ถูกต้อง ผมถูกตัดไปแล้ว ถึงแม้จะตัดได้ปกปิดมากแต่เพราะเด็กน้อยเดิมทีมีผมน้อย ดังนั้นจึงมองออก เธอเงยหน้ามองครูพี่เลี้ยงแล้วถามขึ้น “มีใครทำอะไรผมของเด็กไหม?”
“เปล่านะคะ” ครูพี่เลี้ยงเดินไปอย่างสงสัย มองสำรวจเด็กน้อยในเปลแล้วถามขึ้น “ผมเด็กเป็นอะไรเหรอคะ?”
ไป๋ยิ่งอันได้สติกลับมา แล้วตอบอย่างลวกๆ “ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกว่าผมของเด็กน้อยเหมือนเปลี่ยนไป”
ครูพี่เลี้ยงมองแล้วมองอีกก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีอะไรแตกต่างนะคะ”
“อืม ฉันอาจจะมองผิดไป” ไป๋ยิ่งอันแทบทนไม่ไหวพุ่งเข้าหาเธอแล้วพูดขึ้น “เธอตั้งใจดูแลเด็กให้ดี ฉันกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“ค่ะ นายหญิงน้อย” ครูพี่เลี้ยงพยักหน้า
ไป๋ยิ่งอันทรงตัวด้วยความยากลำบาก ก้าวเท้าเดินกลับห้องตัวเองไป ฝีเท้าเธอเบาจนแทบไม่สามารถพยุงร่างตัวเองได้
กลับไปถึงห้องนอน เธอปิดประตูห้องอย่างง่ายดาย ร่างกายพิงหลังประตู สองขาอ่อนแรงสุดท้ายก็ไถลลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
เห็นได้ชัดว่าผมเด็กถูกตัดด้วยกรรไกร คนอื่นอาจจะมองไม่ออก แต่เธอที่หวาดผวาอยู่ตลอดเวลากลัวว่าผู่เหลียนเหยาจะวางแผนร้ายอะไร จึงค่อนข้างให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของเด็กอยู่ตลอด แค่แวบเดียวก็มองออกอย่างแน่นอน
ตามประเพณีดั้งเดิม เด็กห้ามตัดผมเป็นเวลาร้อยวัน อาจจะไม่ใช่คนตระกูลหนานกงเป็นคนตัด และผมเด็กก็สั้นขนาดนั้น มันไม่มีเหตุผลที่คนอื่นจะตัด
วันนี้ตอนเช้าผู่เหลียนเหยาอาสาช่วยดูแลลูกให้เธอ ถ้าอย่างนั้นเธอต้องเป็นคนตัดผมแน่ๆ! ต้องเป็นเธอแน่!
แต่เธอตัดผมเด็กออกไป……ต้องเอาไปตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาลอย่างแน่นอน นอกเหนือจากนี้ก็ไม่น่ามีอย่างอื่นแล้ว!
ทำอย่างไรดี? เธอควรทำอย่างไรดี?
เธอยิ่งคิดยิ่งตื่นตระหนก ยิ่งตื่นตระหนกก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี หลังจากนั้นสักพัก เธอได้สตินิดหน่อยจากความตื่นตระหนก เริ่มคลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา จากนั้นก็โทรหาสวีหย่าหรง
ไม่นานสวีหย่าหรงปลายสายโทรศัพท์ก็เอ่ยปาก ไป๋ยิ่งอันเอ่ยปากพูดอย่างกังวล “แม่ แม่รีบมาช่วยฉันหน่อย……”
ทุกวันนี้ สิ่งที่สวีหย่าหรงกลัวมากที่สุดคือรับสายขอความช่วยเหลือจากไป๋ยิ่งอัน เพราะมันบ่งบอกว่าบางสิ่งจะเกิดขึ้น หลังจากได้ยินเสียงขอร้องของเธอ หัวใจเธอก็บีบรัดทันที รีบวิ่งออกมา “เกิดอะไรขึ้น? เรื่องเมื่อคืนไม่สำเร็จเหรอ?”
ไป๋ยิ่งอันรีบเช็ดน้ำตา แม้แต่เสียงก็สั่นสะท้าน “แม่ ครั้งนี้ฉันจบแล้ว ผู่เหลียนเหยานั่นมันน่ารังเกียจจริงๆ เธอ……เธอ……”
“เธอทำลายเรื่องดีๆ ของลูกเมื่อคืนเหรอ?” เสียงสวีหย่าหรงเย็นชาขึ้น
“เธอยิ่งกว่าทำลายเรื่องดีๆ ของฉันเมื่อคืนอีก วันนี้เธอยังตัดผมของเด็กไป แม่ แม่ว่าเธอจะเอาผมเด็กกับผมฉันไปตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาลไหม? เธอสงสัยฉันตลอดเลยใช่ไหม”
“ยิ่งอัน ลูกอย่าเพิ่งตื่นตระหนก”
“ฉันจะไม่ตื่นตระหนกได้ยังไง ถ้าผมเด็กกับผมฉันไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน งั้นฉันก็จบเห่แล้วสิ? คุณผู้หญิงกับหนานกงเฉินก็จะต้องรู้ความลับของพวกเรา” แค่นึกว่าถูกคนตระกูลหนานกงรู้ความลับนี้เข้า ไป๋ยิ่งอันก็กลัวจนสีหน้าซีดเซียว
เธอคิดว่าตัวเองแค่เข้ามาในตระกูลหนานกง แม้ว่าแผนจะสำเร็จแล้ว ก็ไม่คิดว่าในตระกูลหนานกงจะมีผู้หญิงจอมวางแผนอย่างผู่เหลียนเหยา
สวีหย่าหรงคิดแล้วถามขึ้น “ตอนนี้ผู่เหลียนเหยาเธออยู่ที่ไหน?”
“เมื่อเช้าแกล้งเป็นใจดีช่วยฉันดูเด็ก ตัดผมไปแล้วตอนนี้ออกไปข้างนอก บอกว่ามีธุระต้องไป เดาว่าไปโรงพยาบาล” ไป๋ยิ่งอันยังมีท่าทางไม่มีความเห็นสักนิด เวลาเจอปัญหาก็แค่ถามสวีหย่าหรงว่าควรทำอย่างไร
“งั้นแสดงว่าตอนนี้เธอเพิ่งไปโรงพยาบาลถูกไหม?”
“อืม”
สวีหย่าหรงครุ่นคิดสักพัก ก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ยิ่งอัน ลูกฟังนะ วันนี้เธอแค่เอาผมไปตรวจดีเอ็นเอที่โรงพยาบาล และปกติโรงพยาบาลต้องใช้เวลาสามวันถึงจะได้ผลสรุป ในกรณีเร่งด่วนอย่างน้อยก็ใช้เวลาสองวัน ซึ่งพูดอีกอย่างก็คือเธอต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามวันไปเอารายงานการตรวจดีเอ็นเอ”
“แต่ถ้าสองวันต่อมาเธอได้รับรายงานการตรวจดีเอ็นเอแล้ว ฉันก็จบเห่แล้วใช่ไหม?” ไป๋ยิ่งอันพูดพร้อมน้ำตาไหล
“ดังนั้นตอนนี้ลูกต้องทำหนึ่งเรื่อง”
“เรื่องอะไร?”
น้ำเสียงสวีหย่าหรงมืดครึ้ม “ให้เธอได้รับรายงานการตรวจดีเอ็นเอแล้วตายโดยไม่มีหลักฐาน”
“หมายความว่าไง?”
“ตอนนี้ รีบ……ทำให้เด็กหมดลมหายใจตาย” สวีหย่าหรงแทบจะเปล่งประโยคนี้ออกมาทีละคำ
และเมื่อไป๋ยิ่งอันได้ยินก็ตะลึงทันที นานสักพักถึงได้กระซิบทุ้มต่ำ “แม่ นี่แม่ล้อเล่นอะไรอ่ะ?”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น” สวีหย่าหรงพูด “ถ้าลูกไม่ทำให้เด็กหมดลมหายใจตอนนี้ อีกสองสามวันลูกก็ตาย และตระกูลไป๋ของเราก็จะจัดงานศพให้ลูก หรือลูกอยากให้พวกเราสามคนโดนฝังเพราะเด็กที่ป่วยคนหนึ่งเหรอ”
“ฉันไม่ยอมแน่ๆ แต่……” ไป๋ยิ่งอันส่ายหน้า น้ำตาไหลเหมือนฝน “แม่ แบบนี้มันโหดร้ายไปแล้ว ฉันทำไม่ลงอ่ะ……”
ถึงเด็กคนนี้จะไม่ใช่ลูกเธอ ถึงจะเกลียดชังทุกครั้งที่เห็นเขา แต่อย่างไรแล้วก็คือชีวิตมนุษย์ ถ้าทำให้เขาขาดอากาศตาย ถ้าอย่างนั้นตัวเองก็กลายเป็นฆาตกรไม่ใช่เหรอ?
เธอทำไม่ได้ และทำไม่ลงเลย
แต่เสียงเตือนของสวีหย่าหรงดังก้องข้างหู “ลูกทำไม่ลงก็ต้องทำ ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาว่าลูกจะได้เป็นนายหญิงน้อยของตระกูลหนานกงหรือไม่ แต่เพื่อรักษาชีวิต ลูกเข้าใจไหม?”
“ฉันไม่อยาก……ฉันทำไม่ลง……”
“ยิ่งอัน ลูกฟังแม่นะ” สวีหย่าหรงรู้สึกวิตกกังวลมากกว่าเธอ “เด็กคนนี้ไม่มีห้องหัวใจ เขาไม่สามารถมีชีวิตได้อยู่แล้ว หมอบอกว่าเขามีอายุมากสุดได้แค่หนึ่งเดือนไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เขาดื่มนมไม่ได้ หายใจไม่ออก ทุกนาทีของชีวิตเขาล้วนเจ็บปวด นี่ลูกไม่ได้ทำร้ายเขา แต่ช่วยเขา ช่วยเขาให้หลุดพ้นชีวิตที่เจ็บปวดเข้าใจไหม?”
“เขาไม่โทษลูกหรอก ถ้าจะโทษก็ต้องไปโทษแม่แท้ๆ ของเขาไป๋มู่ชิง ไป๋มู่ชิงยัยชั้นต่ำนั่นพาเขามายังโลกใบนี้ ลูกเข้าใจหรือยัง? นี่ลูกกำลังช่วยเขา ไม่ใช่ทำร้ายเขา”
“ฉัน……ฉันรู้แล้ว” ไป๋มู่ชิงตอบอย่างอึดอัด
สวีหย่าหรงหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดขึ้น “ยิ่งอัน ปล่อยให้มีชีวิต ชีวิตตระกูลไป๋ของเราตอนนี้อยู่ในกำมือลูก แม่เชื่อว่าลูกต้องตั้งใจใช่ไหม?”
ไป๋ยิ่งอันพยักหน้าอย่างฟูมฟาย และไม่สนว่าสวีหย่าหรงจะเห็นหรือไม่ จากนั้นก็วางสายไป
หลังจากวางสาย เธอก็นั่งบนพื้นเป็นเวลานานเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง แต่ในใจก็ไม่สามารถสงบลงได้
ถึงแม้ว่าเดิมทีเด็กคนนี้จะป่วยไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ ตัวเองทำให้เขาขาดอากาศตายคือช่วยเขาให้หลุดพ้นความเจ็บปวดตั้งแต่เนิ่นๆ แต่อย่างไรแล้วนี่มันก็ฆ่าคน เธอต้องใจเย็น ต้องกล้าพอที่จะเดินออกไปจากห้องนี้
ในตอนนี้ เธอรู้สึกเสียใจนิดหน่อยกับการตัดสินใจแรกของเธอ ไม่ยอมเป็นนายหญิงน้อยหลินดีๆ อยากมาเป็นนายหญิงน้อยหนานกง สรุปคือน้ำของที่นี่ลึกกว่าตระกูลหลินมาก เธอไม่สามารถควบคุมมันได้เลย
แต่เสียใจไปมันจะไปมีประโยชน์อะไร? เธอฝืนทำมาแล้ว ไม่มีทางถอยแล้ว
ตอนนี้เธอทำได้แค่ขบฟัน เดินตามถนนสายนี้อย่างไร้ความปรานี ไม่อย่างนั้นก็มีแค่ทางตัน!
นั่งอยู่ที่พื้นเป็นเวลานาน สุดท้ายไป๋ยิ่งอันก็กู้อารมณ์บนใบหน้ากลับมา จากนั้นก็เปิดประตูเดินไปที่ห้องเด็กน้อย
ครูพี่เลี้ยงเห็นเธอกลับมา ก็ทักอย่างสุภาพ
ไป๋ยิ่งอันตอบ ‘อืม’ มองสำรวจเด็กในเปลแล้วถามขึ้น “เมื่อกี้เด็กได้กินนมหรือยัง?”
“กินสิบมิลลิลิตรค่ะ แต่อาเจียนออกมาครึ่งหนึ่ง” ครูพี่เลี้ยงพูด
“เธอไปชงนมมา ฉันจะป้อนเขาเอง” เธอเงยหน้ายิ้มขมขื่นให้กับครูพี่เลี้ยง “บางทีเด็กน้อยอาจจะอยากให้แม่ป้อน”
“ได้ค่ะ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” ครูพี่เลี้ยงก้าวเท้าเดินไปที่ประตู
หลังจากครูพี่เลี้ยงไป ภายในห้องนอนก็เงียบในพริบตา เงียบจนได้ยินเสียงหายใจถี่ของเด็กน้อย ความเงียบที่อธิบายไม่ได้นี้ทำให้ไป๋ยิ่งอันที่กว่าจะสงบลงเกิดความตื่นตระหนกในใจอีกครั้ง เธอหายใจเข้าลึกๆ ก้มตัวลงอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาจากเปล
เธอเริ่มมองสำรวจเขาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าเล็กๆ ริมฝีปากเล็กๆ จมูกเล็กจริงๆ ……
“เด็กน้อย เธออย่าโทษฉันนะ และอย่าเกลียดฉันด้วย……” เธอลูบเด็กน้อยด้วยฝ่ามือที่สั่นเทา พึมพำทั้งน้ำตา “ได้โปรดเชื่อใจฉัน ถ้าเธอไม่ได้ป่วย ฉันไม่ทำแบบนี้หรอก เด็กน้อย……ทุกวันนี้เธอทุกข์ทรมาน แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ แม่จะทำให้เธอเป็นอิสระในไม่ช้า บนสวรรค์ไม่มีโรคภัยไข้ใจ ชาติหน้าต้องเป็นเด็กน้อยที่แข็งแรงและมีความสุขนะ เติบโตอย่างแข็งแรงละมีความสุข……”
น้ำตาไป๋ยิ่งอันไหลออกมา ให้อภัยที่เธอทำตัวไม่ดีด้วย ไม่เคยฆ่าชีวิตใครเหมือนตอนนี้มาก่อนเลย นับประสาอะไรกับเด็กเพิ่งเกิดได้ไม่นาน
ครูพี่เลี้ยงชงนมออกมาจากห้องครัว เจอคุณผู้หญิงตื่นจากการนอนพักเที่ยงพอดี เธอหยุดฝีเท้าแล้วทักอย่างสุภาพ “คุณผู้หญิง”
คุณผู้หญิงมองสำรวจนมที่ชงเสร็จแล้วในมือเธอแล้วถามขึ้น “เด็กไม่ยอมกินไม่ใช่เหรอ?”
“นายหญิงน้อยบอกว่าเธออยากป้อนนมด้วยตัวเองค่ะ” ครูพี่เลี้ยงยิ้มเล็กน้อยพูดขึ้น “บางทีนมที่แม่ป้อน เด็กอาจจะอยากดื่มสักหน่อย”
“เด็กอยากอาหารน้อยมาก กินแล้วก็ชอบอ้วก ถ้าสำลักอีกจะทำยังไง?” คุณผู้หญิงพูด “รออีกสักพักก่อน เด็กหิวแล้วค่อยป้อน”
พี่เหอส่งสายตาให้ครูพี่เลี้ยง “ไป เอานมไปเท”
ในบ้านนี้คำพูดของคุณผู้หญิงเป็นคำสั่งเด็ดขาด ครูพี่เลี้ยงไม่กล้าพูดอะไรมากอยู่แล้ว เดินกลับไปที่ห้องครัวอย่างเชื่อฟังแล้วเทนมที่ชงเสร็จแล้วทิ้งในอ่างล้างจาน
หลังจากออกมาจากห้องครัว เห็นคุณผู้หญิงยังยืนอยู่ที่เดิม ครูพี่เลี้ยงก็ก้มหน้า “คุณผู้หญิง ฉันไปก่อนนะคะ”
“ไปเถอะ ดูแลเด็กให้ดี” พี่เหอพูด
“แน่นอนค่ะ” ครูพี่เลี้ยงตอบ กำลังจะขึ้นไปชั้นบน ชั้นบนจู่ๆ ก็มีเสียงร้องแหลมดังผ่านมา
ทั้งสามคนต่างอึ้ง หลังจากมองหน้ากัน พี่เหอก็ถามอย่างกังวล “นายหญิงน้อยเธอเป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่รู้ค่ะ เมื่อกี้ยังดีอยู่เลย” พี่เหอวิ่งนำขึ้นไปข้างบน คุณผู้หญิงรีบตามขึ้นไปด้วยการช่วยเหลือจากพี่เหอ
เมื่อพวกเธอมาถึงห้องเด็กน้อย เห็นไป๋ยิ่งอันอุ้มเด็กนั่งอยู่บนพื้น กรีดร้องฟูมฟายน้ำตาเต็มหน้า “ลูก ลูกของฉัน……คุณหมอหวง! คุณหมอหวงอยู่ที่ไหน?!”
เรื่องราวแบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเอง คุณผู้หญิงตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยว “รีบวางเด็กลง! เธออุ้มแน่นแบบนั้นอยากบีบคอเธอใช่ไหม?”
ครูพี่เลี้ยงรีบโทรหาคุณหมอหวง พี่เหอก็เดินเข้ามาแกะมือเธอแล้วพูดเร่งเร้า “นายหญิงน้อย รีบวางเด็กกลับไปที่เตียง รีบปล่อยมือ!”
“ลูกฉันหมดลมหายใจไปแล้ว ครั้งนี้เขาไม่มีชีวิตต่อไปได้จริงๆ!” ไป๋ยิ่งอันร้องไห้เสียงดังด้วยความโศกเศร้า แล้วชี้ไปที่ครูพี่เลี้ยง “ทำไมเด็กหมดลมหายใจแล้วเธอไม่รู้? ทำไมเธอประมาทแบบนี้! คืนลูกฉัน……!”
“ฉัน……นายหญิงน้อย เมื่อกี้ฉันดูเด็กยังดีอยู่เลย……” ครูพี่เลี้ยงตื่นตระหนกแล้ว ส่ายหน้าโบกมือไม่หยุด จู่ๆ ก็ถูกให้แบกรับข้อหาหนักขนาดนี้ เธอจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร?
“ฉันก็คิดว่าเขายังมีลมหายใจอยู่ แต่เธอดูเขาตอนนี้สิ……เธอดูเขาเอง……”
“นายหญิงน้อย คุณเอาเด็กวางลงเตียงก่อน ขอร้องล่ะ” ครูพี่เลี้ยงเดินเข้ามา ช่วยพี่เหอกระชากเด็กออกจากอ้อมแขนไป๋ยิ่งอันกลับมาที่เตียง
สีหน้าเด็กบนเปลเป็นสีม่วง ไม่มีลมหายใจแล้ว
“อ่า……ทำไมเป็นแบบนี้? เมื่อกี้ยังดีอยู่เลย เขายังดื่มนม……” ครูพี่เลี้ยงก็ตกใจมาก รีบหยิบถุงออกซิเจนมาแขวนไว้ที่หน้าเด็ก
ไป๋ยิ่งอันกลับผลักเธอออกไปจากข้างเตียง แล้วร้องลั่น “ตอนนี้แขวนไปจะไปมีประโยชน์อะไร? เมื่อกี้ทำไมไม่แขวน? ทำไมอ่ะ……!”
“ฉัน……ฉันไม่รู้……เมื่อกี้เด็กยังหายใจยังโอเคอยู่เลย ฉันก็……”
“ข้ออ้าง! ข้ออ้างทั้งนั้น!” ไป๋ยิ่งอันคำรามและกอดเด็กในอ้อมแขนอีกครั้ง คำรามเสียงดังใส่เธอ “ออกไป! ออกไปซะ! อย่ามาแตะต้องตัวลูกฉันอีก!”
“คุณผู้หญิง……” พี่เหอรีบพยุงร่างคุณผู้หญิงที่อ่อนกำลังทีละนิด แล้วพูดอย่างกระวนกระวาย “คุณผู้หญิง คุณอย่าเพิ่งกังวล เราไปนั่งกันก่อน”
คุณผู้หญิงพยักหน้าอย่างว่างเปล่า นั่งโซฟาโดยมีพี่เหอช่วยพยุง
ไม่นานคุณหมอหวงก็มา ไป๋ยิ่งอันมือหนึ่งอุ้มเด็ก อีกมือหนึ่งจับมุมเสื้อคุณหมอหวงแล้วร้องไห้ขอร้อง “คุณหมอหวง คุณต้องช่วยลูกฉันนะ ฉันไม่อยากเสียเขาไป ขอร้อง คุณต้องช่วยชีวิตเขา……”
“นายหญิงน้อย คุณวางเด็กลงก่อน” คุณหมอหวงพูด
ไป๋ยิ่งอันวางเด็กกลับไปที่เปลโดยไม่เต็มใจ คุณหมอหวงตรวจเช็คอย่างละเอียด สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขาใช้มาตรการช่วยเหลืออีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ แต่เด็กก็ไม่ตื่นเลย
สุดท้าย เขาก็ทำได้แค่หันตัวกลับไปพูดกับคุณผู้หญิงและไป๋ยิ่งอันว่า “คุณผู้หญิง นายหญิงน้อย ขอโทษครับ……ไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กไว้ได้แล้ว”
เสียงร้องไห้แหลมดังขึ้นอีกครั้ง ไป๋ยิ่งอันก็กอดเด็กไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง
ถึงแม้เตรียมใจว่าจะสูญเสียเด็กตั้งนานแล้ว แต่คุณผู้หญิงก็ยังน้ำตาไหลอย่างเศร้าโศก แต่ไม่ได้โอเวอร์เหมือนไป๋ยิ่งอัน เธอเหลือบมองไป๋ยิ่งอันที่ร้องไห้อย่างตีอกชกหัว ฝ่ามือจับแขนพี่เหอไว้ พูดเสียงสั่น “พยุงฉันกลับห้องที แจ้งเฉินให้กลับมาจัดงานศพเด็กด้วย”
“ค่ะ คุณผู้หญิง” พี่เหอเช็ดน้ำตาในดวงตา พยุงคุณผู้หญิงออกจากห้องเด็กอ่อนไป
เพิ่งเสร็จสิ้นการประชุมเร่งด่วน หนานกงเฉินกำลังจะกลับห้องทำงาน เซิ่งเคอก็ยิ้มเดินมา พูดขึ้น “พี่ วันนี้เป็นวันหยุดนะ”
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมามองเขา “นายจะทำอะไร?”
“ตอนนี้ฉันกำลังมีความรัก แน่นอนว่าต้องการใช้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์เพื่อจัดการความรัก” เซิ่งเคอยิ้มเล็กน้อย “คืนนี้มีหนังเรื่องดัง ฉันนัดกับเหลียนเหยาแล้วว่าจะไปดูด้วยกัน คุณอยากพาพี่สะใภ้ไปด้วยไหม?”
หนานกงเฉินคิดแล้วพยักหน้า “เอาสิ”
เมื่อคืนไป๋ยิ่งอันได้รับความหวาดกลัว เดาว่าจิตใจต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ พาเธอไปดูหนังให้สบายใจขึ้นหน่อยก็ดีเหมือนกัน
“แต่ฉันมีตั๋วรอบสองทุ่ม ฉันเดาว่าซื้อตั๋วเร็วขนาดนั้นไม่ได้”
“ไม่เป็นไร พวกนายไปดูก่อนเถอะ” หนานกงเฉินเพิ่งพูดจบ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็รีบรับสายทันที
เมื่อเขาได้ข่าวจากปากพี่เหอว่าเด็กเสียชีวิตไปแล้ว สีหน้าเขาก็แข็งตัวในพริบตาเดียว ไม่ได้แปลกใจเป็นพิเศษ แต่หัวใจเหมือนถูกแทงด้วยเข็ม เจ็บเหลือทน
จากไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าลูกของเขาจะจากไปแบบนี้จริงๆ ……
เซิ่งเคอเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน ก็ถามอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น? พี่?”
หนานกงเฉินได้สติกลับมา หายใจแผ่วเบาแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไร นายไปเถอะ”
เขาไม่ได้แสดงออกสะเทือนอารมณ์มากเกินไป ไม่ได้ลุกขึ้นรีบกลับบ้านโดยทันที แค่ค่อยๆ เก็บเอกสารประชุมบนโต๊ะแล้วเดินกลับไปที่ห้องทำงานตัวเอง
“คุณชายเฉิน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” รู้สึกถึงความโศกเศร้าจากใจเขา เลขาเหยียนก็ถามอย่างเป็นห่วง “เด็กเกิดเรื่อง……ใช่ไหม?”
เมื่อครู่นี้โทรศัพท์หนานกงเฉินดังขึ้น เธอบังเอิญเหลือบไปเห็นว่าคนในตระกูลหนานกงโทรมา และสิ่งเดียวที่ทำให้เขาสูญเสียจิตวิญญาณ นอกจากลูกแล้วก็คือนายหญิงน้อย
หนานกงเฉินแค่พยักหน้าเบาๆ เดินผ่านเธอไปทางลิฟต์อย่างโซซัดโซเซ
เลขาเหยียนอึ้ง เธอไม่กล้าถามอะไรมาก จึงตามไปพูดกับหนานกงเฉินว่า “คุณชายเฉิน ให้ฉันไปส่งคุณกลับดีกว่า”
“ไม่ต้อง ฉันไม่ถึงขั้นขับรถไม่ได้” หนานกงเฉินปฏิเสธโดยไม่หันหน้ากลับไป
หนานกงเฉินจอดรถที่หน้าบ้านหลัก พี่เหอรีบเดินเข้ามาพูดด้วยใบหน้าเศร้า “คุณชายใหญ่ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ”
“คุณย่าเธอเป็นยังไงบ้าง?” หนานกงเฉินเดินเข้าไปในบ้านพร้อมถามไปด้วย
“คุณผู้หญิงเสียใจมาก นอนอยู่ในห้อง แต่คุณนายหญิงน้อยเหมือนเป็นบ้า อุ้มเด็กไม่ยอมปล่อยมือ ใครก็โน้มน้าวไม่ได้” พี่เหอพูด
หนานกงเฉินรีบเดินขึ้นไปข้างบน เข้าไปในห้องเด็กน้อย เห็นไป๋ยิ่งอันอุ้มลูกนั่งบนพื้นแล้วร้องไห้ฟูมฟายอยู่จริงๆ
เห็นเขาเดินเข้ามา ไป๋ยิ่งอันเรียกอย่างสะอึกสะอื้น “คุณชายใหญ่……” จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมามากขึ้น มองเขาอย่างน้อยใจ
หนานกงเฉินหยุดฝีเท้า ก้าวไปหาเธอแล้วย่อตัวลงตรงหน้าเธอ ยื่นมือไปหาเธอ “ยิ่งอัน ลูกตายไปแล้ว เอาลูกมาให้ฉันนะ เด็กดี”
ไป๋ยิ่งอันกอดลูกแน่นขึ้นโดยสัญชาตญาณ ส่ายหน้าทั้งน้ำตา “ไม่……อย่าคิดว่าใครจะแย่งลูกฉันไปได้ ไม่ว่าใครก็อย่าคิด”
“อย่าโง่เลย ลูกจากเราไปแล้ว เราควรฝังเขาไว้ใต้ดินเพื่อให้ชีวิตสงบเร็วๆ สิถึงจะถูก”
“ฉันไม่ต้องการ……ลูกจะไม่ตาย เขาต้องยังไม่ตายแน่ๆ ……” ไป๋ยิ่งอันดึงมือเขาแล้วร้องไห้ฮือๆ พูดขึ้น “คุณชายใหญ่ เราส่งเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดดีไหม? เขาจะต้องรอดเหมือนเมื่อคืนแน่ๆ”
“ไม่มีประโยชน์แล้ว” หนานกงเฉินจมูกแสบร้อน ยิ้มขมขื่นแล้วพูดขึ้น “ยิ่งอัน เธอน่าจะรู้ ถ้ามีแค่ความหวังเพียงริบหรี่ฉันก็คงไม่ยอมแพ้เหมือนคุณ แต่คุณหมอหวงบอกว่าลูกตายไปแล้ว ถ้างั้นก็ตายไปแล้ว”
“ไม่ คุณชายใหญ่ คุณอุ้มเขาสิ เขายังมีอุณหภูมิร่างกายอยู่เลย เขายังไม่ตาย” ไป๋ยิ่งอันอุ้มเด็กมาตรงหน้าเขา หนานกงเฉินรับเด็กมาจากอ้อมแขนเธอ มองสีหน้าเด็กที่เป็นสีม่วง และสองมือที่ไม่ขยับอีกต่อไป สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
เขามองสำรวจเด็กอย่างระมัดระวัง ราวกับจะสลักหน้าเขาลงไปในหัวใจ ไม่มีวันลืมตลอดไป
นี่คือลูกคนแรกของเขา บางทีอาจจะเป็นคนสุดท้าย เขาไม่อยากเสียเขาไป แต่เขาไม่มีความสามารถในการเก็บเขาไว้ได้ เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองช่างไร้กำลัง
ไป๋ยิ่งอันรู้สึกตื่นตระหนกนิดหน่อยเมื่อเห็นเขาจริงจัง รีบเอื้อมมือไปแย่งเด็กมาจากมือเขา แล้วฝังไว้ในอ้อมแขนแล้วตำหนิตัวเองอย่างเสียใจ “ลูกรัก……แม่ไม่ดีเอง แม่ทำร้ายลูก ถ้าแม่ไม่ยืนกรานที่จะคลอดลูกออกมา ลูกก็คงไม่เป็นทุกข์ขนาดนี้……ลูก ให้อภัยแม่นะ……”
“ยิ่งอัน ไม่ต้องร้องไห้” หนานกงเฉินโอบเธอไว้ในอ้อมแขน ตบบ่าเธอแล้วเอ่ยปลอบ “เอาลูกมาให้ฉันนะ”
“คุณจะเอาเขาไปไหน?” ไป๋ยิ่งอันถามอย่างรวดเร็ว
“ส่งเขาไปที่ที่เขาควรไป ออกจากตระกูลหนานกงไป บางทีนี่อาจจะเป็นความฝันในใจลูกก็ได้”
ไป๋ยิ่งอันเงยหน้าเล็กขึ้นมา พูดทั้งน้ำตา “ฉันอยากไปกับคุณด้วย ฉันอยากไปส่งเขาด้วยตัวเอง”
“ไม่ เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้านดีๆ เถอะ” หนานกงเฉินกลัวเธอทนไม่ไหว ทนไม่ได้ที่จะปล่อยเธอไปกับตน
ไป๋ยิ่งอันไม่รู้ว่าผู่เหลียนเหยาจะกลับมาเมื่อไร เด็กต้องไปก่อนที่ผู่เหลียนเหยาจะกลับมา ดังนั้นเธอจึงไม่แสดงอีกต่อไป ให้หนานกงเฉินอุ้มเด็กเดินออกไป
เพราะถึงโรงภาพยนตร์ตั้งแต่เนิ่นๆ เซิ่งเคอและผู่เหลียนเหยานั่งเก้าอี้ดื่มชานมและกินป๊อปคอร์น จู่ๆ ผู่เหลียนเหยาก็เงยหน้าจ้องเซิ่งเคอแล้วพูดขึ้น “ทำไมเปลือกตาฉันเริ่มกระตุกตั้งแต่เข้ามา คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ?”
“ที่นี่จะเกิดอะไรขึ้นได้?” เซิ่งเคอยิ้มแล้วพูด
“ไฟไหม้? แผ่นดินไหว? หรือรถคุณโดนขโมย?”
“ไร้สาระ ดีนะที่เธอจบการศึกษาจากโรงเรียนแพทย์” เซิ่งเคอยืนขึ้นจากเก้าอี้ ยกนาฬิกาขึ้นและเหลือบมองเวลา “ไปกันเถอะ หนังจะเริ่มแล้ว”
“เฮ้ ฉันพูดจริงนะ เราต้อง……”
“ฉันก็พูดจริงเหมือนกัน หนังจะเริ่มแล้ว” เซิ่งเคอดึงเธอขึ้นมาจากเก้าอี้ เดินไปทางประตูเช็คตั๋ว
ภาพยนตร์สองชั่วโมงกว่า ดูจบก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว
ทั้งสองเดินลงไปถึงลานจอดรถใต้ดินด้วยกัน เซิ่งเคอปลดล็อกรถ ได้ยินเสียงรถตอบสนองก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เห็นไหม ไม่มีแผ่นดินไหว ไม่มีไฟไหม้ รถก็ไม่มีใครต้องการ”
ผู่เหลียนเหยาหัวเราะเบาๆ แล้วขึ้นรถจากฝั่งผู้โดยสาร ดึงเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว “หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ นะ”
“ไม่มีแน่ๆ เชื่อฉันนะ” เซิ่งเคอยิ้มและถอยรถออกมา ขับไปที่ทางเข้าลานจอดรถ
ระหว่างทางกลับบ้าน จู่ๆ ผู่เหลียนเหยาก็หันหน้ามองเซิ่งเคอแล้วพูดขึ้น “เคอ ฉันอยากถามคุณหน่อย คุณรู้สึกไหมว่าพี่สะใภ้ต่างจากเมื่อก่อน?”
“เอ๋ ต่างนิดหน่อยจริงๆ ก็เป็นแม่แล้วนี่หน่า”
“คุณก็รู้สึกว่าต่างใช่ไหม? ต่างตรงไหน?” ผู่เหลียนเหยาซักถาม
“อ้วนขึ้นกว่าแต่ก่อนนิดหน่อย แต่ว่ากันว่าผู้หญิงทุกคนที่คลอดลูกแล้วก็จะอ้วนทั้งนั้น” จู่ๆ เซิ่งเคอก็ยิ้มหันหน้ามา จ้องมองเธอแล้วพูดติดตลก “ต่อไปเธอก็จะอ้วนด้วยเหมือนกัน ระวังอย่าให้น้ำหนักลดล่ะ”
ผู่เหลียนเหยาไม่มีอารมณ์จะล้อเล่นกับเขา แล้วถามอีก “นอกจากอ้วนนิดหน่อย ยังมีอื่นๆ ที่แตกต่างไหม? เช่น……อุปนิสัย”
“ที่รัก ฉันเจอเธอทั้งอาหารเช้าและอาหารเย็น และหลังจากเธอคลอดลูกฉันก็ไม่ได้ทำงานล่วงเวลา แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่พูด เธอคิดว่าฉันจะมองอะไรออก?” เซิ่งเคอกลอกตาอย่างหมดคำจะพูด เพิ่งพูดจบก็รีบเปลี่ยนน้ำเสียง “แต่มีจุดหนึ่ง เมื่อก่อนเธอดูง่ายๆ สบายๆ กว่านี้ มีคุยล้อเล่นกับฉันบ้างนิดหน่อย แต่เธอในตอนนี้ค่อนข้าง……เย็นชามั้ง”
เขาหันหน้ามาหัวเราะฮ่าๆ ใส่ผู่เหลียนเหยา “อาจจะเพราะกลายเป็นแม่คน ก็เลยมีนิสัยเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมั้ง”
ผู่เหลียนเหยาเห็นเขายิ้ม “คุณคิดงี้จริงๆ สินะ”
“ใช่” เซิ่งเคอถามอย่างสงสัย “ทำไมจู่ๆ ถามถึงเธอล่ะ?”
“ไม่มีอะไร แค่ถามเฉยๆ” ผู่เหลียนเหยายิ้ม แล้วหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
ทันทีที่รถเข้ามาในลานบ้าน ทั้งสองก็รู้สึกบรรยากาศผิดปกติ เซิ่งเคอจอดรถแล้วก็ถามขึ้นโดยไม่รู้ตัว “เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่รู้อ่ะ ลงรถก่อนเถอะ” ผู่เหลียนเหยาแทบรอไม่ไหวที่จะเปิดประตูแล้วลงจากรถ
ถึงแม้ตระกูลหนานกงไม่ได้วางแผนจะจัดงานศพเด็ก แต่ยังคงแขวนแถบผ้าขาวดาวไว้ที่ประตูใหญ่
ผู่เหลียนเหยาเข้ามาในบ้าน ก็รีบคว้าเสี่ยวลวี่ที่เดินออกมาจากข้างในมาถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
มีลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้นในใจเธอ จริงๆ ก็พอจะเดาได้นิดหน่อย แต่ก็อดถามไม่ได้
เสี่ยวลวี่มองเธอแล้วพูดขึ้น “คุณหนูผู่ เด็กน้อยเสียชีวิตแล้ว”
ผู่เหลียนเหยาสมองว่างเปล่า ถามขึ้นด้วยสัญชาตญาณ “วันนี้ตอนเที่ยงยังดีๆ อยู่เลย ทำไมจู่ๆ เสียแล้วล่ะ?”
“ไม่รู้อ่า” เสี่ยวลวี่ส่ายหน้า
เซิ่งเคอดึงผู่เหลียนเหยาที่กำลังสะเทือนใจสุดๆ “ไปกันเถอะ ไปดูกัน”
ทั้งสองเดินขึ้นมาห้องเด็กน้อยชั้นสอง ห้องเด็กน้อยกว้างใหญ่ถูกเคลียร์ให้ว่างเปล่าแล้ว ผู่เหลียนเหยาจึงหันตัวเดินไปที่ห้องนอนของไป๋ยิ่งอัน
ไป๋ยิ่งอันในตอนนี้กำลังนั่งเหม่อข้างเตียง ในอ้อมกอดอุ้มตุ๊กตาหมีของเล่นที่เอาไว้หลับเป็นเพื่อนเด็กในวันธรรมดา ทั้งร่างดูผอมแห้งซีดเซียว
ได้ยินเสียงเปิดประตู เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างแผ่วเบา จ้องมองหน้าผู่เหลียนเหยาผ่านดวงตาที่มีน้ำตา สายตาทั้งคู่สบสายตากันกลางอากาศ มีอารมณ์แปลกๆ พลุ่งพล่านหากันและกัน
เห็นสีหน้าตกใจและเสียใจของผู่เหลียนเหยา ไป๋ยิ่งอันก็แอบแสยะยิ้มในใจ ความรู้สึกผิดและความกลัวที่มีต่อเด็กก็จางหายไปมาก
คุณแม่พูดถูก ถ้าไม่ทำแบบนี้ คนที่ต้องตกใจในตอนนี้ก็คือเธอ!
ผู่เหลียนเหยาได้สติกลับมาเงียบๆ เดินไปนั่งยองๆ ตรงหน้าเธอ จับฝ่ามือเธอแล้วพูดขึ้น “พี่สะใภ้ เป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น? ”
ไป๋ยิ่งอันมองเธอ มีความแหลมคมในดวงตาที่ไม่สามารถสังเกตเห็น พูดขึ้นสะอึกสะอื้นทั้งน้ำตา “ลูกตายแล้ว เหลียนเหยา เธอคิดว่าเด็กถูกฆ่าหรือเปล่า? ทั้งๆ ที่ตอนกลางวันยังดีอยู่เลย”
คนที่ฆ่าเด็กก็คือผู่เหลียนเหยา! ไม่ใช่ไป๋ยิ่งอัน!
ถ้าเธอไม่ผลักดันเธอแบบนี้ เธอก็ไม่ทำแบบนี้หรอก
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ” ผู่เหลียนเหยากังวลจะตายอยู่แล้ว
“ตอนกลางวันที่ฉันมาดูเด็ก เด็กก็ไม่มีลมหายใจแล้ว ต้องเป็นครูพี่เลี้ยงคนนั้นแน่ๆ คงเกลียดที่ฉันด่าเธอเมื่อวานเลยจงใจฆ่าลูกฉัน ทำยังไงดี? ลูกของฉันตายไปแล้ว……” ทันใดนั้นเธอก็ร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง
“ครูพี่เลี้ยงจะฆ่าเด็กได้ยังไง? เธอกล้าได้ยังไง? ”
“ฉันก็ไม่รู้ ลูกฉันเพิ่งตายอย่างลึกลับ เหลียนเหยา……ฉันไม่อยากเสียเขาไป ฉันเสียใจมากอ่ะ!” ร่างกายเธอค่อยๆ โน้มตัวไปข้างหน้า พิงไหล่ผู่เหลียนเหยา
ผู่เหลียนเหยายกมือขึ้นลูบไหล่เธอ เอ่ยปลอบอย่างใจเย็น “พี่สะใภ้ คุณอย่าเสียใจเลย ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องเกิดไม่ใช่เหรอ? พี่น่าจะเตรียมใจตั้งนานแล้ว”
“ฉันรู้ แต่ฉันยังยอมรับความจริงที่ลูกจากฉันไปไม่ได้” ไป๋ยิ่งอันยกมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้า
ผู่เหลียนเหยาปลอบไป๋ยิ่งอันอย่างใจเย็น กว่าจะปลอบเธอเสร็จ ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ พี่รีบนอนบนเตียง ฉันจะไปดูคุณย่า”
หลังจากผู่เหลียนเหยาไปแล้ว ไป๋ยิ่งอันก็จะลุกขึ้นมาจากพื้น ประตูทางเข้าก็มีเสียงฝีเท้าดังผ่านเข้ามา เธอจึงนั่งลงพื้นอีกครั้ง
ประตูห้องนอนมีคนเปิดออก ครั้งนี้คนที่เข้ามาคือหนานกงเฉิน
เขายืนหน้าประตูมองไป๋ยิ่งอันที่น้ำตาไหล แล้วเดินเข้ามา ดึงเธอลุกขึ้นมาจากพื้นให้นั่งบนเตียง แล้วพูดอย่างสงสาร “เธอร้องไห้ตลอดเลยเหรอ? ”
ไป๋ยิ่งอันเช็ดน้ำตาบนใบหน้า จ้องมองเขาแล้วถามขึ้น “ลูกล่ะ? ถูกเผาหรือยัง? ”
“ยังอยู่ที่ฌาปนสถาน พรุ่งนี้ถึงเผาได้” หนานกงเฉินจูงสองมือเธอ พบว่าปลายนิ้วเธอเย็น
พรุ่งนี้ ปกติจะเผาศพในตอนเช้า รายงานของผู่เหลียนเหยาจะเร็วแค่ไหนก็ไม่ทัน ไป๋ยิ่งอันแอบโล่งใจ
“ยิ่งอัน……” หนานกงเฉินหอบหายใจอย่างหนัก พูดเสียงทุ้ม “บอกฉัน ทำไมต้องทำแบบนี้? ”
ไป๋ยิ่งอันไม่ได้ตระหนักถึงความจริงจังของประโยคนี้ ยังดื่มด่ำอยู่ในบรรยากาศการแสดง พูดออกมาคร่ำครวญทั้งน้ำตา “คุณพูดอะไร? ”
“ทำไมต้องทำแบบนี้? ” หนานกงเฉินถามอีกครั้ง
ในที่สุดไป๋ยิ่งอันก็ได้สติ สมองว่างเปล่า มองเขาด้วยความประหลาดใจ
เขาหมายความว่าอย่างไร? เขารู้เหรอ? เขาพบมันเหรอ? พบว่าเด็กถูกเธอทำให้หมดลมหายใจ?
ทำอย่างไรดี? แกล้งโง่ต่อไปไหม? ใช่ แกล้งต่อไป
“คุณชายใหญ่ คุณพูดอะไรกันแน่? ” เธอพยายามบีบน้ำตาออกมามากขึ้น
หนานกงเฉินจ้องมองเธอ ดวงตาเต็มไปด้วยความปวดใจ “วันนี้ตอนฉันเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูก เห็นหลังหูเขามีรอยเล็บเปื้อนเลือด ยิ่งอัน เธอทำให้ลูกหมดลมหายใจใช่ไหม? ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะ? ”
ไป๋ยิ่งอันตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง ถึงขั้นลืมน้ำตาไหล
หนานกงเฉินหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ “ตอนแรกเธอยืนกรานที่จะคลอดลูกออกมา คุณบอกจะเลี้ยงดูเขาให้เติบโตไม่ว่าจะจ่ายเท่าไรก็ตาม แม้ว่าจะสละชีวิตของเธอ แต่……”
“คุณชายใหญ่ นี่คุณกำลังพูดอะไร ฉันเปล่า……” ไป๋ยิ่งอันส่ายหน้าสุดชีวิต “คุณชายใหญ่ ฉันจะทำให้ลูกชายของเราหมดลมหายใจไปทำไม? ฉันพยายามให้เขามีชีวิตรอด คลอดเขาออกมานะ……”
“ตอนแรกฉันก็ไม่คิดว่าเป็นเธอ แต่……” หนานกงเฉินจับมือซ้ายเธอขึ้นมา ยกนิ้วกลางเปื้อนเลือดของเธอชูขึ้นตรงหน้าเธอ “แผลของลูกอยู่หลังหูขวา ไม่ลึกไม่ตื้น มันพอดีกับมือซ้ายเธอเลย”
เขาพูดแบบนี้ ในที่สุดไป๋ยิ่งอันก็พบว่ามีเลือดที่แห้งจนเปลี่ยนสีเปื้อนอยู่บนซอกนิ้วเธอ ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้สังเกตเลย ไม่สังเกตเลยสักนิดจริงๆ !
เธอทำให้ลูกหมดลมหายใจเหรอ? ทำไมเป็นแบบนี้? ทำไมเธอประมาทแบบนั้น? เป็นไปได้อย่างไร……?
“อ๊ะ……!” เธอพึมพำแล้วชักมือซ้ายกลับ ซ่อนไว้ด้านหลัง จ้องหนานกงเฉินด้วยใบหน้าหวาดกลัว
ในใจเหมือนมีหมื่นเสียงกำลังซักถามเธอว่า: ทำอย่างไรดี? ทำอย่างไรดี?
ใช่ ทำอย่างไรดี? เธอควรทำอย่างไรดี?
ด้วยความสิ้นหวัง จู่ๆ เธอก็ร้องไห้ออกมาดัง ‘แง’ จากนั้นก็ล้มตัวคุกเข่าใต้ขาหนานกงเฉิน สองมือจับเข่าเขาแล้วร้องแทบขาดใจ “ขอโทษ เฉิน ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉันผิดสัญญา ฉันรู้สึกผิดกับลูก……”
“ฉันคิดว่าฉันคลอดเขาออกมา เชิญหมอที่เก่งที่สุดมาให้เขาคิดว่าเขาต้องมีชีวิตรอดเหมือนคุณ แต่ไม่คิดว่าความจริงมันล้อเล่นกับฉันขนาดนี้ ลูกไม่เหมือนกับคุณ เขาหัวใจห้องเดียวพิการ หมอทุกคนบอกว่าเขาไม่รอด ทุกวันฉันได้แต่ดูเขากินนิดหน่อยแล้วก็อ้วกออกมา ดูเขาหน้าแดงก่ำเพราะหายใจไม่ออก เห็นเขาผอมลงทีละนิด หัวใจฉันก็เหมือนถูกมีดบาด! วันนี้เขากินนมได้ทั้งหมดสิบมิลลิลิตร แต่อ้วกออกมาห้ามิลลิลิตร ฉันเห็นแล้วเจ็บที่หัวใจ ฉันอยากให้คนที่กินไม่ได้คือฉัน ฉันยอมแบกรับความเจ็บปวดทั้งหมดแทนเขา แต่ฉันทำแทนเขาไม่ได้ ฉันทำได้แต่ดูเขาอย่างห่วงๆ ฉัน……”
ไป๋ยิ่งอันพูดต่อไปไม่ได้แล้ว ก้มหน้าใช้มือข้างหนึ่งปิดปากแล้วร้องไห้อย่างขมขื่น
“ดังนั้นเธอก็เลยทำให้เขาหมดลมหายใจ” หนานกงเฉินพูดอย่างเศร้าสลด
“ถูกต้อง ฉันทำให้เขาหมดลมหายใจเอง เพราะไม่อยากเห็นเขาเจ็บปวดอีกแล้ว ในใจฉันคิดว่าให้เขาทนทุกข์ทรมานทุกวันไม่สู้ให้เขามีช่วงเวลาดีๆ ให้เขาเป็นอิสระตั้งแต่เนิ่นๆ เฉิน ฉันผิดไปแล้ว ตอนแรกฉันควรฟังคุณให้เอาเขาออก ฉันไม่ควรยึดถือความคิดตัดสินใจเก็บเขาไว้ ขอโทษนะ……ฉันผิดไปแล้ว……”
หนานกงเฉินส่ายหน้า “ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้มันมีประโยชน์เหรอ? อย่าพูดอีกเลย”
“ฉันรู้ว่าไม่มีประโยชน์ แต่เด็กคลอดออกมาแล้ว เรื่องราวมันดำเนินมาถึงจุดนี้ ถ้าเป็นไปได้ ฉันยอมเอาชีวิตฉันเองแลกให้เขาแข็งแรง แต่พระเจ้าไม่ให้โอกาสนี้กับฉัน!” ไป๋ยิ่งอันจับมือหนานกงเฉิน ส่ายหน้าพูดขมขื่น “เฉิน ฉันรู้ว่าคุณไม่เห็นด้วยที่ฉันทำแบบนี้ ฉันก็เลยไม่กล้าบอกคุณ และไม่กล้าขอร้องคุณ ขอร้องคุณให้อภัยฉันได้ไหม? ฉันคิดว่าลูกชายคงเกลียดฉันมากแล้ว ถ้าคุณไม่ให้อภัยฉันอีก ฉันก็ไม่อยากมีชีวิตต่อไปอีก”
หนานกงเฉินพยายามอย่างหนักเล็กน้อย เอามือตัวเองออกมาจากฝ่ามือเธอ จ้องมองเธอ “นี่มันหนึ่งชีวิต หนึ่งคน เธอใช้ความรู้สึกของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปตัดสินว่าเขาจะอยู่ต่อไปได้ยังไง? เธอเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย”
“ขอโทษ……ฉันถูกบีบบังคับให้ทำแบบนี้โดยไม่มีทางเลือก ฉันคิดว่าทำแบบนี้ตัวเองจะรู้สึกดีขึ้นหน่อย แต่ฉันไม่คิดว่าเสียลูกไปแล้วฉันจะเจ็บปวดยิ่งกว่า ฉันไม่เพียงเจ็บปวด เสียใจ โทษตัวเอง……ฉัน……” ไป๋ยิ่งอันยิ่งพูดยิ่งรู้สึกแย่ ยิ่งพูดยิ่งอ่อนแอลง สุดท้ายร่างกายก็อ่อนแรงเป็นลมไป
เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 124 เด็กเสียชีวิตแล้ว
Posted by ? Views, Released on August 26, 2021
, เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ
Recommended Series
Comment
Facebook Comment