆ แต่จิงอิ๋งกลับตกหลุมรักพี่สะใภ้ในอนาคตคนนี้โดยสิ้นเชิงซึ่งตัวเองไม่ได้มองในแง่ดีมาก่อน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์สะสวยงดงาม! ซั่งกวนจิงอิ๋งรู้สึกตั้งแต่เห็นนางเป็นครั้งแรก และเชื่อว่านอกจากมู่หรงชิงหวั่นแล้ว แทบจะไม่มีสตรีผู้ใดมีความงามทัดเทียมกับนางได้ แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่เหมือนหญิงงามที่มีชื่อเสียงพวกนั้นที่นางมักจะเห็นอยู่บ่อยๆ ทั้งจองหอง โอหังและยังโอ้อวดความงามของตัวเองเหมือนนกยูงที่หยิ่งผยอง เพื่อป้องกันตัวเองว่าจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่น นางจึงไม่ค่อยแสดงรอยยิ้ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแต่งหน้าอย่างประณีต

จิงอิ๋งยังคงจำได้ว่าตอนที่ออกจากตระกูลเยี่ยนในวันนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์จงใจแต่งหน้าบางๆ เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาที่สวยงามมากของนางให้กลายเป็นความงามที่น่าทึ่งยิ่งขึ้น ไม่ต้องพูดถึงจิงอิ๋ง แม้จะเป็นคนใจเย็นมาตลอด จื่อหลัวที่มองใบหน้าของคุณหนูตัวเองจนชินก็ยังตกตะลึง หลังจากที่จิงอิ๋งกลับมามีสติแล้ว นางก็ยกย่องเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก นางอ่านหนังสือไม่มากนัก จึงไม่มีคำพูดที่สวยงามมาพรรณนาได้ แต่คำอุทานนั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนด้วยการพูดเกินจริงที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง

เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดกลั้นหัวเราะไม่ได้ในขณะนั้น นางจึงโพล่งหัวเราะออกมา ซึ่งสวยสะดุดตายิ่งนัก แต่คำพูดของนางกลับทำให้จิงอิ๋งแม้จะไม่เข้าใจดีนัก แต่ก็จำได้อย่างชัดเจนว่า ‘ยัยเด็กโง่ หน้าตาดีแต่ผิวเผินต้องขึ้นอยู่กับใครด้วยล่ะ! ความจริงแล้วการที่ผู้หญิงหน้าตาสวยงามไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป คนโบราณกล่าวว่าหญิงงามล่มเมืองและหญิงงามที่ชีวิตอาภัพล้วนเป็นสัจธรรม ในบางครั้งความงามก็แย่เกินไปเช่นกัน งามสามส่วนเป็นเรื่องธรรมดา งามห้าส่วนกำลังดี งามเจ็ดส่วนช่วยเสริมสิ่งที่งดงามให้งดงามยิ่งขึ้น งามสิบส่วนก็คือหายนะ!’

ซั่งกวนจิงอิ๋งไม่เข้าใจคำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ มีแต่ความงุนงงเล็กน้อยในนั้น กลับทำให้ซั่งกวนจิงอิ๋งปฏิบัติต่อนางด้วยความรักที่อธิบายไม่ได้ นอกเหนือจากความชอบที่บริสุทธิ์ใจแล้ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนฉลาด! แต่ความฉลาดของนางไม่เคยแสดงออกมาให้เห็น ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ นางไม่ได้แสดงความฉลาดล้ำเลิศแบบผิวเผินเหมือนอย่างสือหย่าฉีหรือที่เรียกกันว่าหงหลัวซา และก็ไม่ได้แสดงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องของนางอย่างอวี้เมิ่งเหยาซึ่งเป็นที่รู้จักในนามเทพธิดาหยก หรือหวงเซียวเซียงจอมยุทธ์หญิงเซียวเซียงที่มีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งแสดงความรู้ของนางไปทุกหนทุกแห่ง แต่เมื่อจิงอิ๋งลองหยั่งเชิงและอยากรู้อยากเห็นจึงถามคำถาม นางก็แสดงให้เห็นถึงปฏิภาณไหวพริบ ความฉลาดและความสามารถที่แตกต่างของนางออกมา แม้จิงอิ๋งจะถือเป็นเพียงคนเดียวในครอบครัวที่ ‘ไร้ความรู้และไม่มีทักษะ’ แต่ยังมีความรู้อยู่บ้าง บางคำ ถามของนางแปลกมาก บางคำถามก็ยากมาก แต่ไม่ว่าจะถามอะไร เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตอบนางได้ดีเสมอ…กลับกันไม่มีอะไรที่ไม่รู้ แต่เมื่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกถามคำถามที่ตัวเองก็ไม่รู้เช่นกัน นางจะใจเย็นและสงบที่สุดซึ่งทำให้จิงอิ๋งตาสว่างขึ้น นางจะไม่หาเหตุผล และจะไม่เบี่ยงเบนประเด็น แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วสารภาพอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่รู้หลังจากขบคิดแล้ว

นั่นเป็นเพราะชอบเยี่ยนมี่เอ๋อร์มากขึ้นเรื่อยๆ ซั่งกวนจิงอิ๋งค่อยๆ รู้สึกผิดในใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกว่าตัวเองผิดที่ปกปิดตัวตน และก็อยากจะเปิดเผยตัวตนของนางอย่างบุ่มบ่ามอีกด้วย

“ทำไม?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองไปที่นางอย่างสงบ นางไม่ค่อยหัวเราะ จิงอิ๋งเคยถามนางว่า เหตุใดถึงไม่หัวเราะ นางหัวเราะแล้วจะสวยมาก สะดุดตายิ่งนัก นางมักจะมีใบหน้าที่สงบ ใบหน้าเปลือยเปล่าจะลดความงามของตัวเองไปมาก แต่คำพูดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับทำให้จิงอิ๋งยากที่จะเข้าใจ นางกล่าวว่า ‘ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาใครจะดีกว่า’

“ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า แต่กลัวว่าเจ้าจะโกรธ?” จิงอิ๋งเอ่ยปากขอคำสัญญา นางไม่รู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะโกรธหรือไม่ถ้ารู้ตัวตนของนางในภายหลัง นางกังวลยิ่งนัก หากเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ชอบนางหรือไม่สนใจนางด้วยเพราะเหตุนี้ นางจะเสียใจมาก

“ไม่เป็นไร ว่ามาเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นสีหน้าของนางก็รู้ว่านางพยายามจะพูดอะไร จิงอิ๋งเดิมเป็นเด็กผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์ มักเก็บซ่อนความลับไม่อยู่ ครั้นเห็นนางสองจิตสองใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงพูดให้กำลังใจว่า “ไม่ว่าพูดอะไร ข้าสัญญาว่าจะไม่โกรธ ดีหรือไม่?”

“จริงหรือ?” จิงอิ๋งพูดด้วยความประหลาดใจ “ต่อให้ข้าจะบอกว่าเคยโกหกเจ้าก็ไม่โกรธงั้นหรือ?”

“ใช่!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้คำตอบที่มั่นใจกับนางอย่างแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกแล้วนะ” จิงอิ๋งพูดด้วยความกล้าว่า “ข้าไม่ใช่สาวใช้ของฮูหยินซั่งกวน ข้าเป็นคุณหนูรองของตระกูลซั่งกวน เพียงแต่ชื่อไม่ได้โกหกเจ้า…เจ้าจะโกรธหรือไม่?”

“พูดเสร็จแล้วหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามกลับ

“อืม…ข้าแค่อยากรู้ว่าพี่สะใภ้เป็นคนแบบไหน ก็เลย…” จิงอิ๋งพูดๆ อยู่ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเล่นลิ้นอยู่ เสียงของนางจึงค่อยๆ หายไป

“ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลูบมือนางอย่างปลอบโยนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “อันที่จริงข้ารู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าไม่ใช่สาวใช้อะไรหรอก แต่เป็นคุณหนูรองจากตระกูลซั่งกวน เพียงแต่กลัวว่าเจ้าจะไม่สบายใจ จึงไม่ได้เปิดเผยเจ้าก็เท่านั้นเอง เราเสมอกันแล้ว ดีหรือไม่?”

“เจ้ารู้จักตัวตนของข้าได้อย่างไร?” จิงอิ๋งถามขึ้นอย่างแปลกใจมาก “เจ้ายังไม่เคยถามอะไรข้าเลยนะ?”

“ยัยเด็กโง่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างจนใจเล็กน้อยว่า “อย่างแรก เจ้าปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ได้มาพร้อมกับลุงจิ่น ตอนที่มาถึงบ้านของตระกูลเยี่ยน แต่มาหลังจากที่เขาเข้าเยี่ยมเยียนตระกูลเยี่ยนแล้ว หมายความว่าเจ้าไม่ได้เตรียมการมาก่อนที่จะมารับใช้ข้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นสาวใช้ธรรมดาไม่ได้ แต่เดิมจื่อหลัวยังคิดว่าเป็นสาวงามคนสนิทคนใดคนหนึ่งของคุณชายซั่งกวนเสียด้วยซ้ำไป ตั้งใจมาดูข้าว่ามีดีตรงจุดไหนบ้าง ถึงเข้าตาฮูหยินซั่งกวน จึงต้องแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ แต่อายุของเจ้ายังเด็กเกินไป นัยน์ตาก็ไร้เดียงสา ไม่เหมือนหลายคนที่เล่าลือ ประการที่สอง เจ้าพูดจาไม่เหมือนสาวใช้ จะเอ่ยปากหรือรับคำก็ไม่ได้พูดจาให้เกียรติด้วยซ้ำ ถ้าสาวใช้ของตระกูลซั่งกวนเป็นเหมือนเจ้า คาดว่าคงจะโดนโบยไปนานแล้ว และสิ่งสำคัญที่สุดคือชื่อของเจ้า แม้ข้าจะไม่รู้จักครอบครัวซั่งกวนมากนัก แต่ข้ายังรู้ว่ามีน้องสาวสองคนคือหลิงหลงกับจิงอิ๋ง และน้องชายอีกหนึ่งคนคือซั่งกวนอิง เจ้าลองคิดดูสิ ตระกูลซั่งกวนจะมีสาวใช้ชื่อเดียวกับคุณหนูได้หรือไม่?”

“ข้ายังคิดว่าข้าปลอมตัวดีมากนะ นึกไม่ถึงว่าจะมีข้อบกพร่องมากมายขนาดนี้” จิงอิ๋งแลบลิ้นออกมาอย่างน่าเอ็นดูแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมพี่สะใภ้ไม่พูดก่อนหน้านี้ ข้ากังวลมาตลอดในหลายวันนี้ กลัวว่าพอรู้ว่าข้าเป็นใครในวันนั้น แล้วจะโกรธและไม่สนใจข้า…”

“ข้าคิดว่าเจ้าแสร้งทำเป็นมีความสุขมาก จึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบอย่างกระชับ

“พี่สะใภ้” จิ้งอิ๋งเอ่ยเรียกอย่างออดอ้อน

“เอาล่ะ อย่าทำตัวเหมือนเด็กเลย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์สั่งสอนนางที่ไม่เชื่อฟัง จึงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “แต่จิงอิ๋งต่อไปอย่าทำตามอำเภอใจแบบนี้อีกเชียว เจ้าจำไว้ว่า อย่าหลอกคนอื่นง่ายๆ ตอนที่เจ้าอยากหลอกคนอื่น จะต้องคิดถึงผลที่ตามมาด้วย จะเพิกเฉยเช่นนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ทุกคนจะอดทนกับการหลอกลวงได้”

“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า นั่นคือการเป็นเด็กดีไม่พูดโกหก” จิงอิ๋งก็พูดกับบิดามารดาพี่ชายและพี่สาวที่คอยสั่งสอนนางมาตลอด แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าพี่สะใภ้ในอนาคตจะพูดเช่นเดียวกัน

“ไม่ ข้าจะบอกว่าอย่าหลอกกันง่ายๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ บางครั้งการโกหกก็ไม่ใช่เพราะเจตนาไม่ดี แต่เพื่อความอยู่รอด จิงอิ๋ง เจ้าเป็นเด็กที่ถูกตามใจมากเกินไป ไม่รู้ถึงความชั่วร้ายของจิตใจผู้คน หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปจะต้องทนทุกข์ทรมานมาก โอ้ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ข้าจะค่อยๆ สอนเจ้าในอนาคตเอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองไปที่จิงอิ๋ง นางชอบน้องสามีในอนาคตคนนี้จริงๆ มิฉะนั้นด้วยนิสัยของนางจะไม่พูดแบบนี้ออกมาเด็ดขาด

“สอนให้ข้าโกหก?” จิงอิ๋งตื่นเต้นยิ่งนัก ไม่เคยมีใครพูดเรื่องแบบนี้กับนางมาก่อน

“ไม่ใช่โกหก แต่เรียนรู้ที่จะไม่ถูกคนหลอกลวงและเอาชีวิตรอดต่างหากเล่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “แต่เจ้าจำไว้ว่า นี่เป็นความลับระหว่างเรา บอกใครไม่ได้ นี่เป็นบทแรกที่เจ้าต้องเรียนรู้ด้วย เรียนรู้ที่จะซ่อนความลับเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง!”

“อื้ม!” จิงอิ๋งพยักหน้าระรัว ใบหน้าของนางตื่นเต้น ไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย

———————————————-

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset