เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 115 แสดงละคร

“หนูขอโทษค่ะ หนูไม่คิดว่าลูกจะอาการร้ายแรงขนาดนี้……” ไป๋ยิ่งอันร้องไห้ด้วยความเสียใจและรับกระดาษทิชชู่จากซูวยาหยงมาเช็ดน้ำตาตัวเอง พร้อมกับดึงมือของซูวยาหยงไว้แล้วพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า“แม่คะ ที่คุณหมอพูดมาทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงหรอคะ? ไม่มีทางที่จะรักษาลูกของหนูหายเลยหรอคะ?”
ซูวยาหยงลูบปลอบหลังมือของเธอเบาๆ“คุณหมอบอกว่าถ้าเข้ารับการรักษาดีๆ อาจจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้ ยิ่งอัน ลูกใจเย็นๆก่อนนะ ลูกเราน่ารักขนาดนี้ สวรรค์ต้องให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปแน่นอน”
“จริงหรอคะ……?”
“จริงลูก”
ไป๋ยิ่งอันพยายามลงจากเตียงไปอุ้มลูกที่นอนอยู่เตียงเล็กๆนั่น แต่โดนซูวยาหยงห้ามเอาไว้ก่อน“ยิ่งอัน ตอนนี้ร่างกายของลูกยังไม่หายดี อย่าพึ่งขยับมากเกินไปนะลูก”
“แม่คะ หนูอยากอุ้มลูก”
“ได้ ได้……แม่จะอุ้มลูกมาให้นะ” ซูวยาหยงเดินไปอุ้มเด็กจากเตียงเล็กมาด้วยความระมัดระวัง ส่งไปไว้ในอ้อมกอดของเธอ ไป๋ยิ่งอันก็ยื่นมือไปรับไว้ มองไปที่เขา แล้วร้องไห้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของซูวยาหยงดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมามองแวบหนึ่ง เป็นอาซือที่อยู่ชั้นล่างเป็นคนโทรมา ไม่สะดวกเป็นอย่างมากถ้าเธอจะรับสายที่นี่ แต่ก็กลัวว่าถ้าเธอเดินออกไปแล้วไป๋ยิ่งอันจะรับมือกับพี่เหอไม่ไหว เลยโค้งตัวลงแล้วเอามือตบไหล่ยิ่งอันเบาๆเป็นการปลอบเธอว่า“ยิ่งอันลูก แม่ขอออกไปรับโทรศัพท์แปปหนึ่งนะ ลูกวางเด็กลงก่อน เดี๋ยวจะทำให้เขาเจ็บตัวได้”
พูดจบ ก็ทำมือเรียกแม่นมให้มาอุ้มลูกไปวางที่เตียงเหมือนเดิม
หลังจากที่เด็กถูกอุ้มออกไป ซูวยาหยงก็ห่มผ้าให้เธอ บังคับให้เธอนอนพักผ่อน ไป๋ยิ่งอันแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม
เพราะพี่เหอยังอยู่ ถึงจะนอนลงไปแล้วก็ต้องแกล้งร้องไห้ต่อไป จนถึงวันนี้เธอถึงจะรู้ว่า การแสดงนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เทคนิคอย่างมากจริงๆ!
ซูวยาหยงเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย มาถึงมุมหนึ่งของทางเดินถึงจะกดรับสาย แล้วพูดด้วยเสียงเบา“มีเรื่องอะไร?”
อาซือพูดด้วยความเบื่อหน่าย“คุณหญิงครับ คุณหนูรองร้องแต่อยากเจอลูกครับ ผมกลัวว่าถ้าปล่อยให้โวยวายอยู่แบบนี้จะมีคนมาเห็นเข้าได้นะครับ”
ซูวยาหยงนิ่งไปสักพักแล้วถามว่า“แล้วตอนนี้ยังโวยวายอยู่ไหม?”
“เมื่อสักครู่หยุดไปแล้วครับ แต่ผมกลัวว่าถ้าเธอตื่นขึ้นมาแล้วจะโวยวายอีก”
“อืม ฉันรู้แล้ว” ซูวยาหยงตัดสาย คิดลังเลไปซักพักสุดท้ายก็เดินไปที่ห้องพักฟื้นของไป๋มู่ชิง
ตอนที่ซูวยาหยงเดินเข้าไป ไป๋มู่ชิงนอนตะแครงหันข้างนอนเหม่ออยู่บนเตียง พอเธอได้ยินเสียงเท้าที่เดินเข้ามาก็ยกหัวขึ้นมองช้าๆ แล้วลุกขึ้นนั่ง
“คุณหญิงไป๋คะ ปล่อยฉันออกไปเถอะค่ะ ขอร้องล่ะ” เธอพูดขอร้อง
สีหน้าของซูวยาหยงเริ่มแสดงออกถึงความโกรธขึ้นเรื่อยๆ“ไป๋มู่ชิง ได้ข่าวว่าแกเอะอะโวยวายเสียงดัง? นี่แกอยากให้เรื่องถึงหูคนอื่นถึงจะพอใจหรือไง?”
“ฉันก็แค่อยากออกไป ฉันต้องการที่จะออกไป”
“ออกไปทำอะไร? ออกไปหาคุณผู้หญิงตระกูลหนานกงหรอ?”
“ไม่ใช่นะ……” ไป๋มู่ชิงรีบส่ายหัว พูดด้วยสีหน้าแน่วแน่ว่า“คุณหญิงไป๋ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันสัญญาว่าจะไม่ไปหาคุณผู้หญิงเด็ดขาด และจะไม่ให้คุณผู้หญิงเห็นฉันด้วย ฉันแค่อยากออกจากโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฉัน……”
เธอยิ่งพูดยิ่งวิตก เธอไม่สามารถบอกซูวยาหยงได้ว่าเธอจะไปหาลูกสาว เธอกลัวว่าถ้าเธอไปช้ากว่านี้ โอกาสที่จะหาลูกของเธอเจอจะน้อยลง
เธอไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร และเธอมั่นใจว่าผู้ชายคนนั้นก็ไม่รู้จักเธอแน่นอน ยิ่งไม่รู้ว่าเธอถูกขังไว้ในห้องพักผู้ป่วยห้องนี้ ต้องเป็นเพราะแบบนี้แน่ๆ เขาเลยไม่มาหาเธอสักที เพราะแบบนี้แน่ๆ!
“ก่อนหน้านั้นแกก็คิดจะหนีไม่ใช่หรอ? แกคิดว่าฉันยังจะเชื่อคำพูดของแกอีกหรือไง?”
“คุณต้องการอะไรกันแน่?” สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็ทนไม่ไหว พูดออกมาด้วยความโกรธว่า“ลูกฉันก็ให้พวกคุณไปแล้ว พวกคุณยังต้องการอะไรอีก?”
“ฉันต้องการให้แกอยู่ที่นี่ ถ้าฉันไม่อนุญาตห้ามแกออกจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าแกกล้าออกไปละก็ ก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายกับลูกชายแกก็แล้วกัน”
“คุณ……” ไป๋มู่ชิงโกรธใจหายใจไม่ทั่วท้อง “คุณเคยบอกว่าจะดีต่อเขาไง!”
ใจเธอว้าวุ่นเข้าไปใหญ่ จากเดิมผู้หญิงอสรพิษนี้ก็เหมือนกับไป๋ยิ่งอัน คิดแต่จะใช้ลูกของเธอเป็นเครื่องมือ พอหมดประโยชน์ก็จะทำเขาให้ตาย แม้ว่าเธอจะไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเธอจริงๆหรือเปล่า แต่ถึงจะไม่ใช่ เด็กคนนี้ก็ไม่ควรที่จะมาโดนสองแม่ลูกนั่นทำร้าย!
“ถ้าแกไม่เชื่อฟังละก็ มันก็ยากที่ฉันจะทำดีกับเขา” ซูวยาหยงเย้ยหยัน
ไป๋มู่ชิงกำมือแน่น จ้องไปที่เธอแล้วกัดฟันพูดว่า“ถ้าคุณกล้าทำร้ายลูกฉันละก็ ฉันจะเอาคืนเหมือนที่พวกคุณทำ”
“ทำยังไงหรอ? เอาเรื่องทั้งหมดไปบอกคุณผู้หญิง แล้วเอาชีวิตทั้งแม่และน้องของแกมาสู้กับฉันงั้นหรอ?” ซูวยาหยงพูดเยาะเย้ย คิดขึ้นได้แล้วพูดว่า“แต่ที่แกพูดเนี่ย……ทำให้ฉันฉุกคิดได้อย่างหนึ่ง”
“คุณคิดจะทำอะไร?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา
“ก็ไม่ยังไง แค่รู้สึกว่าฉันควรที่จะดีกับแกหน่อย ไม่อย่างนั้นแกไม่เชื่อฟังฉันง่ายๆแน่” ซูวยาหยงพูดจบก็เปลี่ยนเป็นพูดว่า“แกพักผ่อนเยอะๆ รอร่างกายดีขึ้นกว่านี้ ฉันจะปล่อยแกให้ไปอยู่กับแม่และน้องชายของแก”
“ฉันต้องการออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” ไป๋มู่ชิงรับตะโกนให้กับแผ่นหลังของซูวยาหยง
“ตอนนี้ไม่ได้ ฟังที่ฉันบอก พักผ่อนสะ” ซูวยาหยงยิ้มปลอบ เปิดประตูห้องพักฟื้นแล้วเดินออกไป
พอหนานกงเฉินที่เลิกงานกลับถึงบ้าน ก็เห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของคุณผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ข้างๆมีผู่เหลียนเหยาที่กำลังนวดไหล่ให้
“คุณยายโอเคดีไช่ไหมครับ?” หนานกงเฉินที่เห็นเธอเป็นแบบนั้น ก็เดินเข้าไปถามเธอ
“พี่ชายกลับมาแล้วค่ะ” ผู่เหลียนเหยาพูดเบาๆข้างๆหูของคุณผู้หญิง
คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้น แล้วส่งยิ้มจางๆให้กับหนานกงเฉิน“กลับมาแล้วหรอ”
“ครับ คุณนายเป็นอะไรหรอครับ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” หนานกงเฉินนั่งลงที่โซฟาที่อยู่ตรงข้าม
“ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ” คุณผู้หญิงมองหน้าของหนานกงเฉิน ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เธอไม่กล้าแม้แต่จะบอกว่าลูกของเขาได้คลอดออกมาแล้ว เป็นเด็กที่น่าเสียดายที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
เธอเชื่อว่าหนานกงเฉินต้องเสียใจมากกว่าเธอแน่ ตอนนั้นที่เธอไม่เห็นด้วยกับการที่ไป๋มู่ชิงท้อง ก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไม่ใช่หรอ?
เป็นเธอที่ไม่ดีเอง ถ้าตอนนั้นไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนเปลี่ยนยาของพวกเขา แล้วยังคัดค้านที่จะไม่ให้ไป๋มู่ชิงทำแท้ง เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้
“ขอโทษนะเฉิน เป็นเพราะยายเองแท้ๆ……” คุณผู้หญิงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว
“คุณยายพูดถึงอะไรหรอครับ?” กับคำขอโทษที่มากระทันกันแบบนี้ ทำให้หนานกงเฉินไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก แล้วก็ปรับสีหน้าของตัวเองอีกครั้ง
“คุณผู้หญิงยิ้มแห้ง“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่ายายนะแก่แล้ว ช่วยอะไรนายไม่ได้เลย”
“ผมไม่ได้อยากให้ยายช่วยอะไรผมหรอกครับ” หนานกงรีบถามต่ออีกว่า“คุณยายเป็นอะไรกันแน่ครับ?”
ผู่เหลียนเหยามองไปที่ทั้งสองแล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ“พี่ชายคะ เมื่อสักครู่คุณยายท่านพูดถึงคุณ รู้สึกเห็นใจนะคะ เลยพูดในสิ่งที่คิดออกมา คุณยายท่านไม่เป็นอะไรหรอกคะ พี่อย่ากังวลไปเลยนะคะ”
“แบบนี้นี่เอง” หนานกงเฉินยิ้มปลอบ“คุณยายครับ ตอนนี้ผมก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรอครับ ยายอย่าคิดมากเลยนะครับ”
“อื้ม ฉันจะไม่คิดมากแล้ว” คุณผู้หญิงยืดตัวขึ้นแล้วมองเขา“ทำไมวันนี้กลับมาเช้าจังล่ะ?”
“พอดีกลับมาจากที่ลูกค้านะครับ เลยกลับมาบ้านเลย” หนานกงเฉินลุกยืนขึ้น“คุณยายครับ ผมขอขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ”
“อื้ม ไปเถอะ”
หลังจากที่หนานกงเฉินเดินขึ้นไปบนห้อง ผู่เหลียนเหยาก็พูดกับคุณผู้หญิงเสียงเบาว่า“คุณนายไม่คิดจะบอกพี่ชายจริงๆหรอคะ?”
“บอกเขาทำไมล่ะ? มันจะแค่ทำให้เขาเสียใจไปเท่านั้น”
“แต่ว่า……เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะปิดบังเขาได้หรอคะ?”
“บอกเขาไปว่าลูกของเขาได้แท้งไปแล้ว”
“คะ?”
“ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงล่ะ? บอกเขาว่าลูกของเขาได้คลอดออกมาแล้ว? มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน?” คุณผู้หญิงส่วยหัวแล้วยิ้มอย่างเหนื่อยล้า“ทำอย่างนี้นอกจะเพิ่มความเจ็บปวดให้เขาแล้ว ไม่มีผลดีอะไรเลย”
“แต่ว่า……พี่สะใภ้ละคะ? เธอจะยอมที่จะทำแบบนี้หรอคะ?” ผู่เหลียนเหยาถามด้วยสีหน้ากังวล
“ไป๋ยิ่งอัน? เธอยังมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธอยู่หรอ?” คุณผู้หญิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอดึงดันที่จะคลอดเด็กคนนี้ ก็คงไม่ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเจ็บปวดไม่ใช่หรอ? แล้วเด็กนั่น……”
คุณผู้หญิงพูดๆไปก็เริ่มที่จะสะอื้น“แค่คิดถึงใบหน้าที่น่าสงสารนั่น แล้ววันหนึ่งเขาก็จะจากเราไป ใจของฉันก็เหมือนมีมีดมากรีดสะอย่างนั้น”
“คุณยายอย่าเสียใจไปเลย หนูเข้าใจแล้วค่ะ หนูจะช่วยคุณยายเก็บความลับนี้ไว้เอง” ผู่เหลียนเหยาพูดปลอบ แล้วเอานิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปาก“คุณยายระวังอย่าให้พี่ชายเห็นตุณยายตอนที่เศร้าแบบนี้นะคะ เขาอาจจะสงสัยได้”
คุณผู้หญิงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออก ค่อยสงบความอารมณ์ของตัวเอง
ในที่สุดพี่เหอก็กลับไปแล้ว ไป๋ยิ่งอันก็ลงจากเตียง ถอนหายใจออกอย่างโล่งอก“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ชาตินี้หนูยังไม่เคยร้องไห้นานขนาดนี้มาก่อนเลย”
ซูวยาหยงมองเธออย่างไม่สบอารมณ์“เหอะ ถ้ากับความลำบากแค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะทำการใหญ่ได้ยังไงกัน?”
“คุณแม่ก็ลองร้องไห้เรื่อยๆแบบนี้ดูสิคะ ความรู้สึกนั้นมันใช้คำว่าลำบากมาบรรยายไม่ได้หรอก หนูร้องไห้จนตะคิวจะกินปากอยู่แล้ว”
“พอแล้วๆ หยุดบ่นได้แล้ว เรื่องก็ไปได้ดีไม่ใช่หรอ?”
พอพูดแบบนี้ ไป๋ยิ่งอันก็รู้สึกสบายใจขึ้น
เธอหยิบแอปเปิลที่ปอกเปลือกเสร็จแล้วบนโต๊ะขึ้นมากิน“แม่คะ นี่มันก็ผ่านมาทั้งวันแล้ว ทำไมหนานกงเฉินยังไม่มาละคะ?”
“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน” ซูวยาหยงถอนหายใจ
“ไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นแล้วนะคะ?” ไป๋ยิ่งอันนิ่งคิด“ใช่แล้ว หนูเคยได้ยินไป๋มู่ชิงบอกว่า เธอกับหนานกงเฉินเคยสัญญากันไว้ว่า ถ้าหากคลอดลูกแล้วหนานกงเฉินยังอยากได้เธออยู่ ก็จะมารับเธอกลับบ้าน ถ้าไม่……แม่คะ เขาคงไม่ได้ทิ้งหนูหรอกใช่ไหมคะ?”
ซูวยาหยงที่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มกังวลขึ้นมา เธอนิ่งคิดแล้วพูดปลอบไป๋ยิ่งอันว่า“อย่าพึ่งกังวลไป บางทีเขาก็อาจจะงานยุ่ง แล้วมาพรุ่งนี้ล่ะ?”
“หนูกลัวเขาจะไม่มา”
“ไม่หรอก อย่าลืมว่านี่คือลูกแท้ๆของเขา”ซูวนาหยงหันหน้าไปทางเด็กที่อยู่ในเตียงเล็ก
“ก็จริงค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูก็จะอดทนรอ” ไป๋ยิ่งอันกัดแอปเปิลที่อยู่ในมือคำนึง ขบคิดไปสักพักก็ถามขึ้นอีกว่า“แม่คะ แล้วตอนนี้ไป๋มู่ชิงเป็นยังไงบ้างคะ? ยังให้ความร่วมมือกับแผนของเราอยู่ไหมคะ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ซูวยาหยงก็ปวดหัวขึ้นมาทันที เธอเอามือนวดตรงหัวของเธอแล้วพูดด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายว่า“ร้องหาแต่จะเจอลูกทั้งวัน ฉันรำคาญจะตายอยู่แล้ว”
“แล้วจะทำยังไงดีคะ?”
“ฉันก็กำลังเครียดอยู่” ซูวยาหยงพูด“ตอนที่ยังไม่ได้คลอด พูดให้ตายยังไงก็ไม่ยอมทำแท้ง รู้เลยว่ารักเด็กนี่มากแค่ไหน ฉันกลัวว่าอนาคตเธออาจจะโวยวายไปถึงบ้านตระกูลหนานกง”
พอซูวยาหยงพูดแบบนี้ ไป๋ยิ่งอันถึงกลับกลืนแอปเปิลไม่ลง
“ถ้าเป็นแบบนั้นละก็ พวกเราจะซวยเพราะมันแน่”
“ก็ใช่นะสิคะ”
“เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ให้มันมีโอกาสนี้นะคะ”
“ขาก็อยู่บนตัวมัน ถ้ามันอยากโวยวายขึ้นมาจริงละก็ เราก็ทำอะไรมันไม่ได้”
“เราก็อย่าให้มันไปโวยวายได้สิคะ” ไป๋ยิ่งอันพูด
ซูวยาหยงมองสีหน้าที่ร้ายกาจของไป๋ยิ่งอัน และเริ่มมีรอยยิ้มที่เยือกเย็นปรากฏขึ้น เมื่อสักครู่เธอก็คิดปัญหานี้มาตลอด แต่ลังเลว่าจะปล่อยมันไปดีหรือไม่
เสียงเท้าที่ดังผ่านเข้ามาที่ประตู ซูวยาหยงก็รีบทำมือให้ไป๋ยิ่งอันกลับขึ้นเตียง ไป๋ยิ่งอันก็รีบกลับไปนอนเหมือนเดิม แสร้งทำเป็นกินไม่ได้นอนไม่หลับต่อไป
พี่เหอเอาปิ่นโตที่อยู่ในมือวางไว้ที่โต๊ะ พร้อมกับตักซุปไก่ออกมา“เมื่อสักครู่คนขับรถเป็นคนส่งมาให้ คุณหญิงน้อยทานหน่อยเถอะคะ”
“หนูทานไม่ลงหรอกค่ะ” ไป๋ยิ่งอันพูดด้วยเสียงสะอื้น
ซูวยาหยงเดินมานั่งลงที่ข้างเตียงของเธอ พูดปลอบเธอว่า“ยิ่งอันลูก ไม่ว่ายังไงก็ต้องทานข้าวนะลูก แล้วตอนนี้ลูกก็พึ่งคลอดลูกเสร็จ ถ้ารับสารอาหารไม่พอจะมีผลกระทบต่อร่างกายได้นะลูก”
“แต่ว่า หนู……หนูทานไม่ลงจริงๆนะคะ”
“แม่รู้ว่าลูกไม่สบายใจ แต่ตอนนี้ลูกของหนูยังต้องการให้ลูกไปดูแลนะคะ เพราะฉะนั้นลูกต้องเข้มแข็งไว้ ร่างกายของลูกจะได้มีแรงไปดูแลลูกไงคะ” ซูวยาหยงค่อยๆดึงเธอออกจากผ้าห่ม“เชื่อแม่สิ ทานน้ำซุปนี่หน่อยเถอะ”
ไป๋ยิ่งอันรับซุปไก่มาด้วยสีหน้าที่เศร้าเสียใจแล้วดื่มมันเข้าไป
พี่เหอพูดขึ้นว่า“จริงสิ คุณผู้หญิงฝากฉันมาบอกพวกคุณว่า อย่าเอาเรื่องที่คลอดลูกแล้วและเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดบอกเขานะคะ”
สีหน้าของซูวยาหยงเต็มไปด้วยความสงสัย มองเธอแล้วพูดว่า“พี่เหอคะ การไม่บอกเรื่องที่เด็กเป็นโรคยังพอเข้าใจ แต่ไม่บอกเขาเรื่องเด็กคลอดออกมาแล้วนี่……”
“บอกเขาว่าเด็กได้แท้งไปแล้ว”พี่เหอะพูด
ไป๋ยิ่งอันที่กินน้ำซุปอยู่ พอได้ยินเข้าก็พ่นซุปไก่เข้าไปในถ้วย แล้วไอขึ้นมาเสียงดัง
พี่เหอหันไปมองเธอ แล้วถามว่า“คุณหญิงน้อยเป็นอะไรไหมคะ?”
“ยิ่งอัน เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” ซูวยาหยงรีบเข้ามาลูบหลังของเธอเบาๆ
หลังจากที่ไป๋ยิ่งอันไออย่างหนักแล้ว พยักหน้าโดยที่น้ำตายังคลออยู่ แล้วพูดว่า“หนุไม่เป็นอะไรค่ะ”
พี่เหอมองเธอแล้วถามว่า“คุณหญิงน้อยมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”
ไป๋ยิ่งอันรีบส่ายหน้าตอบ“ไม่มีค่ะ แบบนี้ก็ดี คุณชายใหญ่เขาก็จะได้ไม่ต้องเสียใจไปกว่านี้”
“ใช่แล้วค่ะ คุณผู้หญิงก็คิดแบบนี้”
“แล้ว……เด็กจะทำยังไงหรอคะ? คงไม่เอาเขาไปซ่อนหรอกใช่ไหม?” ซูวยาหยงพยายามสะกดความไม่พอใจที่อยู่ในใจไว้
“คุณผู้หญิงหมายถึงให้ตระกูลไป๋เอาเด็กไปเลี้ยงก่อน พวกคุณวางใจได้ค่ะ เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดตระกูลหนานกงจะเป็นคนออกเอง รวมทั้งค่ารักษาของเด็กด้วย”
“คุณผู้หญิงนี่คิดได้รอบคอบจังเลยนะคะ” ซูวยาหยวยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้“เด็กคนนี้ก็ถือว่าเป็นของตระกูลไป๋เหมือนกัน ก็ถูกแล้วที่เราควรเลี้ยงดูเขา อีกอย่างค่าใช้จ่ายพวกนี้เราก็ออกได้อยู่แล้วค่ะ เรื่องแค่นี้ คุณผู้หญิงวางใจได้”
“คุณคิดแบบนี้ได้ เราก็ดีใจค่ะ” พี่เหอตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ
ไป๋ยิ่งอันที่ทานน้ำซุปไก่หมดแล้ว ก็วางถ้วยไว้บนโต๊ะ“หนูอยากพักผ่อนแล้ว พวกคุณออกไปเถอะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอกลับก่อนนะ และจะเอาเรื่องไปแจ้งให้คุณผู้หญิงทราบด้วย” พี่เหอเก็บปิ่นโตแล้วพูดว่า“พรุ่งนี้ฉันจะเอาอาหารเช้ามาให้ คุณหญิงน้อยพักผ่อนเถอะค่ะ”
“ค่ะ” ไป๋ยิ่งอันตอบกลับ
หลังจากที่พี่เหอไปแล้ว ไป๋ยิ่งอันลุกขึ้นนั่งบนเตียงมองซูวยาหยงแล้วพูดด้วยความโกรธว่า“แม่คะ ทำไมคุณแม่ตอบตกลงข้อเสนอแบบนั้นของเขาล่ะคะ ต้องการให้เราปิดเรื่องที่เด็กคลอดออกมาแล้วกับหนานกงเฉินอย่างงั้นหรอ? มันไม่มากเกินไปหรือไง!”
ซูวยาหยงมองเธอ“ถ้าเมื่อสักครู่ฉันไม่ตอบตกลง แล้วแกจะทำยังไง? ตอบปฏิเสธเลยงั้นหรอหรอ?”
“ไม่งั้นจะทำยังไงล่ะคะ?”
“แสดงว่าลูกทำเรื่องอะไรยังไม่รอบคอบพอ” ซูวยาหยงส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย สีหน้าแสดงถึงความไม่ได้ตามที่ใจคิด“บอกกับลูกกี่ครั้งแล้วว่าทำอะไรอย่าได้ใจร้อนวู่วาม ต้องระมัดระวัง พะวงหน้าพะวงหลังด้วย ถ้าลูกตอบปฏิเสธไปแบบนั้น คุณผู้หญิงต้องโกรธมากแน่ๆ ลูกต้องพูดตกลงดีๆก่อน เหลือหนทางให้กับตัวเองแล้วค่อยคิดหาทางแก้”
ซูวยาหยงยิ้มเยาะ“คุณผู้หญิงนี่เด็ดขาดเสียจริง การที่เธอให้ลูกเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านตัวเองเนี่ย เป็นการใช้โอกาสนี้เตะลูกออกจากตระกูลหนานกงชัดๆ วันไหนที่เด็กตายแล้ว ลูกก็ไม่มีเหตุผลที่จะกลับตระกูลนั้นอีก”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ที่เราทำมาทุกอย่างก็สูญเปล่าสิคะ?” ไป๋ยิ่งอันกังวลจนสมองตื้อไปหมด คิดหาทางไม่ออกเลยว่าเธอควรทำอย่างไรดี
แต่ซูวยาหยงกลับดูสงบเหมือนเคย มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย“พวกเขาไม่ให้เราบอกหนานกงเฉิน แต่เราทำให้หนานกงเฉินรู้ด้วยตัวเองได้นิ ถึงเวลานั้น หนานกงเฉินจะมารับพวกเธอทั้งสองกลับตระกูลหาานกง มันก็ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว”
“เอ๋ นี่เป็นวิธีที่ดีนะคะ” ไป๋ยิ่งอันชื่นชม
“แน่นอน นี่ถือว่าเป็นการเดิมพันเลยนะ เราใช้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของหนานกงเฉินเป็นเดิมพัน ดูว่าเขายังจะเอาพวกเธอสองแม่ลูกอยู่ไหม ”
“แล้วถ้าเขาไม่เอาล่ะ?” ใจของไป๋ยิ่งอันที่โล่งขึ้นก็กลับมากังวลอีกครั้ง
ซูวยาหยงมองเธอ แล้วพูดที่ละคำว่า“งั้นลูกก็ต้องโทษชะตาชีวิตของตัวเองแล้วละ ที่ไม่สามารถมีชะตาที่ดีได้”
“แม่คะ……”
“เรียกฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใครให้คนตระกูลหนานกงนั่น ตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ ตั้งแต่เจ้านายถึงคนรับใช้ แต่ละคนเป็นคนที่ไร้ซึ่งน้ำใจและหน้าตึงเป็นผีปอบอย่างงั้นล่ะ?” ซูวยาหยงพูดแล้วก็กัดฟันแน่น
เธอเป็นถึงคุณหญิงของตระกูลไป๋ ในสังคมชั้นสูงเธอถือเป็นที่เคารพนับถือ ไม่คิดว่าพอมาเจอกับตระกูลหนานกงแล้ว กลับทำให้เธอกลายเป็นหมาหน้าโง่แบบนี้
รอวันที่ลูกสาวของเธอกลายเป็นคุณหญิงของตระกูลหนานก่อน ตอนนั้นฉันจะทรมานไอแก่นั่นให้ถึงที่สุด ซูวยาหยงยิ่งคิดยิ่งโกรธ โกรธจนอยากให้แผนของเธอสำเร็จให้เร็วที่สุด
เสี่ยวชิงตักซุปไก่ออกมาจากปิ่นโต ยื่นไปที่ตรงหน้าของไป๋มู่ชิงเพื่อให้เธอดื่ม
ถึงแม้ไป๋มู่ชิงจะอยากให้ร่างกายตัวเองดีขึ้นแค่ไหน แต่ก็ทานไม่ลงอยู่ดี ได้แต่พูดปฏิเสธไป“วางลงเถอะ เดี๋ยวฉันค่อยทาน”
“คุณหนูรองคะ ซุปไก่เนี่ยต้องทานตอนร้อนๆถึงจะอร่อยนะคะ” เสี่ยวชิงพูดคะยั้นคะยอ“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอคะ ว่าจะรักษาร่างกายให้ดีขึ้นแล้วรีบออกจากโรงพยาบาล”
ไป๋มู่ชิงอยากออกจากโรงพยาบาลมากกว่าใคร รีบออกไปจากห้องบ้าๆนี่ เธอกัดฟันแล้วรับซุปไก่จากมือเสี่ยวชิงมาทาน
พอกินหมด แล้วเธอยื่นถ้วยให้เสี่ยวชิง ไป๋มู่ชิงขอร้องเธอว่า“เสี่ยวชิง ฉันอยากพบคุณหญิงไป๋ ฝากคนไปบอกหน่อยได้ไหม?”
เสี่ยวชิงพูดด้วยสีหน้าหนักใจว่า“เมื่อสักครู่ก็ฝากไปแล้ว คุณหญิงบอกให้คุณพักผ่อนสะ พรุ่งนี้ก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าซูวนาหยงนั้นไม่อยากเจอเธอ แต่ไม่มีวิธีอื่นแล้ว เธอเลยเปลี่ยนเป็นพูดกับเสี่ยวชิงว่า“งั้นฉันขอยืมโทรศัพท์เธอหน่อย”
เธออยากโทรหาซูซี่ ถามเธอว่าเมื่อไหร่เธอจะมาถึงกัน แต่ที่จริงถ้าเธอมาแล้ว ซูวยาหยงก็ไม่ให้เธอมาเจออยู่ดี เรื่องนี้ไม่ต้องคิดก็รู้อยู่แล้ว
เสี่ยวชิงส่ายหัวด้วยสีหน้าไม่ดีนัก“คุณหญิงบอกว่าทั้งวันฉันสักแต่เล่นโทรศัพท์ เลยยึดโทรศัพท์ของฉันไปแล้วค่ะ”
โทรศัพท์ของเสี่ยวชิงก็ยึดไปแล้วงั้นหรอ ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าด้วยความขมขื่นใจ ซูวยาหยงไม่ได้ยึดโทรศัพท์ของเสี่ยวชิงไปเพียงเพราะเธอเล่นทั้งวันหรอก เธอแค่อยากให้ฉันหลุดการติดต่อกับโลกภายนอก เธอกลัวว่าฉันจะทำแผนที่ไป๋ยิ่งอันจะกลับเข้าตระกูลหนานกงนั้นพัง!
ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าหัวของเธอเริ่มหนักๆ เธอสะบัดหัวของตัวเองไปรอบหนึ่ง เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเธอถึงรู้สึกเวียนหัวขนาดนี้?
เธอหันไปมองปิ่นโตที่วางอยู่บนโต๊ะ จ้องไปที่เสี่ยวชิงแล้วถามว่า“เธอใส่อะไรเข้าไปในน้ำซุปหรือเปล่า?”
“คุณหนูรองคะ คือคุณหญิงเห็นว่าคุณไม่ได้พักมาทั้งวันแล้ว เลยอยากให้คุณพักผ่อนนะค่ะ เลยใส่ยานอนหลับลงไปในน้ำซุป” เสี่ยวชิงตอบตามความจริง
ในเมื่อ เมื่อสักครู่คุณหญิงก็พูดกับเธอแบบนี้ เพราะฉะนั้นเธอถึงได้ทำตามที่คุณหญิงบอก เอายานอนหลับนั้นใส่เข้าไปในน้ำซุป
“นี่เธอ…….เธอทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะ…….” ไป๋มู่ชิงรู้สึกหัวของตัวเองเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ สติก็ค่อยๆหายไปทีละนิดๆ
“ถ้าฉันบอก คุณยังจะยอมกินอยู่หรอคะ?” เสี่ยวชิงพึมพำ พอเห็นเธอหลับไปแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นห่มให้เธอดีๆ ใจก็คิดว่า ยานี้ออกฤทธิ์ไวมาก แค่แปปเดียวก็ทำให้หลับไปเลย
เฉียวซือเหิงที่ร่วมการประชุมเสร็จกลับถึงห้องทำงานนั้น ก็เห็นซูซี่นั่งโทรหาใครสักคนที่มุมของห้อง
เขาหยุดอยู่ที่ประตูสักพัก แล้วค่อยก้าวเดินเข้าไป มองเธอแล้วพูดเย้ยหยันว่า“ทำไม? ยังไม่ถอดใจงั้นหรอ?”
ซูซี่เงยหน้าเล็กๆของตัวเองขึ้นมองแล้วพูดว่า“คุณชายเฉียว คุณจะให้ฉันพูดกี่ครั้งคุณถึงจะเชื่อ ฉันไม่เคยคิดอะไรกับหนานกงเฉิน และฉันก็ไม่ได้ช่วยเขา ฉันกำลังช่วยเพื่อนของฉันอยู่ต่างหาก”
“ก่อนหน้านั้น คุณไม่เคยบอกกับผมว่าคุณไม่เคยคิดอะไรกับหนานกงเฉิน” เฉียวซือเหิงเดินไปนั่งลงที่โซฟา จุดบุหรี่ขึ้นสูบ แล้วพ่นควันออกจากปาก มองผ่านควันพวกนั้นจะเห็นว่าสีหน้าของเขานั้น แสดงถึงความเยือกเย็นและความไม่ชอบเอาอย่างมาก
“วันนี้ฉันได้พูดไปหลายครั้งแล้ว”
“น่าเสียดายที่ผมไม่เชื่อ”
“คุณต้องการอะไรกันแน่?”
“ผมอยากกลับบ้านไปพักผ่อนเร็วๆ” เฉียวซือเหิงเขี่ยดับก้นบุหรี่ แล้วลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเธอ ดึงเธอขึ้นมาบานหน้าต่างแล้วโอบเธอเข้าอ้อมกอด“ดึกแล้ว กลับบ้านอาบน้ำพักผ่อนเถอะ”
ซูซี่พลักมือที่อยู่ตรงแขนของเธอออกด้วยความโกรธ มองเขาแล้วพูดว่า“ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำ คุณกลับไปก่อนเถอะ”
“คุณยังมีเรื่องอะไรอีก? ช่วยเพื่อนคนนั้นหรอ?”
“ใช่” ซูซี่มองไปที่เขา“คุณจะช่วยฉันหรือไม่ก็ช่าง แต่เธอคือเพื่อนที่สำคัญสำหรับฉันคนนึง ตอนนี้เธอมีปัญหาอยู่ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แบบนี้หรอก”
สักพัก เธอก็พูดบ่นขึ้นอีกว่า“ถ้าตอนเช้าคุณยอมช่วยฉัน เรื่องก็คงไม่กลายมาเป็นแบบนี้หรอก ”
“คุณอยากให้ผมช่วยอะไรกันแน่?”
“เพื่อนฉันบอกว่าลูกสาวเธอหายไป ให้ฉันช่วยหาให้หน่อย”
เฉียวซือเหิงมองเธอ จากนั้นก็หัวเราะออกมา“คุณผู้หญิงเฉียว คุณดูถูกโรงพยาบาลเหิงซิงเกินไปหรือเปล่า การที่เด็กหายไปนั้นไม่มีวันเกิดขึ้นที่โรงพนาบาลนี้เด็ดขาด”
“ยังไงก็แล้วแต่ ฉันจะไปที่แผนกสูตินรีเวชวิทยา”
“คุณบอกผมว่าเป็นห้องพักฟื้นห้องไหนนะ? ผมโทรถามให้”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะไปเอง” ซูซี่ทิ้งเขาไว้แล้วเดินออกจากห้องทำงานไป
เธอคิดว่าเฉียวซือเหิงจะจับเธอไว้เหมือนกับตอนเช้า แต่ไม่คิดว่าเขานั้นไม่ไดจับเธอกลับไป ซู่ซี่เร่งฝีเท้าตัวเองขึ้น แล้วเดินตรงไปทางลิฟต์
พอเธอเดินไปถึงห้องที่ก่อนหน้านั้นที่ไป๋มู่ชิงได้บอกเธอไว้ กลับไม่เห็นแม้แต่เหงาของเธอเลย ซูซี่รีบคว้าพยาบาลหญิงแถวนั้นมาถาม“ไม่ทราบว่าคุณแม่ที่พักอยู่ห้องนี้ไปไหนแล้วคะ?”
พยาบาลหญิงมองไปที่ห้องแล้วตอบว่า“เมื่อสักครู่เธอได้ออกโรงพยาบาลไปแล้วค่ะ”
“ออกไปแล้วหรอคะ?”
“ค่ะ เมื่อสักครู่นี้เอง”
“ซูซี่นิ่งคิดด้วยความสงสัย แล้วถามขึ้นว่า“แล้วเธอได้พูดอะไรไว้ไหมคะ?”
“ไม่มีนะคะ” พยาบาลหญิงส่ายหัว
ซูซี่พยักหน้ารับ ยืนอยู่ที่เดิมสักพัก ถึงจะเดินออกไปจากแผนกสูตินรีเวชวิทยา
เช้าของวันที่สอง หนานกงเฉินเดินเข้ามาในห้องทำงาน เลขาเหยียนก็ตามเข้ามา พูดด้วยสีหน้าสงสัยว่า“คุณชายเฉินครับ วันนี้ผมได้ยินข่าวลือแปลกๆในบริษัทครับ”
“ข่าวลืออะไร?” หนานกงเฉินดึงเก้าอีกออกมานั่งลง เงยหน้าขึ้นมองเขา“ข่าวลือเกี่ยวกับฉันกับนายอีกแล้วหรอ?”
“ถ้าเป็นข่าวลือระหว่างผมกับคุณชายเฉิน ผมไม่เดินเข้ามาบอกแบบนี้หรอกครับ” เลขาเหยียนพูด“ไม่รู้ว่าข่าวมาจากไหน บอกว่าคุณหญิงน้อยคลอดแล้วครับ เด็กที่คลอดออกมาเป็นเด็กที่มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน เด็ก…….ขี้โรคนะครับ”
หนานกงเฉินที่กำลังจะเปิดโทรศัพท์นั้นก็ชะงัก เงยหน้าขึ้นถามว่า“นายพูดว่าอะไรนะ?”
“ทุกคนกำลังคุยกันว่าคุณหญิงน้อยได้คลอดตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ” เลขาเหยียนพูดซ้ำอีกรอบ
นี่ถือเป็นข่าวที่น่าตกใจมาก หนานกงเฉินมองเขา แล้วฉุกนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานคุณผู้หญิงที่สีหน้าไม่สู้ดีนัก กับกระทำและคำพูดแปลกๆนั่น เขารู้เลยว่าข่าวนี้ไม่ได้มาแค่ลอยๆแน่นอน แต่เป็นเรื่องที่มีอยู่จริง
เขานิ่งค้างอยู่ที่โต๊ะทำงานสักพัก ไม่มีการขยับใดๆทั้งสิ้น
เลขาเหยียนมองเขาแล้วถามอย่างระมัดระวังว่า“คุณชายเฉินครับ ให้ผมไปดูสถานการณ์ก่อนไหมครับ?”
“ไม่ต้อง ฉันจะไปเอง” หนานกงเฉินวางแล็ปท็อปลง จากนั้นก็เดินอ้อมมาจากหลังโต๊ะทำงาน แล้วเดินออกไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
ตอนที่หนานกงเฉินกลับมาถึงบ้านนั้น เจอเข้ากับคุณผู้หญิงกับเซิ่นซิงที่กำลังเตรียมตัวจะไปโรงพยาบาล
เห็นรถของหนานกงเฉินที่ขับเข้ามา ทุกคนชะงัก ยังไม่ได้ทันที่ทุกคนจะตึงสติกลับมา รถของหนานกงเฉินก็ได้จอดสนิทแล้ว และก็เปิดประตูเดินลงมาจากรถแล้ว
“พี่ชายคะ ทำไมถึงกลับมาล่ะคะ?” เซิ่นซิงมองเขาแล้วถามขึ้น
พอเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีของเขา คุณผู้หญิงก็ทายออกเลยว่าทำไมเขาถึงกลับมา

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset