เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 122 กลยุทธ์ของยิ่งอัน

“ผมอยู่คุยกับคุณอาที่นั่นอ่ะ” เสี่ยวหยี่พูดอย่างหน้าไม่อาย
ไป๋มู่ชิงหมดคำจะพูด “นายคุยอะไรกับเขา? พูดไม่ดีเรื่องพี่หรือเปล่า? ”
“เปล่านะ” เสี่ยวหยี่ยกกล้องดูดาวในมือขึ้นมาแล้วพูดอย่างดีใจ “ดูสิ อาคนนี้ให้กล้องดูดาวผมมาด้วย ดีกว่าที่พี่ซื้อให้ผมอันนั้นเยอะเลย”
“นายยังไปเอาของเขาอีกเหรอเนี่ย ลืมแล้วเหรอว่าพี่สอนนายว่ายังไง? ”
เสี่ยวหยี่ทรุดหน้าลงทันที พึมพำเสียงเบา “แต่อาบอกว่าเอาไว้ที่นั่นก็ไม่มีประโยชน์ เลยเอาให้ผม พี่ ต่อไปผมจะไม่เอาของคนอื่นซี้ซั้วอีกแล้ว”
ไป๋มู่ชิงมองกล้องดูดาวในมือเขา แล้วมองใบหน้าหวาดกลัวของเสี่ยวหยี่ จึงหยุดสั่งสอน ยื่นมือไปหยิบกล้องดูดาวในมือเขามา พลิกดูสองสามทีแล้ววางมันลงข้างๆ “ไปกันเถอะ ไปกินข้าวเช้ากัน”
หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว ไป๋มู่ชิงก็แต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอก จู่ฮุ่ยมองสำรวจเธอแล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ “มู่ชิง ลูกไม่ได้ไปทำงาน ยุ่งอะไรอยู่ข้างนอกตลอดทั้งวัน? ”
จนถึงวันนี้ไป๋มู่ชิงยังไม่ได้บอกว่าตัวเองกำลังตามหาเบาะแสลูกสาวทั่วทั้งเมือง พูดตามปกติอย่างไม่เป็นทางการแล้วออกไป
เธอเดินดูข้างนอกทุกวัน ทุกวันรู้สึกตัวเองเหนื่อยล้ามาก แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอไม่อยากฝากความหวังไว้ที่ซูซี่คนเดียว แม้จนถึงวันนี้แล้วไม่มีวี่แววสักนิดก็ตาม
และเพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ไป๋มู่ชิงเพิ่งออกไปรับโทรศัพท์หลินอันหนาน หลินอันหนานในโทรศัพท์ก็ถามว่าเธออยู่ที่ไหน เธอรีบพูดอย่างไม่เป็นทางการ “ฉันเดินเล่นอยู่ที่ถนน”
“งั้นดีเลย เราไปเลือกเครื่องประดับและชุดราตรีสำหรับงานแต่งกัน” หลินอันหนานพูด
ไป๋มู่ชิงเครียดในใจ อะไรที่ควรเกิดก็ต้องเกิด “ทำไมต้อง……รีบขนาดนั้น? ยังไม่กำหนดวันไม่ใช่เหรอ? ”
“ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเลือกอยู่ดี วันนี้ว่างพอดี” หลินอันหนานถาม “เธออยู่ไหน? ฉันจะไปหาเธอ”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้น ต้องแจ้งที่อยู่ให้กับเขา จากนั้นก็รีบจากโรงพยาบาลเหิงซิงไปที่นั่น
หลังจากหนานกงเฉินออกมาจากอพาร์ทเมนท์ ไม่ได้ไปทำงานล่วงเวลาที่บริษัทแต่กลับบ้านเก่า เขาสัญญากับไป๋ยิ่งอันว่าวันนี้จะพาเธอออกไปเดินเล่น
เห็นเขากลับมา ไป๋ยิ่งอันที่ซึมเศร้ามาทั้งคืนสุดท้ายก็ยิ้มเล็กน้อย แต่ยังคงถามด้วยความโกรธนิดหน่อย “เฉิน ทำไมเมื่อคืนคุณไม่กลับมา? ”
“เมื่อคืนเมา นอนที่อพาร์ทเมนท์” หนานกงเฉินยกมือขึ้นลูบหลังมือเธอ อมยิ้มพูดขึ้น “ฉันก็รีบกลับมาแต่เช้าแล้วนี่ไง”
“อยู่คนเดียวหรือพาคนอื่นกลับไปอยู่ด้วย? ” ไป๋ยิ่งอันถามอย่างระมัดระวัง
หนานกงเฉินยกมือขึ้นบีบแก้มเธอ “เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบให้คนอื่นมานอนเตียงฉัน”
“ก็ได้ ฉันเชื่อใจคุณ” ไป๋ยิ่งอันจับแขนเขาแน่น “แล้วคุณกลับมาเพื่อดูลูกใช่ไหม? ”
“อืม แต่หลักๆ คือกลับมาพาเธอออกไปเดินเล่น”
“จริงเหรอ? งั้นฉันกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”
“ไปสิ” หนานกงเฉินพูดจบ ไป๋ยิ่งอันก็หันตัวเดินไปที่ห้องตัวเองทันที
บนรถ ไป๋ยิ่งอันถามขึ้นอย่างมีแผน “ตอนเช้าเราไปซื้อของกัน ตอนกลางวันกินข้าวข้างนอก จากนั้นตอนบ่ายก็ไปดูหนัง คุณชายใหญ่คุณคิดว่าแบบนี้เป็นไง? ”
“ได้อยู่แล้ว” หนานกงเฉินบังคับพวงมาลัยอย่างจริงจัง
“ขอบคุณค่ะ รู้อยู่แล้วว่าคุณต้องเห็นด้วย” ไป๋ยิ่งอันพูดอย่างชอบใจ
หลังจากผ่านไปครึ่งเมือง หนานกงเฉินก็จอดรถที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของศูนย์กลางการค้า ที่นี่มีที่ชอปปิ้ง มีอาหาร และมีภาพยนตร์ให้ชม
อยู่ในตระกูลหนานมานานกว่าหนึ่งเดือน ไป๋ยิ่งอันก็กำลังจะเป็นโรคประสาทแล้ว ในที่สุดก็ได้ออกไปข้างนอกได้ และยังมีหนานกงเฉินมาเป็นเพื่อนด้วย เธอดีใจโดยธรรมชาติ
น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอรับบทเป็นไป๋มู่ชิง เห็นเครื่องประดับสวยๆ งามๆ ก็ซื้อไม่ได้ เสื้อผ้าแพงๆ ก็ซื้อไม่ได้ ซื้อสไตล์ที่ตัวเองชอบก็ไม่ได้ สำหรับเธอที่มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะซื้อของมาตลอด มันคือความทรมานอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากซื้อเสื้อผ้าแล้ว ขณะที่เดินมาหน้าลิฟต์ จู่ๆ หนานกงเฉินก็พูดขึ้น “ชั้นสี่ขายเสื้อผ้าสำหรับเด็กทารก อยากขึ้นไปดูหน่อยไหม? ”
เขาจำได้ว่าไป๋มู่ชิงหลังจากท้อง ก็สนใจเสื้อผ้าและสินค้าเด็กทารกเป็นพิเศษ ตราบใดที่ชอปปิ้งก็เข้าไปเดินเล่นได้
ไป๋ยิ่งอันพ่นออกมาประโยคหนึ่งโดยแทบไม่คิด “ไม่ต้องหรอก เสื้อผ้าเด็กน่าดูตรงไหน”
หลังจากพูดจบเธอก็อึ้งไปสักพัก เงยใบหน้าเล็กขึ้นมาเห็นหนานกงเฉินมองตัวเองด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ เธอตื่นตระหนก จากนั้นขอบตาก็เริ่มแดงขึ้นมาทีละนิด
“ถ้าซื้อกลับไป ลูกใส่ไม่ได้ล่ะก็……” จากนั้นน้ำตาสองข้างก็ไหลออกมา โศกเศร้าเท่าที่จะทำได้
หนานกงเฉินโดนการตอบสนองเธอแทงเข้าไปในหัวใจ ยื่นมือโอบเธอเข้าอ้อมแขน พูดข้างหูเธอด้วยเสียงอ่อนโยน “ขอโทษ ฉันไม่ดีเอง”
“เฉิน ถ้าสักวันหนึ่งลูกจากไปจริงๆ ฉันควรทำยังไง? ฉันจะต้องเสียใจตายแน่ๆ !” ไป๋ยิ่งอันส่งเสียงครวญครางด้วยน้ำตา
“เอาล่ะ อย่าไปคิดเรื่องนี้เลย” หนานกงเฉินตบบ่าเธอ แล้วสูดลมหายใจ “บอกว่าอยากชอปปิ้งอย่างมีความสุขสักวันไม่ใช่เหรอ? เป็นเด็กดีนะ อย่าร้องไห้”
ไป๋ยิ่งอันพยักหน้าในอ้อมแขนเขา หนานกงเฉินคลายตัวเธอ ใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาบนใบหน้าเธอ
หลังจากมองไปรอบๆ ร้านเครื่องประดับ ไป๋มู่ชิงแค่รู้สึกตื่นตาตื่นใจ ไม่สามารถเลือกสไตล์ที่ตัวเองชอบได้
“แล้วอันนี้ล่ะ” เธอหยิบแหวนเพชรวงเล็กขึ้นมาแล้วพูดกับหลินอันหนาน
หลินอันหนานหยิบแหวนมาแล้วมอง เงยหน้ามองเธออย่างหมดหนทาง “นี่มันแหวนแต่งงาน ทำไมฉันรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยจริงจังเลยสักนิด”
“แบบนี้มันเล็กน่ารัก แต่มันก็ดูเล็กไปหน่อย ไม่เปลี่ยนเป็นวงนี้ล่ะคะ” พนักงานหยิบแหวนเพชรเม็ดโตอีกวงหนึ่งส่งให้ ยิ้มแล้วพูดขึ้น
ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงใบหน้าไม่พอใจของหลินอันหนาน พูดขึ้นอย่างอึดอัดนิดหน่อย “คุณก็รู้ว่าฉันไม่ชอบใส่เครื่องประดับมาตลอด ซื้อกลับไปก็เสียดายเงิน”
“เธอไม่ชอบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เธอต้องคำนึงถึงหน้าฉันด้วย ฉันสวมแหวนให้เธอวงเล็กแบบนี้ คนอื่นจะพูดถึงฉันยังไง?” หลินอันหนานมือข้างหนึ่งหยิบแหวนเพชรเม็ดโตจากพนักงาน มืออีกข้างก็ดึงมือขวาของไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะที่ฉันไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกคุณ”
รู้สึกว่าหลินอันหนานดึงมือเธอแต่ไม่สวมแหวนให้เธอ เธอจึงเงยหน้าขึ้นมา พบว่าหลินอันหนานจ้องมองนิ้วนางมือขวาเธอโดยไม่ขยับ
“ขอโทษ……” เธอรีบดึงมือขวาของเธอกลับจากฝ่ามือเขา นิ้วยาวเธอสวมแหวนของตระกูลหนานกงอยู่ ไม่มีที่ว่างสำหรับแหวนเพชร
หลินอันหนานถึงแม้ว่าอึดอัดใจ แต่ก็รู้เช่นกันว่าไม่มีวิธีอื่น ไม่สามารถถอดแหวนออกได้ ไม่สามารถตัดนิ้วเธอออกได้ สุดท้ายก็หายใจอย่างหมดหนทาง พูดขึ้น “ไม่มีอะไรต้องขอโทษ แหวนมันก็แค่รูปแบบเท่านั้น”
เขาจับมือซ้ายของเธอขึ้นมา สวมแหวนที่นิ้วนางเบาๆ ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “แบบนี้ก็ดีมากเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ?”
“อืม” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า
“ชอบไหม?”
“ชอบ” ไป๋มู่ชิงกลัวว่าเขาจะรู้สึกว่าตัวเองเล่นละครตบตาเขา ก็รีบเสริมไปอีกประโยค “แหวนทุกวงมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง”
หลังจากไป๋ยิ่งอันได้รับข้อความจากหลินอันหนาน ก็รีบพาหนานกงเฉินเดินไปยังเขตเครื่องประดับทันที จากนั้นก็ทั้งสองคนกำลังลองแหวนในร้านเครื่องประดับ
ผ่านหน้าต่างกระจก หนานกงเฉินก็เห็นร่างของทั้งคู่แน่นอน เขาก้มหน้ามองไป๋ยิ่งอัน ก็สบตากับไป๋ยิ่งอันที่มองมาพอดี
“เราไปดูร้านข้างหน้ากันดีกว่า” เธอยิ้มแล้วพูด
หนานกงเฉินรู้ว่าพวกเธอสองพี่น้องขัดแย้งกันมาตลอด ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เดินไปข้างหน้ากับเธอ
“เธออยากซื้ออะไร?” หลังจากเข้ามาในร้านเครื่องประดับ หนานกงเฉินก็มองไป๋ยิ่งอันแล้วถามขึ้น
“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่ชอบเครื่องประดับ” ไป๋ยิ่งอันยิ้มขมขื่น “ได้ยินมาว่ากำไลเงินกำจัดสิ่งชั่วร้าย ฉันอยากซื้อกลับไปให้ลูกใส่”
“มันเป็นแค่คำบอกเล่า เธอไม่ต้องเชื่อขนาดนั้นก็ได้” หนานกงเฉินพูด
“ไม่ว่ายังไง ก็ซื้อให้เขาสักอันเถอะ” ไป๋ยิ่งอันควงเขาเดินไปยังเขตเครื่องประดับเงิน
เมื่อซื้อเครื่องประดับเงินออกมาแล้ว ทั้งคู่ก็บังเอิญเจอหลินอันหนานและไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงอึ้งไป รีบปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว ยิ้มให้ทั้งคู่ “บังเอิญจัง พี่สาวกับพี่เขย”
ไป๋ยิ่งอันแสดงท่าทางกระต่ายน้อยสีขาว พูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “บังเอิญจัง”
“คุณชายเฉินว่างขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่คิดว่าจะมีเวลามาเดินเล่นกับพี่สาวฉัน” ไป๋มู่ชิงจงใจใช้น้ำเสียงคลุมเครือมองไปที่ทั้งสองคน “ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพี่เขยกับพี่สาวจะพัฒนาไปได้ด้วยดี น่าอิจฉาจริงๆ”
ไป๋ยิ่งอันก็กวาดตามองทั้งสองคน ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ได้ยินว่าเธอกับคุณชายหลินก็จะแต่งงานกันแล้ว ยินดีด้วยนะ”
“ขอบคุณ” หลินอันหนานแย่งพูด “หวังว่าวันนั้นพวกคุณจะมาร่วมงานแต่งเราได้นะ”
“แน่นอน” ไป๋ยิ่งอันพยักหน้า
หนานกงเฉินมองไป๋มู่ชิงที่อยู่ในอ้อมแขนหลินอันหนาน พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ก็นึกถึงฉากที่เธอพยายามยั่วยวนตนเมื่อคืน
“อันหนาน เราไปกันเถอะ อย่าไปรบกวนพี่สาวกับพี่เขยรักกันเลย” ไป๋มู่ชิงถูกเขาจ้องจนรู้สึกผิดนิดหน่อย หลังจากส่งยิ้มมีเสน่ห์ให้กับเขาแล้ว ก็ทนไม่ไหวรีบควบหลินอันหนานเดินออกมา
จนกระทั่งเดินไปที่มุมหนึ่งของร้าน ไป๋ยิ่งอันก็ปล่อยหลินอันหนานทันที หันไปจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ แล้วพูดขึ้น “คุณชายหลิน คราวหน้าบอกฉันล่วงหน้าได้ไหมถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินแบบนี้ คุณคิดว่าฉันเป็นนักแสดงได้จริงๆ เหรอ?”
หลินอันหนานเห็นเธอโกรธ ก็ยกมือขึ้นลูบหัวเธอ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถ้าบอกเธอล่วงหน้า เธอก็จะไม่มีอารมณ์เลือกของทั้งวันเลยไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ฉันไม่ชอบแสดงจริงๆ นี่ และแสดงเป็นผู้หญิงอย่างไป๋ยิ่งอันด้วย”
“ถ้าเธอไม่แสดง หนานกงเฉินก็จะสงสัย หรือเธออยากให้เขาสงสัย?” หลินอันหนานนิ่งไป ปนไปด้วยความรู้สึกข่มขู่ “เธอก็น่าจะรู้นิสัยของหนานกงเฉิน ถ้าเขารู้ว่าเธอกับไป๋ยิ่งอันปั่นหัวเขา ไม่ใช่แค่ตระกูลไป๋เท่านั้นที่จะแย่มาก เธอกับเสี่ยวหยี่และคุณป้าก็อยู่ไม่สุขแน่”
“ฉันรู้……” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างหมดหนทาง ครั้งหนึ่งเธอได้ยินหลินอันหนานพูดว่าเมื่อก่อนมีเจ้านายบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งทำให้ตระกูลหนานกงไม่พอใจ สุดท้ายก็โดนหนานกงเฉินบีบบังคับจนกระโดดตึกฆ่าตัวตาย
“ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะเปลี่ยนตัวตน งั้นก็ไม่ใช่แค่เรื่องของไป๋ยิ่งอันคนเดียว เธอก็ต้องร่วมมืออย่าเต็มที่ด้วยไม่ใช่เหรอ? เธอกับไป๋ยิ่งอันทะเลาะกันจนเป็นแบบนี้ไม่สะดวกที่จะติดต่อกัน ฉันก็ทำได้แค่ช่วยเธอ”
“พวกคุณ…..ต้องติดต่อกันทุกวันเหรอ?” ไป๋มู่ชิงประหลาดใจ
“แน่นอน เราต้องติดต่อเบาะแสกันและกัน เพื่อเลี่ยงอุบัติเหตุ นี่คือเหตุผลที่ฉันถามเธอตลอดทั้งวันว่าเธออยู่ที่ไหน”
ไป๋มู่ชิงหัวเราะขมขื่น ที่แท้เรื่องราวมันก็ห่างไกลความเรียบง่ายที่ตัวเองคิดไว้ แต่วันปกติเธอไม่ค่อยบอกความจริงกับหลินอันหนาน เพราะเธอบอกเขาไม่ได้ว่าตัวเองกำลังตามหาลูกสาวที่หายไปอยู่ตลอดเวลา
หลินอันหนานพูดต่อ “แน่นอน ครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์วันนี้เป็นไปตามแผนของฉันและไป๋ยิ่งอัน เธอบอกว่าเธอรู้สึกว่าหนานกงเฉินเริ่มสงสัยเธอ เลยต้องให้หนานกงเฉินรู้ข่าวว่าเราจะแต่งงานกัน เพื่อคลายข้อสงสัยของเขา”
ไป๋มู่ชิงใจสั่น ถามขึ้น “คุณว่าไงนะ? หนานกงเฉินเริ่มสงสัยแล้วเหรอ?”
“แค่ความรู้สึกของไป๋ยิ่งอันเอง บางทีเธออาจจะอ่อนไหวเกินไปก็ได้” หลินอันหนานจับข้อมือเธอไว้ “ไปกันเถอะ เราไปเลือกชุดราตรีกันต่อ”
ไป๋มู่ชิงถูกหลินอันหนานจูงไป ในใจก็เริ่มสับสนวุ่นวายขึ้นมา
เธอจินตนาการไม่ออกเลยว่าเมื่อหนานกงเฉินรู้ว่าตัวเองถูกหลอกจะมีผลลัพธ์อย่างไร ตัวเองจะทำให้แม่และน้องชายที่กว่าจะตามหากลับมาเจอต้องเดือดร้อนหรือเปล่า?
ดูเหมือนตัวเองต้องอยู่ห่างจากเขาหน่อยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเมื่อคืนห้ามทำอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเมาหรือป่วยก็ไม่ควรสนใจเขาอีก!
คุณแม่พูดถูก ในเมื่อเขาอยู่ได้มาถึงอายุสามสิบแล้ว ก็คงมีความสามารถในการดูแลตัวเองสิ!
ตอนเช้าชอปปิ้ง ตอนเย็นดูภาพยนตร์ ภาพยนตร์ดูได้ไปครึ่งหนึ่งจู่ๆ ไป๋ยิ่งอันก็ได้รับสายจากสวีหย่าหรง เธอแอบเอียงหน้ามองหนานกงเฉินข้างๆ จากนั้นก็โน้มตัวออกมาจากที่นั่งแล้วไปรับโทรศัพท์ข้างนอก
สวีหย่าหรงในโทรศัพท์ถามขึ้นตรงๆ “ยิ่งอัน เธอกับหนานกงเฉินไปชอปปิ้งกันราบรื่นไหม? ”
“ราบรื่นดี เรากำลังดูหนังกันอยู่” ไป๋ยิ่งอันมองไปที่ทางเข้าโรงภาพยนตร์ กดเสียงทุ้มต่ำพูดขึ้น
“ดูหนังอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ เธอต้องหาวิธีให้เขาแตะตัวเธอด้วย พอเธอท้องก็ไม่ต้องกลัวผู่เหลียนเหยาคนนั้นมันสงสัยแล้ว”
“แต่……ฉันควรทำไงให้เขาแตะตัวฉันล่ะ ห้ามรุกก่อนด้วย” สำหรับเรื่องนี้ไป๋ยิ่งอันรู้สึกหมดหนทางมาโดยตลอด ตอนนี้เธอแสดงเป็นไป๋มู่ชิงที่ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลย ถ้ารุกเกินไปจะทำให้หนานกงเฉินสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้
สวีหย่าหรงคิดแล้วพูดขึ้น “เอาแบบนี้สิ คืนนี้เรียกเขามาที่นี่เพื่อกินข้าว”
“ไปกินที่บ้านคุณเหรอ? ฉันกลัวว่าเขาไม่อยาก” ไป๋ยิ่งอันส่ายหน้า แต่งงานมาตั้งนานแล้ว หนานกงเฉินไม่เคยทานอาหารที่ตระกูลไป๋มาก่อน คืนนี้จะยอมไปกับเธอได้อย่างไร?
“จากความรู้สึกเขาที่มีต่อเธอในตอนนี้ บางทีอาจจะตอบตกลงก็ได้ เธอลองดู” สวีหย่าหรงพูดอย่างมั่นใจมาก
ไป๋ยิ่งอันคิด พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “งั้นก็ได้”
ภาพยนตร์จบตอนห้าโมงครึ่ง หลังจากออกมาจากโรงภาพยนตร์ ไป๋ยิ่งอันก็แอบมองหนานกงเฉิน จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณชายใหญ่ ฉันขอคุณหนึ่งเรื่องได้ไหม? ”
“เรื่องอะไร? ” หนานกงเฉินถามขึ้น
“กลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านพ่อแม่ฉันสักมื้อ”
หนานกงเฉินหันหน้ามองเธอด้วยความประหลาดใจนิดหน่อย ไป๋ยิ่งอันรีบเสริม “ฉันไม่ได้กลับบ้านพ่อแม่มาตั้งนานแล้ว พ่อแม่ฉันไม่มีความสุขเลย และ……เราแต่งงานกันเกือบปีแล้ว คุณไม่เคยไปกินข้าวบ้านฉันเลยสักครั้ง มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลย”
ขณะที่พูด เธอยังใช้สองมือทำท่าทางขอร้องเขา บนใบหน้ามีรอยยิ้มน่ารักสุดๆ
หนานกงเฉินยิ้มขำให้กับท่าทางน่ารักของเธอ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “หรือว่าในใจเธอ ฉันเป็นคนคุยยากเหรอ? เธอเลยต้องทำแบบนี้? ”
“ฉันคิดอย่างนี้จริงๆ ” ไป๋ยิ่งอันถามอย่างระมัดระวัง “งั้นคุณชายใหญ่ตกลงแล้วใช่ไหม? ”
“ฉันไม่ตอบตกลงได้เหรอ? ”
“ดีมากเลย ในที่สุดฉันก็ตอบแม่ฉันได้” เธอเขย่งเท้าอย่างดีใจ สองมือจับลำตัวเขา แล้วจูบที่แก้มเขาหนึ่งที จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าโทรหาสวีหย่าหรง
หนานกงเฉินมาทานอาหารที่ตระกูลไป๋เป็นครั้งแรก สวีหย่าหรงไม่เพียงแต่ดูแลห้องครัวทำอาหารด้วยตัวเอง แต่ยังขอร้องให้ไป๋จิ้งผิงนำไวน์ส่วนตัวที่ดีที่สุดออกมาด้วย
ถึงแม้ไป๋จิ้งผิงก็อยากต้อนรับแขกผู้มีเกียรติอย่างหนานกงเฉินด้วยความกระตือรือร้นที่สุด แต่ไวน์ชั้นดีส่วนตัวที่เก็บมามากกว่าสิบกว่าปีก็ไม่ค่อยอยากเอาออกมา
สวีหย่าหรงเห็นเขาหม่นหมอง ก็ตำหนิเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “ความสุขตลอดชีวิตของลูกสาวไม่สำคัญเท่าไวน์ต่างประเทศขวดนั้นของคุณเหรอ? รีบเอาออกมาซะ”
ไป๋จิ้งผิงมองสำรวจใบหน้าเธอที่เต็มไปด้วยแผนการแล้วพูดขึ้น “ฉันบริจาคไวน์มูลค่าหลายแสนได้ แต่ฉันอยากรู้ว่าคุณวางแผนร้ายอะไรอยู่”
“ไร้สาระ แน่นอนว่าอยากให้ยิ่งอันท้องกับหนานกงเฉินให้เร็วที่สุด” สวีหย่าหรงฉวยไวน์ต่างประเทศในมือเขามา
“คุณอยากวางยาเขาใช่ไหม? ”
“คุณเห็นโง่หรือไง นั่นเป็นการผลักยิ่งอันลงไปในหลุมไฟชัดๆ ”
“แล้วคุณจะทำอะไร? ”
“มอมเหล้าเขา” สวีหย่าหรงยิ้มชั่วร้าย จากนั้นก็พูดกับเขา “ดังนั้นเดี๋ยวคุณลองชวนเขามาดื่มไวน์แล้วกัน”
ไป๋จิ้งผิงตอบอืม แล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะพยายามให้เต็มที่ และฤทธิ์ของไวน์นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ยิ่งอันทำสำเร็จแน่นอน”
“หวังว่าจะได้ผลนะ” สวีหย่าหรงถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
ไป๋ยิ่งอันและหนานกงเฉินกลับมาที่บ้านหลังใหญ่ของตระกูลไป๋แล้ว หลังจากดื่มชาในห้องนั่งเล่น ระหว่างงานเลี้ยงไป๋จิ้งผิงก็หาหัวข้อให้ถูกใจหนานกงเฉินอย่างต่อเนื่อง แต่หนานกงเฉินก็ธรรมดาปกติเหมือนเดิม ตอบเขาอย่างเงียบๆ
สวีหย่าหรงเห็นบรรยากาศแปลกเกินไป ก็รีบให้ห้องครัวเริ่มอาหารค่ำ
ไป๋จิ้งผิงนำไวน์ต่างประเทศขวดนั้นออกมา ยิ้มแล้วพูดกับหนานกงเฉิน “คุณชายเฉิน นี่ไวน์แดงสุดที่รักของฉันที่เก็บมาสิบสองปี ตอนแรกที่คุยเรื่องออเดอร์พันล้านกับประธานหัวไท่ฉันก็ไม่ค่อยอยากให้เขาดื่ม วันนี้ให้คุณชายเฉินเปิดขวดเลย เดี๋ยวคุณชายเฉินดื่มหลายแก้วหน่อยนะ”
หนานกงเฉินยิ้มจางๆ “ในเมื่อเป็นไวน์ที่พ่อเก็บมาสิบกว่าปี งั้นก็เก็บไว้ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมขับรถ”
ไป๋จิ้งผิงกลับได้ยินเสียงเปิดไวน์ดัง ‘พรึ่บ’ รินให้ทุกคนพร้อมยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้น “คุณชายเฉินเป็นแขกที่สำคัญที่สุดของตระกูลไป๋เรา ไม่ให้คุณชายเฉินดื่มแล้วจะให้ใครดื่มได้? ไม่มีใครมีสิทธิดื่มไวน์ชั้นดีขวดนี้”
“ดูสิ ยังไม่ทันดื่มก็เริ่มเมาแล้ว” สวีหย่าหรงเหลือบมองเขาอย่างโกรธๆ จากนั้นก็ยกแก้วขึ้นมาพูดกับหนานกงเฉิน “นานๆ ทีคุณชายเฉินจะเป็นเกียรติกินข้าวกับพวกเราตระกูลไป๋ เราดื่มคารวะให้คุณชายเฉินสักแก้วเถอะ”
“ได้ ได้ สมควรแล้ว” ไป๋จิ้งผิงตอบสนองด้วยการยกแก้วขึ้น
ไป๋ยิ่งอันกวาดตามองทุกคน และยกแก้วขึ้นตาม
หนานกงเฉินไม่ง่ายที่จะปฏิเสธ ทำได้แค่ยอมรับความเคารพของทุกคน เงยหน้ายกไวน์ต่างประเทศในแก้วขึ้นมาดื่ม
ไวน์เป็นไวน์ชั้นดีจริงๆ แต่เมื่อคืนหนานกงเฉินเพิ่งเมาเหล้า วันนี้มันไม่ดีที่จะเมาอีกครั้ง ดังนั้นจึงจิบพอเป็นพิธี
ไป๋จิ้งผิงเห็นในแก้วเขายังเหลือครึ่งหนึ่ง ก็รีบซักถาม “ทำไมเหรอ? คุณชายเฉินไม่ชินกับการดื่มไวน์ล้ำค่าของฉันใช่ไหม? ”
“เปล่า……”
“งั้นรีบดื่มให้หมดแก้วสิ”
หนานกงเฉินหมดหนทาง จึงต้องดื่มอีกครึ่งแก้วที่เหลือลงไป
เขาเพิ่งดื่มหมด สวีหย่าหรงก็รีบเติมให้เขาจนเต็ม จากนั้นก็ยกแก้วเหล้าตัวเองขึ้นมายิ้มเล็กน้อยให้เขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน ฉันได้ยินว่ายิ่งอันบอกว่าคุณดีกับเธอมากอยู่เสมอเลย ฉันมีลูกสาวแท้ๆ คนเดียว เพื่อขอบคุณที่ดูแลเธอ ฉันดื่มคารวะให้คุณหนึ่งแก้ว”
หนานกงเฉินหันไปมองไป๋ยิ่งอัน ไป๋ยิ่งอันก้มหน้าลงอย่างอายๆ พูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “แม่ แม่พูดเรื่องที่ฉันแอบคุยกับแม่ต่อหน้าคุณชายเฉินได้ยังไง? ”
“กลัวอะไร มันก็ไม่ใช่คำพูดไม่ดีอะไรนี่ ใช่ไหม คุณชายเฉิน” สวีหย่าหรงหันไปพูดกับหนานกงเฉินอีกครั้ง
หนานกงเฉินยิ้มแล้วพยักหน้า ยกแก้วเหล้าขึ้นมาชนกับเธอ จำเป็นต้องดื่มแก้วที่สอง
ดื่มหมดแล้ว ไป๋ยิ่งอันก็แกล้งทำเป็นห้ามไม่ให้พ่อแม่ชวนเขาดื่มอีก ไป๋จิ้งผิงหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “ดูสิ แต่งงานกับสามีแล้วลืมพ่อแม่ รู้จักปกป้องสามีตัวเองแล้ว หญิงสาวน่ะ นานๆ พ่อจะมีความสุข ลูกปล่อยให้เราดื่มให้ถึงใจเถอะ”
“ใช่ ครั้งหน้าอยากเชิญคุณชายเฉินมากินข้าวอีก อาจจะเชิญมาไม่ได้แล้วนะ” สวีหย่าหรงพูดคล้อยตามอยู่ข้างๆ
ไป๋ยิ่งอันยักไหล่ให้หนานกงเฉินอย่างหมดหนทาง “เห็นหรือยัง คุณมากินข้าวที่นี่ได้ พ่อแม่ฉันมีความสุขกว่าตอนฉลองปีใหม่อีก”
หนานกงเฉินยิ้ม ไม่พูดอะไร
หลังจากอาหารหนึ่งมื้อผ่านไป หนานกงเฉินก็เมานิดหน่อยแล้วจริงๆ
ก่อนจะไป สวีหย่าหรงก็ดึงไป๋ยิ่งอันมาที่มุมห้อง มองรถที่ประตูทางเข้าก่อนพูดขึ้น “แม่จัดการให้แล้วนะ ต่อไปลูกก็จัดการเอาเอง”
“แต่แม่……ฉันกลัว……ถ้าเขาอาการกำเริบล่ะจะทำยังไง? ”
“ได้ยินมาว่าหนึ่งเดือนเขาอาการกำเริบแค่สองหน ไม่กี่วันก่อนเพิ่งเกิดไปเอง คืนนี้ไม่เกิดหรอก ไม่ต้องเป็นห่วง” สวีหย่าหรงปลอบเสร็จ ก็เตือนหนึ่งประโยคอย่างไม่วางใจ “กว่าจะมีโอกาส ลูกต้องทำให้สำเร็จนะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะแม่” เธอปลอบแบบนี้ ไป๋ยิ่งอันก็วางใจ มีแรงจูงใจทันที
เนื่องจากหนานกงเฉินเมาแล้ว ไป๋ยิ่งอันจึงขับรถกลับบ้านด้วยตัวเอง เมื่อรถเข้าไปในบ้านใหญ่ตระกูลหนานกงก็บังเอิญเจอเซิ่งเคอกับผู่เหลียนเหยาที่กลับมาจากข้างนอกพอดี
ผู่เหลียนเหยาพอลงจากรถก็เห็นพวกเขาสองคน รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นใบหน้าทันที “พี่ชาย พี่สาว พวกคุณก็เพิ่งกลับมาเหรอ? ”
“ใช่ ไปกินข้าวเย็นที่บ้านแม่ฉัน” ไป๋ยิ่งอันพยุงหนานกงเฉินที่เมามาก ถามขึ้นลวกๆ “ทำไมพวกคุณกลับดึกขนาดนี้? ”
“ฉันกับเซิ่งเคอไปดูหนังมา” ผู่เหลียนเหยาพูดพร้อมยิ้มกว้าง
เซิ่งเคอมองสำรวจหนานกงเฉินที่ยืนไม่นิ่ง ถามขึ้น “พี่เป็นอะไร? เมาเหรอ? ”
“อืม คุยกับพ่อฉันสนุกจนดื่มไปหลายแก้ว”
“ให้ฉันช่วยพยุงพี่ไปดีกว่า” เซิ่งเคอพยุงหนานกงเฉินจากมือไป๋ยิ่งอัน เดินเข้าไปในบ้าน
หลังจากวางหนานกงเฉินบนเตียง เซิ่งเคอออกจากห้องนอนหนานกงเฉินไปแล้ว ในห้องก็เงียบสงบทันที

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset