เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 0 ควรจะอธิบายหรือเปล่า

เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาก็หยิบขึ้นมาดูหน้าจอ เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของหนานกงเฉินในใจก็เกร็งไป เขาเคยคิดว่าถ้าหนานกงเฉินหาตัวเธอไม่เจอคงมาหาที่นี่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเร็วขนาดนี้
ลังเลไปครู่หนึ่งเขาก็กดรับสาย “พี่ชายโทรหาผมมีอะไรหรอครับ?”
น้ำเสียงดูปกติเหมือนทุกวันแล้วยังแฝงด้วยความยิ้มอ่อนอ่อน
“นายว่าล่ะ?” มุมปากของหนานกงเฉินลดลงไปพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “นายเอาพี่สะใภ้ไปไว้ที่ไหน?”
หลินอันหนานเงยหน้าขึ้นมองข้างบนแล้วตอบไปว่า “พี่สะใภ้? พี่ชายกำลังพูดอะไร?”
“คุณชายหลิน คุณแน่ใจเหรอว่าจะแกล้งทำเป็นไม่รู้?” น้ำเสียงหนานกงเฉินมีความไม่พอใจอย่างชัดเจน
แต่หลินอันหนานก็ไม่คิดที่จะหลุดปากแถมยังแสร้งพูดต่อว่า “พี่ชายผมไม่เข้าใจจริงๆว่าพี่กำลังพูดอะไร พี่สะใภ้เป็นอะไรครับ?”
หนานกงเฉินลังเลไปครู่นึงแล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีอะไร”
ทีแรกคิดว่าตัวเองพูดจนเขาได้ถอดใจไปแล้ว ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้เลย
มองไปที่รถของหนานกงเฉินข้างล่าง มุมปากหลินอันหนานก็ขยับขึ้นยิ้มอ่อนแล้วหันไปมองไป๋มู่ชิงที่นั่งนิ่งอยู่ข้างหน้าต่างแล้วพูดว่า “พวกแกสองคนรักกันจริงๆ สามารถถึงที่นี่ได้”
ไป๋มู่ชิงได้ยินเสียงที่เขาพูดแล้วขยับร่างกายมองลงไปก็เห็นรถของหนานกงเฉินจอดอยู่ข้างล่าง
เวลานี้เธอก็ยังใส่ชุดนอนอยู่เส้นผมก็ยุ่งเหยิงแล้วอิงไปที่กระจกหน้าต่างเบาๆ เธอมองจากมุมนี้ลงไปก็เห็นตำแหน่งที่หนานกงเฉินอยู่พอดี
หนานกงเฉินที่อยู่ข้างล่างก็เห็นเธอพอดี มองผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามา เขาเห็นสีหน้าซีดขาวของไป๋มู่ชิงแล้วยังเห็นชุดนอนบนตัวเธอด้วย
ในใจเขาก็ดีใจที่ได้เจอเธอที่นี่ อย่างน้อยเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่เป็นอะไรมาก แต่ความดีใจก็ถูกด้วยความโมโหแทนที่ทันที เธออยู่ในบ้านของผู้ชายคนอื่นแถมยังใส่ชุดนอนอีก? ช่างทิ่มแทงสายตาเขาแล้วความรู้สึกของเขามาก!
หนานกงเฉินมองไปที่เธอสักพักจากนั้นก็ก้าวเข้ามาในบ้านพัก
เมื่อเขาก้าวเข้ามาในห้องรับรองชั้นแรก หลินอันหนานก็กำลังเดินลงมาพอดี เดินมาต่อหน้าด้วยหนานกงเฉินสีหน้ารู้สึกผิด “พี่ชาย พี่มาแล้วหรอ”
หนานกงเฉินจ้องเขา “นายยังบอกว่าพี่สะใภ้ไม่อยู่ที่นี่อีกหรอ?”
“ไม่ครับ พี่ชายเข้าใจผิดแล้ว” หลินอันหนานเสียหน้าแล้วถูมือตัวเอง “พี่สะใภ้ถูกโจรขโมยโทรศัพท์ที่นอกเมืองแถมยังตากฝนอีก ผมเจอเธอพอดีก็เลยรับกลับมาด้วย เอ่อ……พี่สะใภ้ก็กลัวพี่จะเข้าใจผิดเลยไม่อยากให้พี่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่”
สีหน้าที่เสียดสีของหนานกงเฉินชัดขึ้น “เจอกันพอดีหรอ?”
“ใช่ครับ” หลินอันหนานพยักหน้าให้
หนานกงเฉินเดินผ่านตัวเขาไปแล้วก้าวขึ้นไปชั้นบน หลินอันหนานเห็นแผ่นหลังของเขาที่ก้าวเดินขึ้นเข้าไปก็ถอนหายใจ ไม่คิดเลยว่าจะตามมาถึงที่นี่ได้ ไม่คิดเลย!
เขาถอยหลังไปแล้วนั่งลงบนโซฟา ในใจก็ว้าวุ่นไปหมด
เขาไม่อยากมีปัญหากับหนานกงเฉิน แล้วไม่มีปัญญาไปทำอะไรเขาด้วย ครั้งนี้เขาก็ถามตัวเองในใจว่าทำแบบนี้ดีแล้วหรอ? มันคุ้มหรอ?
ความรักที่เขามีให้ไป๋มู่ชิงเป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่ใช่ผู้ชายที่หลงหัวปักหัวปัมขนาดนั้น เขาสามารถเสียสละทุกอย่างได้เพื่อตำแหน่งฐานะของตัวเอง
แต่หลังจากที่ไป๋มู่ชิงจากเขาไป เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองปล่อยวางง่ายขนาดนี้ไม่ได้ ในใจก็รู้สึกว่างๆ ถึงแม้จะมีไป๋ยิ่งอันที่หน้าตาเหมือนกันก็ทดแทนไม่ได้
ยิ่งตอนที่เห็นไป๋มู่ชิงอยู่กับหนานกงเฉินอยู่ด้วยกัน เห็นไป๋มู่ชิงท้องลูกของตระกูลหนานกง ในใจเขาก็ยิ่งวุ่นขึ้นไปอีก จนทำอะไรไม่คิดก็เหมือนถ้าเรื่องวันนี้เกิดขึ้นเขาคงไม่ได้รับความอภัยจากไป๋มู่ชิงแถมยังมีปัญหากับหนานกงเฉินอีก
หนานกงเฉินขึ้นไปถึงชั้นสองเปิดประตูห้องของไป๋มู่ชิงแล้วก้าวเข้าไป ไป๋มู่ชิงก็ยังนั่งนิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่อย่างนั้น
หนานกงเฉินมองกวาดไปที่ชุดนอนบนตัวเธอก็รู้สึกหน่วงๆขึ้นมาแล้วถามว่า “เสื้อผ้าของคุณล่ะ?”
ทำไมเขาจะไม่รู้หลังจากที่เธอตากฝนคงใส่เสื้อผ้าที่เปียกอย่างนั้นตลอดไม่ได้ สิ่งที่เขาอยากถามคือใครเป็นคนถอดเสื้อให้เธอ ร่างกายของเธอถูกใครดูแล้วบ้าง ระหว่างเธอกับหลินอันหนานเกิดอะไรขึ้น
“ผมกำลังถามคุณ” เขาเดินก้าวไปยืนต่อหน้าเธอ
ไป๋มู่ชิงก็ไม่ได้สนใจเขาตามเคยเหมือน เหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด
“คุณหมายความว่ายังไง?” คิดจะนิ่งอยู่ที่นี่ไม่ไปหรอ?” หนานกงเฉินโมโหอารมณ์ร้อน
เขาหาเธอตั้งแต่ประชุมเสร็จจนตอนนี้ฟ้าใกล้มืด จนลืมกินข้าวบาดแผลก็ยังไม่ได้ทำแผลกว่าจะหาเธอเจอ แต่เธอกลับทำตัวเย็นชาแบบนี้
เขารู้ว่าคนท้องอารมณ์แปรปรวนง่ายแต่นี่มันผิดปกติเกินไปหรือเปล่า?
ไป๋มู่ชิงหันกลับมาช้าๆแล้วจ้องเขา “ฉันไม่อยากไป แต่คุณจะปล่อยฉันไว้หรอ?”
“คุณไม่อยากไป?คุณไม่อยากไปงั้นหรอ?” หนานกงเฉินดึงตัวเธอให้ลุกขึ้นจากหน้าต่างอย่างโมโหดึงเข้ามาในอ้อมแขนแล้วใช้มือจับท้ายทอยเธอไว้พร้อมเอ่ยกัดฟันแน่นข้างหู “เธอคุณลองพูดอีกรอบสิ?”
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ดิ้นหลุดออกจากเขา แต่กลับก้มหน้าลงไปไหล่เขาแล้วกัดลงไปแรงๆ
หนานกงเฉินถูกเธอกัดจนโอดครวญ จากนั้นก็รู้สึกว่ามีน้ำอุ่นๆหยดลงระหว่างไหปลาร้าของตัวเองแล้วได้ยินเสียงที่เธอพยายามกั้นไว้ด้วย
เขาใจอ่อนไปแล้วกอดเอวเธอไว้แล้วถามขึ้นว่า “คุณเป็นอะไร?หลินอันหนานรังแกคุณใช่ไหม?”
ไป๋มู่ชิงไม่ตอบยังกัดอยู่อย่างนั้น ถึงแม้จะมีกลิ่นคาวเลือดก็ไม่ยอมปล่อยปาก
หนานกงเฉินเริ่มชินกับความเจ็บที่แล้วไหปลาร้าแล้ว ถามขึ้นอีกว่า “ทำไมถึงไปนอกเมืองไกลขนาดนั้น? ทำไมโทรศัพท์ถูกโจรขโมยไปแล้วไม่โทรหาผม? ทำไมต้องกลับมากับหลินอันหนานด้วย?”
ความเงียบกลับมาอีกครั้ง ไป๋มู่ชิงปล่อยเขาสักที น้ำตาก็ไหลผ่านคราบเลือดที่มุมปากแล้วมองเขาด้วยสายตาเคืองแค้น “หนานกงเฉิน ฉันแค่อยากจะถามว่า หลังจากที่ฉันกลับไปกับคุณฉันจะเป็นยังไง?”
“หมายความว่ายังไง?”
“คุณตอบตกลงที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นแล้วไม่ใช่หรอ?” สิ่งที่ทำให้เธอเสียใจมากที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้เพราะยังไงหลังจากที่เด็กคลอดแล้ว เธอกับเขาก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกันอีก เขาจะแต่งงานกับใครก็ไม่ใช่เรื่องของเธออีก ถึงแม้จะเสียใจกับการกระทำที่เยือกเย็นของเขาแต่มันยังไม่ทำให้ตัวเองเสียใจจนจะเป็นบ้าขนาดนี้
ที่เธอเสียใจก็เป็นเพราะว่าเขาใช้วิธีการสกปรกขนาดนั้นจนทำให้คุณย่าเธอตาย แต่เธอกลับถามเขาตรงๆไม่ได้แ ล้วแก้แค้นเขาไม่ได้เ
หมือนกับว่ามีความเครียดแค้นที่ระบายออกมาไม่ได้จึงใช้ข้ออ้างนี้ระบายอารมณ์กับเขาไป
หนานกงเฉินคาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะถามแบบนี้ ในใจก็ประหลาดใจไปพร้อมขมวดคิ้วถามขึ้น “ใครเป็นคนบอกคุณ?”
“ใครจะบอกฉันมันแตกต่างกันหรอ?”
“ไม่แตกต่าง แต่คุณฟังผมอธิบายก่อน”
“ไม่จำเป็นแล้วล่ะ” ไป๋มู่ชิงใช้แรงผลักเขาออกไปแล้วพูดต่อว่า “ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรสุดท้ายมันก็เหมือนเดิม”
ก็แค่จะหาคนที่ถูกโชคชะตาลิขิตไว้เพื่อร่างกายของเขา ที่เขาแต่งงานกับผู้หญิงเยอะขนาดนี้ก็เพราะเหตุผลนี้ไม่ใช่หรอ?
หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธอ “นี่เป็นสิ่งที่คุณเลือก ถ้าไม่ใช่คุณดื้อดึงจะคลอดเด็กคนนี้ ผมก็คงไม่ถูกคุณย่าบังคับให้ตกลง”
“ถึงแม้ฉันจะเอาเด็กออก คุณย่าก็จะล้มเลิกความคิดที่จะให้คนแต่งงานต่องั้นหรอ? “คุณจะต่อต้านคุณย่าเพื่อฉันหรอ?” ไป๋มู่ชิงปาดน้ำตาออก “กับตระกูลหนานกงของพวกคุณ ฉันเป็นแค่เครื่องมือที่รักษาโรคคุณ เครื่องมือที่ให้กำเนิดบุตรหลานให้คุณ พวกคุณไม่เคยนึกถึงความรู้สึกฉันเลย อยากได้เด็กก็เอา ไม่อยากได้ก็ไม่ทิ้ง พวกคุณ……”
ไป๋มู่ชิงเงียบไปแล้วเปลี่ยนคำพูดว่า “ฉันรู้ว่าคุณจะพูดว่าฉันเป็นสิ่งของที่ตระกูลหนานกงซื้อมาตั้งแต่แรก แถมฉันยัง……เป็นคนวิ่งเข้าหาคุณอีก ฉันไม่มีสิทธิ์อะไรนอกจากทนกับความไม่ยุติธรรมนี้ไม่มีสิทธิ์อะไร……”
“พอแล้ว!” หนานกงเฉินพูดตัดขึ้นอย่างหงุดหงิด เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับเธอยังไง เหมือนจะอธิบายไม่เคลียร์ด้วย
เธอก็พูดถูก ถึงแม้เธอจะเอาเด็กออกคุณย่าก็จะอนุญาตให้เขาไม่แต่งงานต่อหรอ? เขาจะต่อกลอนกับคุณย่าที่ทำเพื่อเขาได้หรอ?
ด้วยความจำเป็นเขาก็เลยดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน “ผมไม่อยากอยู่ในที่ของผู้ชายคนอื่นนานนัก คุณกลับไปกับผมดีๆเถอะ”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้นแล้ว ไม่ใช่เวลาที่จะหนีด้วย ก็เลยจำใจกลับไปกับเขา
ตอนที่เดินผ่านห้องรับรองชั้นหนึ่ง หลินอันหนานมองกวาดไปที่บาดแผลที่เพิ่มขึ้นที่ไหล่ของหนานกงเฉิน จากนั้นก็มองไปที่ไป๋มู่ชิงพร้อมเอ่ยถามเธอว่า “พี่สะใภ้จะกลับเลยหรอครับ”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขา ในใจก็ตีกันวุ่นไปหมด
เธอรู้ว่าคำพูดนี้ของหลินอันหนานหมายความว่าอะไร เขาอยากให้เธออยู่ต่อ แต่ว่า……จะเป็นไปได้ยังไง?
ถึงแม้ตอนนี้จะให้เธอเลือก เธอก็ฉันเลือกอยู่กับหลินอันหนานแทน เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ได้บีบบังคับคุณย่าเธอจนตาย แค่เขาเคยหักหลังเธอ นอกนั้นก็ไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ไม่ดีกับเธอเลย
แต่ตอนนี้เธอเลือกไม่ได้คนที่เธอแต่งงานด้วยคือหนานกงเฉิน ลูกในท้องก็เป็นลูกของหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกแสบหูแล้วจองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น “ไม่งั้นล่ะ? อยู่ต่อกับนายที่นี่หรอ?”
“ไม่ครับ ผมหมายความว่าเสื้อผ้าของพี่สะใภ้กำลังซักอยู่ยังไม่ได้มาส่ง” หลินอันหนานพูด
“เสื้อผ้าหรอ?ไม่ต้องแล้ว” หนานกงเฉินก้มลงไปมองเท้าเปล่าของไป๋มู่ชิงแล้วเอนตัวลงไปอุ้มเธอขึ้นเดินออกนอกประตูไป
ไป๋มู่ชิงตกใจกับการกระทำที่ฉับพลันของเขาแล้วรีบใช้มือคล้องคอเขาไว้
จนกระทั่งหนานกงเฉินวางตัวเธอลงในรถแล้วรถก็แล่นออกจากโรงแรม ไป๋มู่ชิงอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดในรถนิ่งเงียบสงัด ทั้งสองคนไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลย
เมื่อรถแล่นเข้ามาจอดหน้าประตูโรงแรมหนานกงเฉินก็ดับเครื่องยนต์แล้วกำลังจะเปิดประตูลงไป แต่สังเกตุเห็นว่าเธอไม่ขยับตัวเลยเลยหันไปพูดกับเธอว่า “ลงรถ”
ไป๋มู่ชิงค่อยขยับร่างกายที่เฉยชาแม้แต่เปิดประตูรถยังรู้สึกกินแรงเลย
หนานกงเฉินสังเกตุเห็นความไม่สะดวกของเธอเลยยื่นมือไปจับแขนเธอไว้แล้วดึงกลับมา มองสำรวจใบหน้าที่ซีดขาวของเธอ “คุณเป็นอะไร? ไม่สบายหรอ?”
เป็นเพราะว่าตากฝนแล้วตอนนี้ก็เริ่มมีไข้รู้สึกหนักหัวเวียนหัวหนัก
“ฉันไม่เป็นไร” เธอดิ้นรนจะลงรถแต่กลับถูกหนานกงเฉินดึงกลับมา
หนานกงเฉินยกฝ่ามือขึ้นวางบนหน้าผากเธอแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป “คุณมีไข้ เดี๋ยวไปหาหมอก่อน”
“คุณไม่ต้องมายุ่ง!” ไป๋มู่ชิงดื้อดึงแล้วใช้มืออีกข้างไปเปิดประตูรถ
หนานกงเฉินล็อกประตูรถแล้วจ้องมองเธอด้วยความโมโห “คุณหนูไป๋ ผมเตือนคุณไว้เลยว่าคุณอย่าเอานิสัยแบบนี้มาทดสอบความอดทนของผม”
พูดจบเขาก็สะบัดมือเธอออกแล้วสตาร์ทรถออกไป
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเพื่อความแน่ใจ หนานกงเฉินก็ให้คุณหมอทำเรื่องแอดมิทให้เธออยู่ดูแลครรภ์ในโรงพยาบาล
เพราะว่าเป็นคนท้องทางโรงพยาบาลก็เลยต้องระมัดระวังในการรักษา ไป๋มู่ชิงหันหลังให้กับประตูห้องพักฟื้น บนใบหน้าไม่มีน้ำตาแล้วแต่ยังมีสีหน้าความรู้สึกที่เสียใจอยู่
ทำให้ตัวเองเป็นถึงขนาดนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอหวังเลย ถ้าให้เหยาเหม่ยรู้คงล้อเธออีกว่าโรงพยาบาลเกือบจะเป็นบ้านของเธอไปแล้ว ถ้าให้คุณหญิงรู้ก็คงจะโทษเธอที่ไม่ดูแลตัวเองอีก
หนานกงเฉินมองไปที่เวลาบนข้อมือ ตอนนี้สามทุ่มแล้ว เขาที่ไม่ได้กินอะไรเลยมาทั้งวันก็รู้สึกปวดกระเพาะขึ้นมา ไม่รู้ว่าเธอกินอะไรตอนเย็นหรือยัง แต่เห็นสภาพแบบนี้คงไม่ได้กินแน่ๆ
เขาพูดใส่แผ่นหลังของเธอว่า “คุณอยากกินอะไร?เดี๋ยวผมไปซื้อให้”
ไป๋มู่ชิงส่ายหัวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา “ไม่จำเป็น”
“คุณกินอาหารเย็นหรือยัง?”
ไป๋มู่ชิงไม่ตอบ เธอยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรก็เดาได้ว่าคงไม่ได้กินแล้วพูดขึ้นอีกว่า “เดี๋ยวผมซื้อโจ๊กให้คุณดีไหม? หรือว่าจะกินบะหมี่?”
รอไปครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงตอบรับอีก เขาก็เดินขึ้นไปอย่างหงุดหงิดแล้วจับแขนเธอให้หันกลับมา “คุณหนูไป๋ คุณฟังไว้นะคุณชายอย่างผมไม่เคยปรนนิบัติใครมาก่อน คุณให้ความร่วมมือจะดีกว่านะ!”
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตกใจกับคำขู่ของเขาแต่มองกับเขาแล้วเอ่ยไปว่า “ฉันไม่ต้องการการปรนนิบัติจากคุณ”
“นี่คุณ……”
“ถ้าคุณชายอยากให้ฉันรีบออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปในเมืองซี งั้นก็ขอให้คุณหายไปจากสายตาฉันเถอะ ไม่งั้นฉันคงทุกข์ทรมานแล้วไม่หายสักที”
หนานกงเฉินจ้องมองเขาไปสักครู่แล้วพูดกันฟันแน่นว่า “ไม่รู้จักรับไว้!” พูดจบจากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
เขาคิดว่าตัวเองคงเป็นบ้าแล้วเลยเป็นห่วงอาการของเธอ แล้วให้เธอทำตัวงี่เง่าเหยียบย่ำความรู้สึกของตัวเอง โตขนาดนี้แล้ว ผู้หญิงแบบไหนบ้างที่ไม่เคยเจอ? ไม่มีผู้หญิงคนไหนเลยที่ทำกับเขาอย่างเธอ!
หลังจากที่หนานกงเฉินเดินออกไป ไป๋มู่ชิงก็หันหลังกลับไปแล้วหลับตาลง ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด
หนานกงเฉินเดินออกจากห้องพักฟื้นก็เกือบจะชนกับผู้ช่วยเหยียนที่อยู่หน้าประตู เขาหยุดก้าวขาจากนั้นเดินต่อไป
“คุณชายเฉินคะ……” ผู้ช่วยเหยียนรีบตามขึ้นไปให้ทันฝีก้าวเขา “ระหว่างคุณกับคุณหญิงน้อยมีความเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่าคะ? ดูจากนิสัยของคุณหญิงน้อยแล้วไม่น่าจะงี่เง่าแบบนี้เลย”
หนานกงเฉินหัวราะเสียดสีขึ้นมา แต่ก่อนเขาก็คิดว่าเธอรู้เรื่องน่ารักอยู่ เลยดีกับเธอมากกว่าผู้หญิงคนอื่น แต่ผู้หญิงคนนี้คงตามใจมากไม่ได้ พอตามใจก็ลืมตัวไปเลย
“หรือว่าเป็นเพราะหลินอันหนานพูดอะไรกับเธอ เธอถึงได้ต่อต้านคุณขนาดนี้?”
หนานกงเฉินหยุดก้าวขาแล้วพูดว่า “หลินอันหนานคงใช้ชีวิตอย่างสบายเกินไปแล้ว ถึงทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้ สั่งสอนให้มันรู้สึกด้วย”
“ทราบแล้วค่ะคุณชายเฉิน แต่ว่า……คุณหญิงน้อย……”
“เธอรู้เรื่องที่ผมซื้อบ้านสวนจูแล้วทำให้คุณหญิงจูเสียชีวิต ยังรู้ว่าผมตกลงกับคุณย่าเรื่องที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอีก เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะหลินอันหนานเป็นคนทำ”
“หลินอันหนานไม่กลัวที่จะมีปัญหากับคุณหรอคะ?”
“ผมคิดว่ามันคงจะอิจฉาจนขึ้นสมอง” หนานกงเฉินยิ้มอย่างเยาะเย้ย “กล้าแย่งผู้หญิงของผม ช่างกล้าเหลือเกิน”
พูดจบเขาก็พูดกับผู้ช่วยเหยียนว่า “คุณช่วยอยู่ดูแลเธอด้วย”
“คุณชายเฉินจะไปไหนคะ?”
“ผมจะคิดทำร้ายตัวเองเพื่อเธอหรอ?” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่แยแส
“เปล่าค่ะ ฉันหมายถึงว่าคุณไม่ได้ทานข้าวมาทั้งวัน อย่าลืมไปหาอะไรทานด้วยนะคะ”
หนานกงเฉินไม่ได้ตอบเธอแล้วมองไปทางห้องพักฟื้น “ซื้อของให้เธอกินด้วย”
ผู้ช่วยเหยียนไม่รู้จะพูดอะไรต่อคุณชายคนนี้ยังไงนะ พูดอยู่ว่าจะจัดการคุณหญิงน้อย แต่ก็เป็นห่วงว่าเธอจะไม่ได้ทานข้าวเย็นอีก
“คุณชายเฉินคะ คุณให้ฉันไปดูแลคุณหญิงน้อยมันไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่าคะ เพราะว่าเธอคิดกับฉัน……”
“ถ้าเธอจะเข้าใจผิดก็เข้าใจผิดไปเถอะ” หนานกงเฉินทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้วก้าวเดินเข้าไปทางลิฟท์
ไป๋มู่ชิงที่ไม่ได้กินข้าวเย็นก็รู้สึกหิวขึ้นมา เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาแล้วมองกวาดไปที่ห้องพักฟื้นที่ว่างเปล่านี้ ช่างรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน
แม้จะไม่สบายก็มีแค่ตัวเธอคนเดียว ชีวิตแบบนี้ช่างน่าล้มเหลวเหลือเกิน
เธอลุกขึ้นนั่งช้าๆบนเตียงแล้วอยู่กับความโดดเดี่ยวในห้องคนเดียว กำลังคิดว่าตัวเองควรจะทำยังไงต่อ
เธอควรจะห่างเขินกับหนานกงเฉินตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปแล้วหาโอกาสออกจากบ้านแล้วไปหาสักที่เพื่อที่จะเตรียมตัวคลอดจากนั้นก็คืนตำแหน่งคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกงให้กับไป๋ยิ่งอัน
ใช่ ตอนนี้เธอยังตกหลุมไม่ลึกมาก ตอนนี้ที่ตัวเองกำลังเกลียดเขาอยู่ก็รีบไปจากเขาตอนนี้คงง่ายกว่าหลังจากกี่เดือนข้างหน้า อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนเจ็บปวดกับความรักนี้อีก
หลินอันหนานที่หักหลังเธอก็ทำให้เธอใจเสียหายไปครึ่งนึงแล้ว ถ้าสามสี่เดือนข้างหน้าหลงรักหนานกงเฉินอีกแล้วต้องแยกจากกันอีกเธอกลัวว่าใจอีกครึ่งหนึ่งจะถูกทำลายไปด้วย ถ้าไม่มีหัวใจเธอจะอยู่ยังไง?
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เธอหยุดคิดไป เธอคิดว่าหนานกงเฉินกลับมาเลยยกมือขึ้นมาจับหน้าเบาๆแล้วเอ่ยตอบรับไป
ประตูห้องพักฟื้นถูกเปิดออก คนที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่หนานกงเฉินแต่กลับเป็นผู้ช่วยเหยียน
ก็จริง คนที่เย่อหยิ่งอย่างหนานกงเฉินจะทนกับความงี่เง่าของเธอได้ยังไง? เขาก็พูดเองว่าทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยปรนนิบัติใครมาก่อน!
“ทำไมถึงเป็นคุณ?” กับผู้ช่วยเหยียนคนนี้ บนใบหน้าเธอไม่ได้มีความยิ้มแย้มเลย เพราะว่าเธอไม่มีวันลืมว่าบ้านสวนจูอยู่ในสิทธิ์ใต้ชื่อเธอ
“คุณไล่คุณชายเฉินไปแล้ว ยังคิดว่าเขาจะมาอีกหรอคะ?” ผู้ช่วยเหยียนพูดกับเธอแล้วเดินไปตรงหน้า วางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ
ไป๋มู่ชิงไม่ได้สนใจเธอแล้วหันหน้าไปอีกฝั่ง
“เพื่อลูก อย่างน้อยคุณหญิงน้อยก็กินหน่อยเถอะค่ะ” ผู้ช่วยเหยียนเปิดฝากกล่องข้าวให้แล้วยื่นไปต่อหน้าเธอ “คุณชายเป็นห่วงว่าคุณจะหิวเลยให้ฉันเตรียมมาให้ค่ะ”
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างเยาะเย้ย “นี่ก็เป็นหน้าที่คุณหรอ? เมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นของเขาผู้ช่วยอย่างคุณคงลำบากเลยสินะ?”
“คุณหญิงน้อยคะ คุณรู้ว่ามีโทษที่ชื่อว่าหมิ่นประมาทหรือเปล่าคะ? ฉันสามารถฟ้องร้องคุณว่าหมิ่นประมาทแล้วทำลายชื่อเสียงฉันได้”
“หมิ่นประมาท? นี่คุณกำลังจะบอกว่าคุณกับหนานกงเฉินไม่มีอะไรกันงั้นเหรอ?”
“ถ้าฉันมีอะไรกับคุณชายเฉินจริง ฉันคงไม่เก็บไว้หรอก คุณจะงี่เง่าแล้วกีดกันเราสองคนแบบนี้ได้หรอ? คุณจะใช้นิสัยของคุณทำให้คุณชายเฉินจงรักภักดีต่อคุณได้หรอ? อย่าว่าแต่คนที่เย่อหยิ่งอย่างนั้นเหมือนคุณชายเฉินเลย แม้แต่ฉันคุณก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย”
ผู้ช่วยเหยียนเห็นว่าสีหน้าของไป๋มู่ชิงเปลี่ยนไปเลยพูดต่อว่า “ฉันเข้ามาทำงานที่บริษัทหนานกงนี้ตั้งแต่จบมหาลัย เป้าหมายในชีวิตฉันไม่ใช่ได้ขึ้นเตียงของคุณชายเฉิน แต่ได้ขึ้นไปชั้นบนสูงสุดของบริษัทต่างหาก เป็นพนักงานระดับสูงในบริษัท แล้ววันนี้ฉันก็ทำได้แล้ว แต่คนทั้งบริษัทไม่มีใครเห็นถึงความพยายามฉันเลยทุกคนเอาแต่พูดนินทาฉันว่ามีอะไรกับคุณชายว่าได้รับความสนใจจากคุณชายยังไง แต่สำหรับฉันคำนินทาพรุ่งนี้ช่างน่าตลกเหลือเกิน ฉันก็ยังเชื่อว่าคนฉลาดคงไม่เชื่ออะไรแบบนี้หรอก”
“แต่ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่คุณหญิงน้อยก็ยังคิดแบบนี้ ทีแรกฉันไม่อยากอธิบายกับคุณมากนักเพราะฉันไม่ใช่คนที่ชอบอธิบาย แต่ฉันก็ไม่อยากทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างคุณกับคุณชายเฉิน เพราะฉะนั้นฉันขอบอกคุณไว้ตอนนี้เลยว่า ฉันกับคุณชายเฉินไม่เคยทำอะไรนอกเหนือหน้าที่ลูกน้องกับเจ้านาย ไม่เคย!”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่มุ่งมั่นของเธอ ในใจก็เริ่มหวั่นเปลี่ยนความคิด ผู้ช่วยเหยียนพูดมาก็ถูก ถ้าเธอมีอะไรกับหนานกงเฉินจริง เธอจะกลัวคนที่ไม่มีภูมิฐาน ไม่มีหน้าตาแล้วไม่ได้รักความรักจากหนานกงเฉินอีก เป็นแค่ภรรยาในนามเท่านั้นเหรอ?
“ขอโทษนะคะ เมื่อกี้อาจจะพูดแรงไป” ผู้ช่วยเหยียนสูดหายใจเข้าแล้วปรับอารมณ์พูด “คุณหญิงน้อยคะ เรามาคุยกันเรื่องตอนนี้ดีกว่าค่ะ”
ไป๋มู่ชิงไม่เอ่ยอะไร
ผู้ช่วยเหยียนก็เลยพูดขึ้นอีกว่า “คุณหญิงใส่อารมณ์มาทั้งวันแล้ว คงจะไม่ได้สังเกตุเห็นบาดแผลบนใบหน้ากับมือของคุณชายมั้งคะ หลังจากที่คุณชายประชุมเสร็จแล้วหาตัวคุณไม่เจอก็รีบออกไปตามหา แถมยังทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ยังตากฝน ยังเข้าโรงพักอีก จนกระทั่งถึงเที่ยงแม้แต่น้ำคำเดียวก็ยังไม่ได้ดื่มแต่คุณล่ะ ไม่โทรบอกเขาสักคำว่าปลอดภัย ไม่ใส่ใจบาดแผลของเขา ไม่ถามเขาเลยว่าทั้งวันนี้ทำอะไรมา แต่กลับเชื่อคำพูดของหลินอันหนาน เหยียบย่ำความรู้สึกของคนชายอย่างนี้อีก……”
“ผู้ช่วยเหยียน” ไป๋มู่ชิงพูดแทรกตัดขึ้นด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ถึงแม้หลินอันหนานจะไม่หวังดี แต่สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง แล้วหนานกงเฉินก็ยังยอมรับแล้วด้วย”
“คุณชายเฉินยอมรับอะไรคะ? ยอมรับเรื่องที่เขาตอบตกลงที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นกับคุณหญิงหรอคะ? แล้วคุณหญิงน้อยรู้หรือเปล่าคะว่าทำไมคุณหญิงถึงตอบตกลงให้คุณคลอดเด็กคนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณชายตอบตกลงท่านไปว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น เด็กในท้องคุณคงไม่รอดแล้วแต่ คุณชายจะแต่งหรือไม่แต่งก็ยังไม่ถึงวันนั้นไม่ใช่หรอคะ? คุณหญิงน้อยรีบโกรธเร็วเกินไหมคะ”
ไป๋มู่ชิงเพิ่งนึกขึ้นได้ วันนั้นที่หนานกงเฉินพาเธอกลับบ้านมาจากสนามบินคุณหญิงก็เรียกหนานกงเฉินไปคุยส่วนตัวในห้อง หลังจากที่ออกมาจากห้องคุณหญิง หนานกงเฉินก็ถามเธอว่าถ้าระหว่างเรากับลูกเลือกได้หนึ่งอย่างเธอจะเลือกอะไร ตอนนั้นเธอไม่คิดเลยด้วยซ้ำก็ตอบไปว่าจะเลือกลูก
ที่แท้วันนั้นที่คุณหญิงเรียกหนานกงเฉินเข้าไปก็เพราะเอาเรื่องเด็กในท้องมาบังคับให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น
“แล้วเรื่องบ้านสวนจู ตอนนั้นคุณชายถูกใจบ้านหลังนั้น หลังจากนั้นก็ให้ผู้ช่วยคนก่อนเป็นคนจัดการทั้งหมด ผู้ช่วยเหออยากได้หน้ามากเลยทำอะไรบางอย่างกับคนในบ้านจูไปจนบีบบังคับให้คุณหญิงจูกระโดดตึก แต่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้คุณชายไม่รู้เรื่องเลยจนกระทั่งครั้งก่อนที่คุณชายกลับไปที่เมืองเหยียนเฉิงแล้วตรวจสอบเรื่องนี้ ค่อยรู้เรื่องที่คุณหญิงจูกระโดดตึก หลังจากที่รู้ความจริงคุณชายก็โกรธมากแล้วไล่ผู้ช่วยเหอออกจากนั้นก็โอนย้ายบ้านสวนมาอยู่ภายใต้ชื่อฉัน แต่ว่าทำไมถึงโอนมาภายใต้ชื่อฉันฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร”
เธอไม่รู้ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกได้ ครั้งก่อนที่กลับมาที่เมืองเหยียนเฉิงเธอเอ่ยเรื่องการตายของคุณย่าขึ้นกับหนานกงเฉิน อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้เขาถึงได้ไปตรวจสอบเรื่องตอนนั้น แล้วยังเกรงว่าเมื่อเธอรู้ว่าบ้านสวนจูอยู่ภายใต้ชื่อเขาอาจจะคิดว่าการตายของคุณย่าเธอเกี่ยวข้องกับเขาเลยโอนย้ายบ้านออกไป
ไม่ ทำไมหลังจากที่เธอได้ยินสิ่งที่ผู้ช่วยเหยียนพูดแล้วความสงสัยในตัวเขาหายไปได้? ผู้ช่วยเหยียนเป็นคนของเขายังไงก็ต้องพูดเข้าข้างเขาอยู่ดี
“แต่ที่ฉันรู้มา ตอนนั้นที่คุณหญิงจูกระโดดตึกไปแค่ขาหัก แต่กลับเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ได้ข่าวว่าเป็นคนที่ซื้อบ้านฆ่าท่าน” เสียงเธอเริ่มสั่น
พอพูดถึงจุดนี้เธอก็เจ็บปวดใจมาก
เธอไม่กล้าเชื่อเลยว่าน่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน ตอนนั้นคุณย่าจะไร้ความช่วยเหลือแล้วเจ็บปวดมากแค่ไหน
ผู้ช่วยเหยียนลังเลไปครู่นึงแล้วพูดว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนผู้ช่วยเหอพูดถึงก็ทำหน้างงเหมือนกัน เหมือนเขาจะไม่ได้โกหกเราก็สงสัยเหมือนกัน ถ้าลองเดาเสี่ยงๆอย่างนี้ ไม่ยกเว้นลูกชายของคุณหญิงจูจัดฉากขึ้นเพราะอยากได้กรรมสิทธิ์ของบ้านหลังนั้น เลยลงมือกับคุณหญิงจูไป……”
“เป็นไปได้ยังไง!” ไป๋มู่ชิงพูดแทรกขึ้นมาทันที
ผู้ช่วยเหยียนก็ตกใจไปแล้วมองเธออย่างสงสัยแล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณหญิงน้อยคะ ฉันขอถามอย่างสงสัยได้ไหมคะว่าคุณรู้จักกับคนในตระกูลจูหรือเปล่าคะ?”
ในใจไป๋มู่ชิงก็สั่นเกร็งไปแล้วรีบปรับอารมณ์แล้วพูดว่า “ไม่รู้จัก ฉันแค่รู้สึกว่าพวกคุณกำลังผลักภาระแล้วโกหกได้ไม่น่าเชื่อมาก”
“ที่ฉันพูดมันเป็นเรื่องจริงนะคะ” ผู้ช่วยเหยียนพูด “ถึงแม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะคุณชายแต่เขาไม่ใช่คนที่คุณคิดอย่างนั้นนะคะ แล้วเขาก็ไม่มีวันทำเรื่องแบบนี้ด้วย จากคำให้การของผู้ช่วยเหอ เมื่อเขาเอ่ยปากจะให้ราคาบ้านสวนนี้สูง ลูกชายของคุณหญิงก็ตอบตกลงทันที แต่คุณหญิงยังไงก็ไม่ยอมตกลง สองแม่ลูกเลยเกิดปากเสียงขึ้น ฉันเลยถึงกล้าเดาอย่างงั้น”
คุณลุงเป็นคนยังไงเธอรู้ดี เหมาะสมกับคุณป้าจริงๆ เป็นคนที่อยากได้แต่ขี้เกียจแถมยังติดการพนันด้วย เขาไม่ค่อยพอใจกับเธอกับคุณแม่ด้วย วันๆก็เอาแต่ด่าพวกเธอว่ากินของพวกเขาใช้ของพวกเขา ไม่งั้นคุณแม่คงไม่จำเป็นต้องให้เธอกลับไปที่ตระกูลไป๋หรอก
แต่ไม่ว่าจะยังไงคุณย่าก็เป็นแม่แท้ๆของคุณลุง เขาไม่มีทางฆ่าแม่แท้ๆของตัวเองเพื่อเงินหรอก
เธอไม่เชื่อ ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่เชื่อ!
“คุณหญิงน้อยคะ……”
“หยุดพูดได้แล้ว ฉันไม่อยากฟัง!” ไป๋มู่ชิงพูดตัดเธอแล้วใช้มือปิดหูทั้งสองข้างไว้ เธอไม่อยากเชื่อว่าคนลุงจะเป็นคนอย่างงั้น ถึงแม้เขาจะเคยทำไม่ดีกับเธอก็ตาม
เธอไม่เชื่อคำพูดของผู้ช่วยเหยียนแล้วปล่อยวางความโกรธแค้นของหนานกงเฉินลงหรอก เธอจะเกลียดเขา เกลียดจนกว่าลูกจะคลอด เกลียดจนกว่าตัวเองจะไปจากบ้านหนานกง!
เธอไม่อยากจากเขาไปพร้อมความรัก ไม่อยาก……!
“คุณหญิงน้อยคะ คุณชายเฉินไม่มีค่าให้คุณเชื่อมั่นในตัวเขาเลยหรอคะ?” ผู้ช่วยเหยียนพูดต่อ “คุณแต่งงานกับเขานานขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจเขาอีกหรอคะว่าเขาเป็นคนยังไง? ถึงแม้เขาจะทำอะไรเด็ดขาดแต่ก็ไม่ได้โหดร้ายอย่างนี้นะคะ”
“ถึงแม้ตอนนั้นเขาไม่รู้เรื่อง แต่เรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะเขา ทำไมเขาต้องซื้อบ้านสวนนั้นด้วย? ในเมื่อคนอื่นไม่ยอมขายทำไมต้องซื้อด้วย?” เธอเริ่มโวยวายขึ้น
ผู้ช่วยเหยียนลังเลไปครู่นึงแล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาต้องซื้อบ้านสวนนั่น แต่ฉันรู้แค่ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณหญิงจูเสียชีวิต คุณจะคิดว่าเขาเป็นฆาตกรเพราะเรื่องนี้ ไม่ได้แล้วยังปฏิเสธความรู้สึกที่เขามีให้คุณด้วย นอกจากคุณหนูจูเขาก็ไม่เคยใส่ใจผู้หญิงคนไหนแบบคุณมาก่อน ไม่เคยกระวนกระวายเพราะผู้หญิงคนไหนยิ่ง ไม่เคยทะเลาะชกต่อยกับคนอื่นท่ามกลางสายฝนเพื่อผู้หญิงคนไหน ทั้งหมดนี้คุณไม่เห็นหรอคะ?”
“ฉันไม่เห็น! แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย ขอให้คุณหยุดพูดเถอะ” ไป๋มู่ชิงพูดขอร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด
เธอไม่อยากรู้เลย ไม่อยากรู้เลยสักนิดจริงๆ!
เธอเพิ่งตัดสินใจได้ที่จะจากเขาไปด้วยวิธีนี้ ทำไมผู้ช่วยเหยียนคนนี้ถึงมาพูดอะไรกับเธอขนาดนี้ด้วย?
“ก็ได้ สิ่งที่ฉันควรพูดก็พูดแล้วจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณเถอะค่ะ” ผู้ช่วยพูดจบก็ใช้คางชี้ไปที่โจ๊กบนโต๊ะ “อย่าลืมทานโจ๊กนะคะ ไม่งั้นจะไม่ดีต่อลูกในท้อง”
พูดจบเธอก็ออกจากห้องพักฟื้นของไป๋มู่ชิงไป
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะสมที่จะอยู่ดูแลไป๋มู่ชิงที่โรงพยาบาล เพราะไป๋มู่ชิงยังเข้าใจเธอผิดอยู่ ก็เลยให้พยาบาลไปดูแลเธอแทนจากนั้นก็ออกจากโรงพยาบาล
เพื่อเด็กในท้อง ไป๋มู่ชิงก็เลยต้องยอมกินโจ๊กที่ผู้ช่วยเหยียนซื้อมาให้ เสร็จก็นอนคิดมากอยู่บนเตียง ไม่รู้สึกง่วงเลย จนกระทั่งตีหนึ่งกว่าๆถึงนอนหลับไป
เพราะว่าเมื่อคืนหลับดึก วันต่อมาก็เลยตื่นสาย เมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นมาข้างนอกหน้าต่างก็มีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาบนเตียงเธอแล้ว
เธอค่อยๆกระพริบตาเพื่อให้ชินกับแสงสว่างที่ส่องเข้ามา เห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ที่หัวเตียง
หนานกงเฉินนั้นเอง เขายืนพิงหน้าต่างอยู่บนหัวเตียงเธอแล้วทอดมองมาที่เธอ
“คุณตื่นแล้วหรอ?” หนานกงเฉินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนกับว่าเรื่องเมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยังทักทายขึ้นเหมือนทุกวันตอนเช้า ถึงแม้น้ำเสียงจะปกติแต่ก็เฉยชากว่าวันก่อนๆ แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่โกรธแล้ว
เมื่อชินกับแสงสว่างในห้อง ไป๋มู่ชิงก็มองไปที่แผลเขียวช้ำบนมุมปากเขาเลยนึกถึงคำพูดต่อว่าที่ผู้ช่วยเหยียนพูดกับเธอ
เมื่อคืนเธอไม่ใช่ไม่เห็นแผลบนใบหน้าเขา แต่ว่าโกรธเกินไปจนไม่ได้สนใจแผลเขาเลย
นอกจากแผลบนใบหน้าที่ขอเขา ก็มีรอยกัดที่เห็นได้ชัดเจน ไป๋มู่ชิงเป็นคนกัดเขาเอง
“หมอบอกว่าวันนี้คุณก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว คุณรู้สึกเป็นยังไงบ้าง?”
“ฉันไม่เป็นอะไร” เธอตอบสั้นสั้น
หนานกงเฉินก็พยักหน้า “งั้นก็ออกโรงพยาบาลวันนี้เลย”
“ซื้อตั๋วหรือยัง?”
“คุณอยากกลับเมืองซีวันนี้?”
“ใช่”
“แต่ว่าร่างกายคุณยังไม่หายดี ไม่จำเป็นต้องรีบกลับไป รอพักอีกสักวันค่อยกลับ”
“ไม่ต้องแล้ว ฉันสบายดี” เธอพูด
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอก็ดูดีขึ้น แต่ว่า……
“ตั๋วจองไว้พรุ่งนี้เช้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนไฟท์” เขาพูดกับเธอ “กินอาหารเช้าบนโต๊ะก่อน”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่อาหารเช้าบนโต๊ะจากนั้นก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเดินออกมาก็กินอาหารเช้า เพื่อเด็กในท้องเธอคงไม่งี่เง่าใส่อารมณ์กับเขากับมื้อเช้านี้หรอก
หลังจากที่ทานมื้อเช้าเสร็จ เธอก็นั่งรอคำสั่งอยู่บนเตียง
หนานกงเฉินมองกว่าไปที่เธอ บนตัวเธอก็ยังใส่ชุดนอนเมื่อวานอยู่ ไม่มีรองเท้าด้วย เขาเลยเดินขึ้นไปแล้วอุ้มเธอขึ้นเหมือนเมื่อวาน จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
ถึงแม้เธอจะท้องได้ห้าเดือนแล้วแต่น้ำหนักไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย หนานกงเฉินอุ้มเธออยู่ในอ้อมแขนไม่รู้สึกลำบากเลย แต่กลับรู้สึกสบายมือเหมือนไม่ได้อุ้มอะไร
ไป๋มู่ชิงมองไปที่แผลที่หน้าข้างของเขาแล้วคิดถึงคำพูดที่ผู้ช่วยเหยียนพูดกับเธอเมื่อวาน เขาไม่ได้ตั้งใจจริงหรอ? เธอควรให้อภัยเขาหรือเปล่า?
เธอแอบหายใจเข้า แล้วคิดว่าตัวเองเริ่มคิดบ้าๆแบบนี้อีกแล้ว ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีกเธอจะไปจากเขาเมื่อไหร่กัน!
พอกลับถึงโรงแรม หนานกงเฉินก็วางเธอลงบนเตียงแล้วเอ่ยว่า “คุณพักผ่อนเถอะ เล่นโทรศัพท์เล่นเกมได้ แต่ว่าอย่าเปิดทีวีเพราะผมจะทำงาน”
พูดจบ เขาก็โยนนิตยสารบนหัวเตียงให้เธอ
เธอมองกวาดไปที่นิตยสาร จากนั้นก็หยิบขึ้นมาหนึ่งเล่มแล้วพิงหัวเตียงไว้แล้วเปิดดู
หนานกงเฉินกลับไปที่โต๊ะทำงาน เปิดโน๊ตบุ๊คขึ้นทำธุระต่อ เมื่อวานเสียเวลากับผู้หญิงคนนี้ไปทั้งวันเลยมีงานค้างไม่น้อย ตอนนี้เลยต้องรีบจัดการ
มือของไป๋มู่ชิงพลิกเปิดนิตยสารอยู่ แต่สายตาไม่ได้จ้องมองที่นิตยสารเลย เธอแอบมองที่หนานกงเฉินกำลังตั้งใจทำงานอยู่ แล้วในใจก็สงสัยว่าทำไมเขาไม่พูดถึงเรื่องเธอกับหลินอันหนานเลย? ทั้งๆที่เมื่อคืนเขาโกรธมาก
หลังจากที่ผ่านการคิดมาทั้งคืน เขาหายสงสัยแล้วเชื่อว่าเธอกับหลินอันหนานไม่มีอะไรกันแล้วหรอ?
ไป๋มู่ชิงจมอยู่บนเตียงทั้งเช้าแล้วหนานกงเฉินก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานเหมือนกัน
ในที่สุด เขาก็ขยับร่างกายแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปกดน้ำให้ตัวเองกับไป๋มู่ชิงคนละแก้ว ในมือเขาจับแก้วไว้ดื่มไปด้วยแล้วเดินมาหาเธอด้วย
จากนั้นก็ยื่นแก้วอีกใบไปให้เธอ สายตาดูเย็นชาไปไม่น้อยแล้วพูดว่า “คุณมีอะไรจะอธิบายกับผมหรือเปล่า?”
ไป๋มู่ชิงยิ้มข่มขืนในใจ ดูเหมือนเขาจะยังคิดไม่ได้แต่เมื่อกี้เขาแค่ไม่มีเวลาถามต่างหาก

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset