เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 109 ห่างกันสักพัก

เธอยื่นมือไปรับแก้วแล้วดื่มคำนึงพร้อมตอบอย่างไร้ความรู้สึกว่า “ไม่มีอะไรน่าอธิบาย”
เธอตั้งใจที่จะขัดเขาเพราะว่าเธอตัดสินใจแล้วว่าจะเริ่มห่างเหินเขาตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เพื่อเตรียมตัวสำหรับไม่กี่เดือนข้างหน้าเพราะฉะนั้นก็ต้องเดินไปในทางนี้ต่อไป
เธอคิดว่าหนานกงเฉินจะบีบคอเธอเหมือนแต่ก่อนหรือว่าโมโหใส่เธอ แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้เขาไม่ทำอะไรเพียงแค่จ้องมองมาที่เธอ จากนั้นก็เดินไปนั่งลงข้างเตียงของเธอ
“ผมว่าเราต้องคุยกัน” เขาพูด
“ฉันคิดว่าไม่จำเป็น” ไป๋มู่ชิงพูด “สิ่งที่ควรพูดเมื่อคืนผู้ช่วยเหยียนพูดกับฉันหมดแล้ว คุณชายหนานกงคุณมีผู้ช่วยที่ดีมากจริงๆ “พูดจบเธอก็ยิ้มอ่อน
หนานกงเฉินไม่รู้ว่าผู้ช่วยเหยียนคุยอะไรกับเธอเลยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ แต่ไป๋มู่ชิงก็พูดขึ้นมาอีกว่า “คุณชายหนานกงคะ ตอนนี้ฉันมีแค่อย่างเดียวที่จะขอร้องคุณได้ไหมคะ?”
“คุณว่ามาสิ” คิ้วของหนานกงเฉินเริ่มคิ้วขมวด เขาเดาได้ว่าคำขอร้องของเธอนี้มันเป็นไปได้ยากแน่นอน
“ฉันอยากย้ายกลับไปที่บ้านแล้วดูแลครรภ์ดีๆ คลอดเด็กคนนี้ออกมาอย่างราบรื่น คำขอร้องนี้ไม่เกินไปใช่ไหมคะ?”
คำขอร้องนี้ไม่เกิดไปก็จริง แต่ว่า……เขาไม่มีทางตกลงแน่นอน
“ผมก็ยังคงคำเดิม นอกจากจะมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผล”
“ข้ออ้าง?” ไป๋มู่ชิงหมุนแก้วน้ำในมือแล้วคิดไปจากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบลื่น “ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องแยกกัน งั้นก็แยกตอนนี้……”
“ใครบอกว่าจะต้องแยกจากกัน?” หนานกงเฉินพูดตัดขึ้นอย่างหงุดหงิด
ไป๋มู่ชิงทอดมองไปที่ใบหน้าที่หงุดหงิดของเขา อยู่ๆก็นึกถึงคำพูดที่ผู้ช่วยเหยียนพูดเมื่อวาน ถ้ายังไม่ถึงวันนั้น เธอจะรู้ได้ไงว่าหนานกงเฉินจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น?
เธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินจะต่อต้านคุณหญิงเพื่อเธอหรือเปล่า แล้วล้มเลิกความคิดที่จะแต่งงานต่อ แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญแล้ว
“ถ้าหลังจากที่เด็กคลอดออกมาแล้วคุณยังอยากแม่ลูกเราอยู่ ค่อยก็มารับฉันกลับจากบ้านตระกูลไป๋” เธอพูดกับเขาทีละคำ
หนานกงเฉินนิ่งไปพักนึง สถานการณ์แบบนี้เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ทำไมฟังดูแล้วมันช่างน่าเศร้าเหลือเกิน
“คุณชายคะ ฉันพูดความจริงกับคุณก็ได้” ไป๋มู่ชิงลังเลไปครู่หนึ่ง นัยตาก็มีน้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา “ฉันไม่ชอบอยู่ในบ้านหนานกง ไม่ชอบทุกคนที่นั่น ชีวิตที่อยู่ที่นั่นฉันรู้สึกถูกกดจนหายใจไม่ออก ซึมเศร้าเหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้า ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีกฉันคงรอไม่ถึงให้เด็กคลอดก็คงตายเพราะโรคซึมเศร้านี้ไปแล้ว”
หนานกงเฉินมองไปที่ใบหน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความกดดันกับความกลัว ผ่านไปครู่นึงค่อยหัวเราะออกมา “ที่แท้ในใจคุณบ้านหนานกงน่ารังเกียจขนาดนั้นเลย”
“คุณย่าไม่พอใจในตัวฉัน คนรับใช้ก็ไม่ให้เกียรติ ฉันสามีก็ไม่รักฉัน คุณลองคิดดูสิ ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์นั้นจะชอบที่นั่นหรอ? จะอยู่ที่นั่นต่อไปได้หรอ? เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยของฉันกับลูก ขอให้คุณตกลงด้วย”
หนานกงเฉินเงียบไปอีกสักพักแล้วค่อยมองเธอ “จะไปจริงๆหรอ?”
เขาต้องรู้อยู่แล้วว่าอยู่ในบ้านหนานกงต้องกดดันแค่ไหน ถึงแม้เขาจะเป็นคนชายที่สูงส่งก็รู้สึกไม่สบายใจ อย่าว่าแต่เธอเลย?
แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ในใจเขาก็ไม่อยากให้เธอไปอยู่ดี
กี่วันนี้มาเขาชินกับการที่มีเธออยู่ ชินกับโต๊ะอาหารที่มีเธอ ชินกับหลังจากเลิกงานกลับบ้านมาก็เห็นเธอ ชินกับทุกคืนที่รู้สึกเหงาแล้วไปรังควานเธอในห้อง
“ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ห่างกันสักพักเถอะ ในช่วงเวลาที่ห่างกันฉันก็จะได้ดูแลครรภ์ คุณก็จะได้ตั้งใจทำงาน วางแผนดีๆว่าถ้ารอให้เด็กคลอดแล้วคุณยังต้องการฉัน ฉันจะกลับไปที่บ้านหนานกงเพื่อลูก เพื่อที่ลูกจะพยายามใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหนานกงให้ได้”
“ไป๋ยิ่งอัน คุณเกลียดผมขนาดนั้นเลยหรอ?”
“ฉันยอมรับว่าฉันไม่ได้ชอบคุณ โดยเฉพาะวิธีการที่เด็ดขาดของคุณ” พูดถึงจุดนี้ น้ำเสียงไป๋มู่ชิงก็เปลี่ยนไปแล้วกัดฟันแน่น
“คุณกำลังหมายถึงเรื่องบ้านสวนจูหรอ?”
“ใช่ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนจัดการโดยตรงหรือเปล่า ยังไงเรื่องก็เกิดขึ้นเพราะคุณ”
หนานกงเฉินพยักหน้า “ผมยอมรับว่าเรื่องนี้ผมผิด คนที่โทษผมไม่มีแค่คุณคนเดียวหรอก”
ไป๋มู่ชิงพูดอะไร
หนานกงเฉินยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มน้ำแล้วเสียงก็นิ่งไป “คุณหนูไป๋ ผมขอเตือนคุณไว้เลย ช่วงเวลาสี่เดือนนี้มันเพียงพอที่จะทำให้เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้นได้ อาจจะเจอคนมากมาย ผมไม่รับประกันหรอกนะถ้าถึงตอนนั้นความรู้สึกดีๆที่ผมมีต่อคุณอันน้อยนิดจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า จะไปหลงรักผู้หญิงหรือเปล่า คุณแน่ใจหรอว่าจะเอาอนาคตของตัวเองมาพนัน?”
“ถ้ามันไม่ใช่ของฉันแต่แรก ฉันจะรั้งยังไงก็รั้งไม่อยู่ แต่ถ้าเป็นของฉันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็จะเป็นของฉัน ความรักไม่ใช่สิ่งที่เวลาสามารถมาลบล้างได้ ก็เหมือนกับความรู้สึกที่คุณมีให้คุณหนูจู” ไป๋มู่ชิงจ้องมองไปที่เขา “เพราะฉะนั้นฉันยอมพนัน”
หนานกงเฉินมองไปที่ใบหน้าที่มุ่งมั่นของเธอ ในใจก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธออยากหนีห่างจากเขาขนาดนั้นเลยหรอ?
“ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ก็ได้ ผมตกลง” เขาพูด
ไป๋มู่ชิงรู้สึกประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะตกลงกับคำขอร้องของเธอ เธอคิดว่าเขาจะเหมือนแต่ก่อนที่พูดยังไงก็ไม่มีทางตกลง
“ขอบใจ……” ขอบตาเธอชุ่มฉ่ำขึ้นมาแยกไม่ออกว่าเป็นความเสียใจที่ต้องแยกจากกันหรือเป็นความสุขที่หลุดพ้นสักที
แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าน้ำตานี้มาเพื่ออะไร แต่หนานกงเฉินกลับได้คำตอบจากน้ำตานี้ว่าเป็นน้ำตาแห่งความดีใจ ในใจเขาผิดหวังมากกว่าเดิม แล้วก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา
“ผมหวังว่านี่จะไม่ใช่ข้ออ้างที่จะหลุดพ้นจากผมแล้วเข้าไปในอ้อมกอดของหลินอันหนาน ไม่งั้นผมไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
“วางใจเถอะ ไม่มีค่าอะไรกับฉันแล้ว” เพื่อหลินอันหนานหรอ?ตลกมาก
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ” หนานกงเฉินพูดจบก็วางแก้วลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนหันหลังเดินออกจากห้องไป
เวลาครึ่งวันที่ผ่านมาทั้งสองไม่ได้เอ่ยปากพูดคุยกันเลย แม้แต่มื้อเที่ยงก็ยังแยกกันกิน เพื่อที่จะได้รีบไปจากเมืองเหยียนเฉิงเร็วๆ ทีแรกที่หนานกงเฉินไม่อยากเปลี่ยนไฟท์บินกลับเปลี่ยนไฟท์บินให้เป็นตอนบ่ายวันนี้แทน
เวลากลับไปได้เปลี่ยนมาเป็นบ่ายสามของวันนี้ ขณะกำลังรออยู่ที่สนามบิน ไป๋มู่ชิงก็โทรหาซูวยาหยงในห้องน้ำ เมื่อโทรออกปุ๊บ น้ำเสียงเยาะเย้ยของซูวยาหยงก็ลอยออกมา “ได้ข่าวว่าเธอไปที่เมืองเหยียนเฉิงกับหนานกงเฉินอีกแล้วหรอ? สนุกไหม? ลำบากแกสินะที่จำได้ว่าจะต้องโทรหาแม่เลี้ยงอย่างฉัน”
ไป๋มู่ชิงไม่ทันได้เอ่ยปากพูด น้ำเสียงซูวยาหยงก็เปลี่ยนไปทันที “ฉันเตือนแกแล้วกี่ครั้ง อย่าไปที่เมืองเหยียนเฉิงอีก ถ้าทำให้หนานกงเฉินสงสัยว่าแกเกิดที่เมืองนั้นแล้วเกิดสงสัยในตัวแก ถึงเวลานั้นแกจะให้ยิ่งอันทำยังไง?”
“คุณหญิงไป๋วางใจเถอะค่ะ ถึงตอนนี้หนานกงเฉินก็ไม่ได้สงสัยในตัวฉันเลย”
“ถึงแม้จะไม่สงสัย แต่แกเอาแต่ไปที่เมืองนั่น ยังไงเขาก็ต้องมีความสงสัยบ้างแหละ” ซูวยาหยงก็ยังพูดสั่งสอน
“ไว้ใจได้ เขาไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”
“หมายความว่ายังไง?”
“ฉันจะบอกข่าวดีกับคุณ หนานกงเฉินตอบตกลงที่จะให้ฉันกลับไปดูแลครรภ์ที่บ้านตระกูลไป๋แล้ว กลับไปคืนนี้เลย”
“จริงหรอ?” เมื่อซูวยาหยงได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
ช่วงเวลานี้เธอเอาแต่เป็นห่วงว่าไป๋มู่ชิงจะเกาะตำแหน่งคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงไม่ปล่อย แล้วไม่สนใจแผนของเธอ ถึงแม้จะยอมรับแผนของเธอแต่ถ้าคนในตระกูลหนานกงไม่ปล่อยเธอมา แผนก็สำเร็จได้ยากเหมือนกัน
แต่พอวันนี้ได้ยินไป๋มู่ชิงพูดว่าจะเริ่มต้นแผนการ แถมยังทำให้คนในตระกูลหนานกงยอมปล่อยเธอมา เธอจะไม่ดีใจได้ยังไง?
“ก็ต้องจริงสิ” ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าเบาๆ “ฉันมีไฟลท์บินตอนบ่ายสามโมง รบกวนคุณมารับฉันที่สนามบินด้วย”
“ได้สิ ฉันก็ต้องไปรับด้วยตัวเองอยู่แล้ว แบบนี้ถึงจะได้สมจริงไง” ซูวยาหยงเอ่ยอย่างได้ใจแล้วพูดต่อว่า “ยังมีเรื่องอะไรที่จะให้ทำอีกหรือเปล่า? ฉันจะทำให้ดีที่สุด”
“ไม่มีแล้ว แค่นี้แหละ” ไป๋มู่ชิงวางโทรศัพท์ไป
ซูวยาหยงรีบร้อนอยากให้ไป๋ยิ่งอันเข้าไปในบ้านตระกูลหนานกง ยังไงก็ต้องคิดให้รอบคอบมากกว่าเธอ เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องเป็นห่วงเลยว่าถ้าลงจากเครื่องบินแล้วว่าจะมีอะไรผิดพลาด
หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำ ไป๋มู่ชิงก็เห็นหนานกงเฉินเดินวนๆอยู่ที่ลานผู้โดยสาร พอเห็นเธอปุ๊บก็โล่งอกทันที จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “อยู่ข้างนอกเธออย่าเดินไปไหนมาไหนได้ไหม คุณคิดว่าความรู้สึกที่ตามหาใครสักคนมันดีมากงั้นหรอ?”
พอฟังคำตำหนิของเขาจบ มองไปที่สีหน้าที่ร้อนรนของเขา ไป๋มู่ชิงก็แสบจมูกขึ้นมา เขาตกใจเพราะว่าเมื่อวานที่เธอหายตัวไปงั้นหรอ? จนตอนนี้ไม่เห็นเธอแค่แป๊บเดียวก็รู้สึกกระวนกระวายแล้วงั้นเหรอ?
เธอหายใจเข้าลึกๆ เตือนตัวเองอย่าให้หลงไหลกับการกระทำที่เขาทำ อย่าให้กระทบกับการตัดสินใจของตัวเองอีก
ใช่ ผู้หญิงที่เขารักที่สุดไม่ใช่เธอ ผู้หญิงที่ข้างกายเขาก็ไม่ได้มีแค่เธอเพียงคนเดียว ไม่มีอะไรน่าตื้นตันใจหรอก
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรก็ยกมือขึ้นดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนแล้วพาไปนั่งลงบนเก้าอี้พร้อมทอดมองเธอ “คุณนั่งอยู่ที่นี่ อย่าไปไหนเด็ดขาด”
“ฉันรู้แล้ว” ไป๋มู่ชิงนั่งลงบนเก้าอี้ง่ายๆ
ถึงเวลาขึ้นเครื่องตามกำหนด ในมือหนานกงเฉินก็ถือบัตรกับตั๋วเครื่องบินของคนสองคนไว้ ส่วนมืออีกข้างก็คุ้มกันเธอจากผู้คนที่กำลังรอขึ้นเครื่อง ทั้งสองคนก็นั่งอยู่ที่ชั้นวีไอพีเหมือนเดิมแต่สิ่งที่ทำให้ไป๋มู่ชิงเอือมระอา คือเจอกับหลินอันหนานที่นี่อีกแล้ว
ไฟลท์บินจากเมืองเหยียนเฉิงกลับไปที่เมืองซีมีแค่วันละสองรอบ จะบังเอิญเจอหลินอันหนานบนเครื่องบินก็ไม่แปลก แต่แค่เธอรู้สึกไม่สบายตัวแค่เท่านั้น
โดยเฉพาะสายตาที่แหลมคมเหมือนมีดของหลินอันหนานจ้องมองมาที่เธอ เธออดใจคิดไม่ได้ถึงสถานการณ์ตอนที่เขาด่าตัวเองว่าเลว
เธอเบี่ยงหน้าหนีตั้งใจที่จะหลบสายตาเขา
“พี่ชาย พี่สะใภ้บังเอิญจังเลย” สายตาของหลินอันหนานดีขึ้นแล้วยิ้มทักทายกับทั้งสองคน
หลังจากที่หนานกงเฉินพยุงตัวไป๋มู่ชิงเข้าไปนั่งที่นั่งใกล้หน้าต่าง ค่อยหันกลับมายิ้มกับเขา “เมืองเหยียนเฉิงดีขนาดนี้ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักวันสองวันค่อยกลับไปล่ะ?”
“ก็แค่เมืองที่ติดทะเล ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก” หลินอันหนานก็ยังคงรักษารอยยิ้มที่มีมารยาท
“ผมคิดว่าคุณชายหลินคงรีบกลับไปจัดการปัญหาเรื่องบ้านสวนจิงซ่วยที่เกิดขึ้นมั้ง?”
สีหน้าของหลินอันหนานไม่มีรอยยิ้มอีกแล้วพูดเสียดขึ้นว่า “เป็นถึงผู้นำบริษัทในเมืองซี พี่ชายทั้งรวยทั้งเอาแต่ใจ ไม่เพียงแต่เอาแต่ใจเท่านั้นแถมยังใจทรามด้วย ผมอุตส่าห์ช่วยพี่สะใภ้ไว้แต่พี่ชายกลับไม่ขอบคุณแต่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้มาสร้างปัญหาให้ผม ผมไม่รู้ว่าพี่ชายไร้ความสามารถแค่ไหนถึงจำเป็นต้องใช้วิธีแบบนี้มารั้งภรรยาของตัวเองไว้”
ไป๋มู่ชิงฟังออกความหมายในคำพูดเขาเพราะว่าเรื่องเมื่อวานหนานกงเฉินถึงลงมือกับบริษัทหลินไป หลินอันหนานเลยจำเป็นต้องรีบกลับไปจัดการ
ผู้ชายคนนี้! ทั้งเอาแต่ใจทั้งเลือดเย็นจริงๆ ไม่เพียงแต่ทำตัวกับเธอแบบนี้ แถมคนอื่นก็ยังไม่เว้น!
แต่คนอย่างหลินอันหนานน่าไม่อายจริงๆ ทั้งๆที่เอาแต่ทำให้เธอกับแตกหักกับหนานกงเฉินลับหลัง ยังขังเธอไว้ในโรงแรมอีก ตอนนี้ยังกล้ามาเรียกร้องบุญคุณจากคนอื่นอีก
พอดียินหลินอันหนานพูดแบบนี้ สีหน้าหนานกงเฉินก็ไม่ได้ดูดีขนาดนั้น แต่หลินอันหนานก็ไม่ลืมที่จะพูดขึ้นอีกว่า “พี่ชาย ถ้าผู้หญิงคนนั้นรักพี่จริงล่ะก็ พี่ไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำเพื่อที่รั้งเธออยู่ข้างกาย”
“เหรอ เมื่อคืนนายก็ทำไม่ได้หนิ” หนานกงเฉินยิ้มเยาะเย้ยกับเขา “นายทำทุกวิธี สุดท้ายได้อะไรล่ะ? ทั้งต้องรีบรนกลับไปจัดการเรื่องที่บริษัท ยังเห็นผู้หญิงที่ตัวเองรักกำลังจูบผู้ชายคนอื่นอีก”
ขณะพูดเขาก็ยกมือขึ้นแล้วดึงเธอเข้าไป ก่อนจากนั้นก็ก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากเธอ
ด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีที่ริมฝีปาก ไป๋มู่ชิงก็อึ้งไปจากนั้นก็ผลักเขาออก
ถึงแม้เธอจะไม่สนการดูถูกจากหลินอันหนาน แต่ก็รู้สึกอายที่จูบกันต่อหน้าคนอื่น ระหว่างพวกเขากลับหลินอันหนานมีทางเดินกั้นอยู่แล้วเป็นเวลาที่กำลังขึ้นเครื่องด้วยตรงทางเดินก็มีทั้งผู้โดยสารกับลูกเรือผ่านไปผ่านมา
มองผ่านใบหูของหนานกงเฉินไป เธอก็เห็นผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมากำลังดูอะไรสนุกๆอยู่ น่าอายจริงๆ……
แต่ว่าหน้าของหนานกงเฉินคงไม่ได้บางเหมือนเธอ ไม่ให้โอกาสเธอหลบหลีกเลยแถมยังจูบหนักกว่าเดิมอีก จูบจนเธอสติจะหลุดแล้วหมดแรงที่จะต่อต้านเขาไป
สีหน้าของหลินอันหนานคงแย่จนไม่รู้จะอธิบายยังไง เขาหันหน้าไปแล้วดึงผ้าม่านที่นั่งลง
ไป๋มู่ชิงที่กำลังหลงมัวอยู่ก็รู้สึกได้ว่าหลินอันดึงผ้าม่านลงแล้วจากนั้นก็พูดอย่างยากลำบากว่า “เขาไม่ได้ดูอยู่……”
“ผมไม่สนว่ามันดูหรือไม่ดู ผมจะจูของผม” หนานกงเฉินพูดขึ้นหน้าตาเฉยแล้วจูบเธออย่างลึกซึ้งอีกครั้งพร้อมดึงผ้าม่านข้างตัวลงด้วย
จนกระทั่งเครื่องบินกำลังจะขึ้น เสียงหวานของลูกเรือก็ย้ำเตือนให้ทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัย หนานกงเฉินถึงปล่อยตัวเธอ เธอรู้สึกแค่ริมฝีปากปากแดงจนเจ็บ
จากการประกาศสงครามเปลี่ยนมาเป็นการลงโทษ เขารู้สึกพอใจมาก
ไป๋มู่ชิงถูกเขาจูบจนหายใจไม่ทั่วท้อง สีหน้าแดงก่ำ ถึงแม้จะแต่งงานได้ครึ่งปีกว่าแล้ว อะไรๆก็เคยทำมาหมดแล้ว แต่การจูบกันในที่สาธารณะแบบนี้เป็นครั้งแรกเลย เธออายจนอยากมุดหัวหนี
ถึงแม้เมื่อกี้จะได้รับชัยชนะแล้วแต่ในใจของหนานกงเฉินก็ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี เพราะว่าคำพูดของหลินอันหนานกำลังทิมแทงใจเขา ถ้าในใจของไป๋มู่ชิงมีเขา เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยเพื่อรั้งเธอไว้
แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ไม่สามารถรั้งตัวเธอไว้ได้
เธอคิดว่าเขาเป็นคนที่โหดร้าย ทำทุกวิถีทางได้เพื่อเป้าหมาย เธอไม่สนใจตำแหน่งคุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงที่ผู้หญิง เป็นหมื่นเป็นพันอยากได้ครอบครอง เธอบอกว่าเธอไม่ชอบทุกอย่างในบ้านหนานกง เธอบอกว่าเธออยากหนีจากไป
อยู่ๆก็รู้สึกขึ้นว่าเขาก็ไม่ได้ดีกว่าหลินอันหนานเลย ถึงขั้นล้มเหลวด้วยซ้ำ เพราะเขาได้เพียงร่างกายเธอแต่ไม่ได้หัวใจเธอ
หนานกงเฉินเอนตัวไปช่วยไป๋มู่ชิงคาดเข็มขัดนิรภัยจากนั้นก็กลับมาที่นั่งตัวเองแล้วหลับตาลงทั้งสองข้าง
หลังจากที่เขาปล่อยมือ ไป๋มู่ชิงก็เหมือนยัยบื้อที่นั่งอยู่ตรงมุมเก้าอี้ แม้แต่เข็มขัดนิรภัยก็ต้องให้เขาเป็นคนคาดให้ หลังจากที่เขาหลับตาลง เธอค่อยรู้สึกโล่งอกไป
เธอมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหนานกงเฉินแล้วเข้าใจด้วยว่าเขากำลังคิดมากกับคำพูดของหลินอัน ดีนะที่เขาไม่ได้หงุดหงิดแล้วระบายมาที่เธออีก
ไป๋มู่ชิงนอนหลับไปบนเครื่องบิน ครู่เดียวก็ถึงเมืองซีแล้ว
เธอสะดุ้งตื่นกับเสียงดังบนเครื่องบิน พอตื่นมาก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองอิงไหล่ของหนานกงเฉินอยู่ ในมือหนานกงเฉินหยิบเอกสารขึ้นมาดูอย่างตั้งใจ
ดูเหมือนเขาจะยุ่งมาก ยุ่งกับเรื่องงานตลอดเวลา
เธอใช้มือจับไปที่ปาก ดีนะที่น้ำลายไม่ไหล ไม่งั้นคงรบกวนการทำงานของเขา เธอยกหัวออกจากไหล่เขาอย่างระมัดระวังแล้วกลับไปที่ที่นั่งของตัวเอง
“ตื่นแล้วหรอ?” หนานกงเฉินถามขึ้นโดยที่ไม่หันมามอง
ไป๋มู่ชิงรู้สึกอายแล้วตอบรับไป
“ถึงแล้ว เตรียมตัวลงเครื่องเถอะ” หนานกงเฉินเก็บเอกสารบนหน้าตักเตรียมตัวจะลงเครื่อง
เมื่อทั้งสองเดินออกจากเครื่อง หนานกงเฉินก็เดินไปพร้อมโทรศัพท์หาเสี่ยวหลินด้วย จากนั้นก็หันมาถามเธอว่า “ไป๋ยิ่งอัน ผมถามคุณอีกรอบ คุณแน่ใจใช่ไหมว่าจะไป?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ใช่” ท่าทางมุ่งมั่นมากไม่ใช้เวลาในการคิดเลย
หนานกงเฉินก็พยักหน้า สีหน้าก็รู้สึกหม่นหมองไป แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงหัวเราะอย่างดีใจของซูวยาหยงดังขึ้นจากทางออก “ยิ่งอัน ตรงนี้ ตรงนี้……”
ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปทางต้นเสียงที่ลอยมาก็มองเห็นซูวยาหยงที่กำลังโบกมือให้ตัวเองท่ามกลางผู้คนอยู่ ในใจก็ยิ้มอย่างข่มขืน เธอมาได้ทันเวลาพอดี
ไม่รอให้เธอเดินพ้นจากเครื่องสแกนออกมา ซูวยาหยงก็รีบมาต้อนรับเธอแล้วกอดอย่างคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน “ไม่ได้เจอกันนานเลย ลูกสาวของฉันกับหลานอ้วนขึ้นเหมือนกันนะ”
เผชิญกับการเสแสร้งของเธอ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแล้วพยายามยิ้มตอบเธอไป
หลังจากที่ซูวยาหยงทักทายไป๋มู่ชิงก็หันไปพูดกับหนานกงเฉิน “คุณชายเฉิน เดินทางลำบากมากเลยใช่ไหมคะ?”
“แค่สองชั่วโมง ไม่ลำบาก” หนานกงเฉินพูดกับเธอหลังจากพูดจบก็มองไปที่ไป๋มู่ชิง “คุณแม่ครับ ยิ่งอันบอกว่าเธออยากกลับไปรอคลอดที่บ้าน รบกวนคุณแม่ดูแลเธอด้วยนะครับ”
“แน่นอน” ซูวยาหยงสีหน้ายิ้มดีใจแล้วคล้องแขนไป๋มู่ชิงพูดว่า “คุนชายเฉินวางใจเถอะ ฉันจะดูแลยิ่งอันกับหลานให้ขาวๆอ้วนๆเลย”
“รบกวนด้วยนะครับ” หนานกงเฉินพูดจบก็หันไปทางไป๋มู่ชิง “ผมไปละ”
อยู่ๆขอบตาไป๋มู่ชิงก็รู้สึกอุ่นๆขึ้นมาแล้วพยักหน้าให้ “ค่ะ”
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหนานกงเฉินก้าวเดินไปที่ไปทางออกสนามบินแล้ว ร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาเดินอย่างมุ่งมั่น แผ่นหลังผสานกับแสงที่ส่องเข้ามาจากทางประตูจากนั้นก็ค่อยๆหายไป
“เป็นอะไร? ทำใจไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรอ?” อยู่ๆข้างหูก็มีเสียงของซูวยาหยงดังขึ้น
ไป๋มู่ชิงดึงสติกลับมาแล้วสูดหายใจเข้าแล้วพูดว่า “เปล่า”
“ก็เห็นๆอยู่” ซูวยาหยงจับสายตาเธอที่พยายามจะหลบสายตา แล้วพูดอย่างไม่แยแสว่า “ฉันขอเตือนแกไว้เลย เขาเป็นผู้ชายของพี่สาวแก แกอย่ามีความคิดบ้าบ้าอะไรกับเขา……”
คำพูดนี้ไป๋มู่ชิงได้ยินเธอพูดไปไม่ต่ำกว่าร้อยรอบได้ยินจนเบื่อแล้ว ไม่รอให้เธอพูดจบก็ก้าวเดินไปทางห้องน้ำ
เมื่อหนานกงเฉินเดินออกจากสนามบินแล้วกำลังรอรถให้มารับ ก็เห็นหลินอันหนานอยู่ที่นั่นเหมือนกัน
ทั้งสองสบตากันโดยบังเอิญ สายตาของหลินอันหนานแฝงด้วยความเยาะเย้ย หนานกงเฉินก็หันกลับมาไม่อยากมีอะไรด้วย จากนั้นก็ยกข้อมือขึ้นมาดู
“พี่ชาย พี่สะใภ้ล่ะ? ทำไมไม่อยู่กับพี่?” หลินอันหนานเพิ่งจะโดนเขาเหยียบย่ำไปแล้วตอนนี้จะปล่อยโอกาสที่จะโต้ตอบแบบนี้ไปได้ยังไง?
มุมปากหนานกงเยิ้มขึ้น “เธออยากกลับไปที่บ้านอยู่แม่ไม่กี่วัน”
“คงไม่ใช่ไม่กี่วันหรอกมั้ง”
“ใครจะรู้ล่ะ แค่เธอมีความสุขก็พอ”
“พี่ชาย……” หลินอันหนานยิ้มอย่างมีเลศนัย “ถ้าพี่สะใภ้กลับไปครั้งนี้คงจะกลับไปที่บ้านหนานกงยากเลยล่ะสิ?”
ในเวลาเดียวกัน รถที่เสี่ยวหลินขับมาจากสะพานแล้วจอดลงตรงหน้าหนานกงเฉินพอดี หนานกงเฉินเดินขึ้นไปดึงเปิดประตู ก่อนขึ้นประตูก็หันมองไปทางหลินอันหนานแล้วพูดเสียงเข้มว่า “ยังไงเธอก็จะเป็นภรรยาของผมตลอดไป ถ้าคุณชายรู้ตัวดีก็หยุดความคิดนี้ซะ ไม่อย่างนั้นคงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่มากกว่าบ้านสวนจิงซ่วยนี้”
พูดจบเขาก็ก้มตัวขึ้นไปบนรถ
ขณะเดียวกันหลินอันหนานก็ขึ้นรถของตัวเองไป ความเยาะเย้ยในใจก็เอ่อล้นออกมา “หนานกงเฉิน ถึงตายแกก็คงคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่แกได้เจอเธอแล้วมั้ง?”
“คุณชายหลิน คุณกำลังพูดอะไรหรอครับ?” คนขับรถมองผ่านกระจกหลังมาถามเขา
“ไม่มีอะไร” หลินอันหนานส่ายหัวจากนั้นก็เก็บสีหน้าที่ได้ใจของตัวเองไป
เสี่ยวหลินแอบมองไปที่หนานกงเฉินแล้วถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายครับ คุณจะรอใครอีกไหมครับ?”
นี่เป็นที่จอดชั่วคราวสำหรับผู้โดยสาร ไม่สามารถจอดนานได้ แต่เมื่อหนานกงเฉินขึ้นไปบนรถแล้วก็ยังไม่ยอมออกไปสักที นอกจากรอคนคงไม่มีเรื่องอื่นแล้วมั้ง?
หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเขา สายตาก็เอาแต่จ้องมองไปที่ประตูทางออกของสนามบิน
เมื่อเห็นเงาของไป๋มู่ชิงเดินออกจากสนามบิน เสี่ยวหลินค่อยรู้ว่ากำลังคุณหญิงน้อยนั่นเอง
“เอ๋ ทำไมคุณหญิงน้อยเห็นพวกเราแล้วถึงไม่เดินมา? เหมือนจะขึ้นรถคันข้างหน้าไป” เสี่ยวหลินลดกระจกลงกำลังจะทักทายไป๋มู่ชิงแต่ก็ถูกหนานกงเฉินห้ามไว้ “อย่าเรียก”
เสี่ยวหลินอึ้งไปจากนั้นก็หันไปถามเขาอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมหรอครับ?”
“ไม่ทำไม ออกรถเถอะ” หนานกงเฉินเอนหลังไปพิงเบาะนั่งแล้วหลับตาลงทั้งสองข้าง
ไป๋มู่ชิงเห็นรถของเขาแล้วเพียงแค่มองผ่านห่างตาไปก็ไม่ได้มองอีกเลย ดูเหมือนว่าครั้งนี้เธอจะตัดใจได้เด็ดขาดแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่าเธอตัดสินใจแล้วแต่เขาก็อยากลองเสี่ยงให้เธอหันกลับมา ดูเหมือนตัวเองจะบ้าไปแล้วจริงๆ
ไป๋มู่ชิงตามซูวยาหยงกลับมาที่บ้านไป๋กลับอีกครั้ง เพิ่งจะก้าวเข้าไปในห้องรับรองเธอก็รู้สึกถึงความเยือกเย็นที่เสียวสันหลัง
บ้านหลังใหญ่หรูหราขนาดนี้ แต่ให้ความรู้สึกกับเธอเพียงแค่ความเยือกเย็นกับผลประโยชน์ ไม่มีแม้แต่ความอบอุ่น เหมือนตอนนี้เลย!
ไป๋ยิ่งอันเกรงว่าไป๋มู่ชิงจะแค่พูดเล่น อาจจะไม่กลับมาจริงๆแต่พอเห็นเธอกลับมาในใจก็ดีใจไปแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
เธอเดินลงมาจากบันไดแล้วยืนมองไปที่ท้องที่นูนขึ้นของเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขู่ว่า “ฉันขอเตือนแกไว้เลย พวกเราให้แกเก็บเด็กคนนี้ไว้ได้ แต่ถ้าครั้งนี้มีอะไรผิดพลาดอีกฉันคงไม่มีความอดทนแล้ว”
“ไว้ใจเถอะ ไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว” ไป๋มู่ชิงพูดเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยแต่ “ฉันก็ขอเตือนเธอไว้เลยบ้านหนานกงไม่ได้อยู่ง่ายขนาดนั้น ถ้าเธอไปแล้วเธอต้องเสียใจแน่นอน”
ไม่รอให้ไป๋ยิ่งอันโมโหใส่ ไป๋มู่ชิงก็รีบพูดขึ้นอีกว่า “ฉันรู้เธอกำลังจะพูดว่าไม่ต้องให้ฉันมายุ่ง ฉันก็ไม่ได้จะยุ่งเรื่องของเธอหรอก แต่นี่เป็นคำเตือนครั้งสุดท้ายก็แค่นั้น”
“ขอบใจ” ไป๋ยิ่งอันยิ้มไปกับเธอ “แค่เธอยอมปล่อยตำแหน่งนั้นมา อย่างอื่นก็ไม่ต้องยุ่ง”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้ เธอแค่เตือนขึ้นในฐานะคนในครอบครัว ในเมื่อเธอไม่เชื่อก็เรื่องของเธอแล้วแหละ ถึงแม้อีกหน่อยเธอจะตายในบ้านหนานกง เธอก็จะไม่รู้สึกเสียใจ
ไป๋มู่ชิงมองกวาดไปที่แม่ลูกทั้งสองคนแล้วพูดว่า “ทั้งสองท่าน ฉันขอร้องอะไรหน่อยได้ไหม?”
“ขอร้องอะไร?” ซูวยาหยงมองเธอด้วยสีหน้าระมัดระวังเกรงว่าเธอจะขอร้องอะไรที่เกินไปอีก ครั้งนั้นเธอขอร้องให้เก็บเด็กคนนี้ มันทำให้เธอลำบากใจมากแล้ว เธอไม่อยากลำบากใจอีกครั้ง
“ก่อนเด็กจะคลอดกี่เดือนนี้ ฉันไม่อยากอยู่บ้านไป๋ พูดตรงตรงก็แค่ไม่อยากใช้ชีวิตกับพวกคุณ ฉันก็คิดว่าพวกคุณคงไม่อยากเห็นฉันเดินไปเดินมาต่อหน้าพวกคุณทุกวันเหมือนกันใช่ไหม? ในเมื่อเป็นอย่างนี้เราก็แยกกันอยู่เถอะ”
เธอไม่อยากคิดเลยว่าชีวิตที่ต้องอยู่กับแม่ลูกคู่นี้มันจะยากลำบากแค่ไหนแล้วก็ไม่อยากลองด้วย
ซูวยาหยงคิดไปคิดมานี่ ก็ไม่ใช่คำขอร้องที่เกินไปอะไรก็เลยพูดว่า “แกอยากอยู่ที่ไหน?”
“ฉันจะย้ายไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ฉันชอบอยู่กับเด็กเด็กที่นั่น”
“ไม่ได้ แกต้องเข้าใจไว้ ถ้าถึงเวลาที่แกจะคลอดแกต้องบอกฉันเป็นคนแรก ฉันต้องเป็นคนไปส่งแกคลอด”
“สถานรับเลี้ยงเด็กไม่ไกลจากที่นี่มาก ถ้าถึงกำหนดคลอดเมื่อไหร่ฉันค่อยย้ายกลับมาก็ได้”
ไป๋ยิ่งอันเห็นว่าเธออยากไปขนาดนี้เลยมองเธอด้วยสีหน้าสงสัย “นี่เธอกำลังคิดแผนที่จะรับมือกับพวกเราอยู่หรือเปล่า?”
“ไว้ใจเถอะ ครั้งนี้ฉันอยากไปจากหนานกงเฉินเอง” ไป๋มู่ชิงเอ่ยขึ้น
ใช่ เธอเป็นคนที่อยากไปจากเขาเอง หลังจากที่รู้เรื่องที่เขาเป็นฆาตกรที่บีบบังคับจนคุณย่าเธอตาย ก็มีความคิดนี้มาตลอด คิดแบบนี้มาตลอด……
“ได้ ฉันตกลง แต่ฉันขอเตือนแกไว้เลยนี่เป็นโอกาสสุดท้าย ถ้ายังทำพลาดอีกแกก็เตรียมตัวไปรับศพน้องชายแกที่ต่างประเทศได้เลย” ซูวยาหยงพูดขู่ออกมาอย่างโหดร้าย
ในใจไป๋มู่ชิงก็สั่นวูบไป มือที่จับกระเป๋าเดินทางไว้ก็กำแน่นแรงขึ้นแล้วพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ฉันขึ้นไปได้หรือยัง?”
ไม่รอให้สองแม่ลูกตอบอะไร เธอก็เดินผ่านทั้งสองแล้วเดินขึ้นตึกไป
ไป๋มู่ชิงย้ายออกจากบ้านตั้งแต่คืนนี้แล้วไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกับเด็กๆ
เมื่อเด็กๆได้ยินว่าไป๋มู่ชิงจะย้ายมาอยู่กับพวกเขาก็รู้สึกดีใจจนลุกขึ้นเต้น ทุกคนเอาแต่แย่งที่จะพักอยู่ห้องเดียวกันกับเธอ
จ้าวเฟยหยางให้พี่เลี้ยงพาตัวเด็กเด็กออกไปแล้วมองสำรวจไปที่ท้องที่นูนขึ้นของไป๋มู่ชิงแล้วพูดขึ้นว่า “ปิดบังได้ดีจริงๆ ฉันไม่รู้เลยว่าเธอท้อง”
“ก็แค่ท้องไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่จำเป็นต้องพูดประกาศไปทั่วหรอกมั้ง”
“นี่เธอไม่นับฉันเป็นเพื่อนใช่ไหม”
“พอแล้ว นายไม่ต้องมาพูดเล่นกับฉันแล้ว”
จ้าวเฟยหยางมองสำรวจเธอใหม่แล้วพูดอย่างเป็นห่วง “ดูสีหน้าเธอไม่ค่อยดีเลย ชีวิตที่อยู่ในบ้านหนานกงไม่ดีหรอ? ทะเลาะกับหนานกงเฉิน?”
“เปล่า”
“งั้นทำไมอยู่ๆถึงไม่อ่ะถึงย้ายมาอยู่กับเด็กเด็กล่ะ?”
“ไม่ทำไม ก็แค่อยากมีช่วงเวลาที่ตั้งครรภ์ที่มีความสุข เพราะสิ่งที่ทำที่ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่สุดก็คืออยู่กับเด็กเด็ก” เพื่อที่จะหลบหลีกคำถามของจ้าวเฟยหยาง ไป๋มู่ชิงก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพูดว่า “พอแล้ว เราจะไปเล่นกับเด็กๆเถอะ”
“มู่ชิง……” จ้าวเฟยหยางเอ่ยขึ้นมา “ถ้ามีปัญหาอะไรอย่าลืมบอกกับพวกเรา พวกเราจะช่วยแก้ปัญหาเอง”
“แน่นอน” ไป๋มู่ชิงยกนิ้วโป้งขึ้นให้เขาแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
แต่ทันทีที่หันหลังรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที เธอรู้ว่าจ้าวเฟยหยางกำลังเป็นห่วงเธอ แต่เรื่องแบบนี้เขาช่วยอะไรไม่ได้ ไม่มีใครช่วยเธอได้เลย
นั่งอยู่ข้างๆสนามหญ้าแล้วมองไปที่เด็กเด็กที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ในใจก็รู้สึกอ่อนไหวไป มือก็วางลงบนท้องของตัวเองเบาเบา ต้องมีสักวัน ลูกของเธอก็ต้องมีความสุขเหมือนพวกเขา ต้องมีสักวันสิ
เธอเลือกที่นี่ไม่เพียงแต่อยากอยู่อย่างสงบแต่เป็นเพราะชอบเด็กเด็กพวกนี้ อยากอยู่กับพวกเขา ได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเด็กเด็กอารมณ์เธอค่อยรู้สึกดีขึ้น ค่อยรู้สึกมีความหวัง ค่อยรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งหมดนั้นมันมีค่า
เลยเลิกงานไปนานแล้ว แต่หนานกงเฉินก็มีไม่มีทีท่าที่จะเลิกงานเลย ผู้ช่วยเหยียนเดินวนไปมาที่หน้าห้องทำงาน สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะก้าวเข้าไป
เธอรู้ว่าเวลาที่หนานกงเฉินทำงานไม่ชอบให้คนอื่นรบกวน โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน แต่เธอก็อดไม่ไหว
“คุณชายเฉินคะ ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้วคุณไม่คิดที่จะเลิกงานหรอคะ?” เธอพูด
หนานกงเฉินกำลังตอบกลับอีเมลอยู่ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น
“เดี๋ยวผมก็กลับแล้ว คุณกลับไปก่อนเถอะ”
เดี๋ยวของเขาคงหลังจากหนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้ช่วยเหยียนรู้ดี
สถานการณ์นี้ดีขึ้นหลังจากที่คุณหญิงน้อยเข้ามาในชีวิต แต่ช่วงนี้คุณหญิงน้อยไม่อยู่บ้าน เขาก็กลับทำงานดึกแบบนี้อีกครั้ง
“คุณชายคะ คุณหญิงน้อยกี่วันนี้อยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กคุณจะไปรับเธอกลับไหม……?”
“ไม่ต้อง” หนานกงเฉินพูดแทรกเธอขึ้น
“ทำไมคะ?” เธอไม่เข้าใจจริงๆในเมื่อคุณชายเฉินเป็นห่วงคุณหญิงน้อยขนาดนี้ ทำไมถึงยอมปล่อยให้เธออยู่ข้างนอกได้? ถึงจะทะเลาะกันก็ต้องมีขอบเขตบ้างสิ?
“เธอชอบอยู่กับพวกเด็ก ก็ให้เธออยู่ไปเถอะ”
“งั้นคุณก็ไม่คิดที่จะไปเยี่ยมเธอเลยหรอคะ?”
อยู่ๆหนานกงเฉินก็หยุดทำงานในมือลงแล้วเงยหน้าไปที่เธอพูดบางคำขึ้น “ถ้าช่วงเวลานี้สามารถลืมเธอไปได้ มันก็อาจจะเป็นเรื่องดี”
“ห๋า?” ผู้ช่วยเหยียนประหลาดใจไป
“ทำไม?คุณสงสัยหรอ?” หนานกงเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “ลืมเธอไป แค่เดือนเดียวก็พอแล้ว”
“ไม่ใช่มั้งคะคุณชาย ครั้งนี้พวกคุณสองคนเอาจริงหรอคะ?”
“ไม่งั้นล่ะ? ต่อต้านคุณย่าเพื่อคนที่ตัวเองไม่ได้รักแล้วคนคนนั้นก็ไม่ได้รักตัวเองด้วยงั้นหรอ?”
ผ่านการคิดพิจารณารอบคอบมาหลายวัน วันนี้เขาค่อยคิดได้ ในเมื่อเธอจะไปก็ให้เธอไปเถอะ ใช้เวลากี่เดือนนี้ในการฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาเป็นปกติด้วย
ใช่ หลังจากที่รู้จักเธอ เขาก็เปลี่ยนไป เขาที่ไม่มีความรู้สึกสนใจกับผู้หญิงเป็นพันเป็นหมื่นแต่กลับรู้สึกบางอย่างกับเธอ นี่เป็นที่ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเลย เพราะเธอไม่ใช่คนที่ตระกูลหนานกงของเขาต้องการจะตามหา
เวลาสี่เดือนเพียงพอแล้วที่จะฟื้นฟูตัวเองให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม เขาเชื่อว่าอย่างนั้น
ถึงแม้จะตัดสินใจเด็ดขาดแล้วแต่ทุกครั้งที่กลับไปถึงบ้านมองเห็นห้องที่ว่างเปล่าก็อดรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ได้ เหมือนตอนนี้
เขากลับถึงบ้านประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ปกติเวลานี้ห้องไป๋มู่ชิงยังสว่างอยู่ เขาอาจจะประหลาดใจแล้วเปิดประตูเข้าไปดูว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แล้วส่วนมากเธอก็จะพิงบนหัวเตียงแล้วอ่านหนังสือ แต่ก่อนอ่านเกี่ยวกับพวกศิลปะหลังๆมาก็เกี่ยวกับคนท้อง
ทุกครั้งที่เห็นเขาเข้ามา เธอก็จะรู้สึกเกร็งทันที อาจจะเป็นเพราะว่ากลัวว่าเขาจะบังคับต้องการร่างกายเธอ ทุกครั้งที่เห็นท่าทางที่กลัวของเธอ เขาก็จะจงใจเข้าไปแกล้งเธอ
ถึงแม้ชีวิตคู่จะไม่อบอุ่นไม่หอมหวานขนาดนั้น แต่ก็รู้สึกสบายใจไม่น้อย
แต่กี่วันนี้มา ทุกคืนที่ลงจากรถแล้วเดินมองผ่านหน้าต่างห้องเธอก็มีแต่แค่ความมืด
เขายกมือขึ้นกดสวิตช์ไฟ ไฟทั้งห้องก็สว่างขึ้นมา สว่างไปทั่วห้อง แต่ในห้องกลับรู้สึกโล่งๆ เหมือนกับเช้าวันนั้นที่พวกเขาจากไปไม่มีผิด
วันนั้นที่เขาพาเธอไปที่สนามบิน ทีแรกคิดแค่ว่าจะพาเธอไปที่เมืองเหยียนเฉิง ทำให้เธอสบายใจเพราะว่าเขารู้ว่าเธอชอบเมืองนั้น
ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องมากมายขนาดนั้นที่เมืองเหยียนเฉิง ยิ่งคิดไม่ถึงว่าตอนไป ไปกันสองคน แต่ตอนกลับมีเพียงเขาคนเดียว
ไม่รู้ว่ายืนอยู่ข้างประตูนานแค่ไหนจนรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างเริ่มช้า เขาค่อยดึงสติกลับมาแล้วยกมือขึ้นปิดไฟ จากนั้นก็หันหลังเดินกลับห้องตัวเอง

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset