ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ที่ระเบียงชั้นสาม สายตาจ้องมองไปที่ประตูบ้านพักอย่างว่างเปล่า
รอคอยให้คนข้างนอกเข้ามา นี่กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะต้องผิดหวังทุกวัน แต่เธอก็ยังคงรอคอยต่อไป
เพราะเธอไม่มีทางออกอื่นใด นอกจากรอ
หลังจากมองมาตลอดทั้งบ่าย ด้านนอกก็มีเสียงรถดังขึ้น ไป๋มู่ชิงกุลีกุจอลุกขึ้นจากพื้น เมื่อเธอเห็นว่ารถที่ขับเข้ามาเป็นรถของเลขเหยียน ในใจเธอกลับรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังคงรีบวิ่งลงไปหา
เธอวิ่งไปที่ชั้นหนึ่ง พอดีกับที่เลขาเหยียนเดินเข้ามา เธอถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรอคอยว่า “เลขาเหยียน คุณชายเฉินยกโทษให้ฉันแล้วใช่ไหม เขาให้คุณมาปล่อยฉันออกไปใช่ไหม”
เลขาเหยียนส่ายหัว “คุณหนูไป๋ คุณคิดกับคุณชายเฉินในแง่ดีมากเกินไป”
หัวใจของเธอจมดิ่งลงและรอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงก็แปรเปลี่ยนไป
ถูกต้องแล้วหนานกงเฉินจะปล่อยเธอไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? เธอโง่เองที่รอ และคิดมากเกินไป
เลขาเหยียนจ้องมองเธออย่างเคร่งขรึม “วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 80 ปีของคุณผู้หญิง วางแผนที่จะทานอาหารเย็นร่วมกับทั้งครอบครัวในโรงแรมตอนกลางคืน นี่คือเสื้อผ้าที่จะใส่สำหรับอาหารค่ำตอนเย็นและยังมีของขวัญวันเกิดที่ต้องมอบให้ท่าน *”
ไป๋มู่ชิงมองถุงกระดาษในมือด้วยความประหลาดใจ จากนั้นมองไปที่เธออีกครั้ง
“จริงสิ คุณยังไม่รู้ว่าคุณชายเฉินอับอายแค่ไหนเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลัวว่าจะทำให้คุณผู้หญิงไม่พอใจ ดังนั้นห้ามพูดอะไรเด็ดขาด งานเลี้ยตอนกลางคืนคุณหนูไป๋ต้องออกงานกับคุณชายเฉิน ต้องจำไว้ให้ดี ห้ามตกหล่นเป็นอันขาด”
ไป๋มู่ชิงยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเธอแต่ไม่ใช่ไป๋ยิ่งอัน?
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถามความสงสัยในใจของเธออย่างระมัดระวัง“ ทำไมไป๋ยิ่งอัน … เธอ … ”
เมื่อเห็นว่าสีใบหน้าของเลขาเหยียนจมดิ่งลงเธอจึงไม่กล้าพูดต่อ
“คุณหนูไป๋” เลขาเหยียนจ้องเธอด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉันพูดกับคุณเหมือนเป็นการสีซอให้ควายฟัง”
“ฉันขอโทษ” ไป๋มู่ชิงรีบก้มหัวลง
เลขาเหยียนยกนาฬิกาขึ้นแล้วเหลือบมองเวลา “อาหารเย็นเริ่มหกโมงเย็น ถ้าคุณหนูไป๋ไม่อยากมาสายแล้วทำให้คุณชายเฉินโกรธล่ะก็ ได้โปรดรีบขึ้นไปแต่งตัวเถอะค่ะ”
ไป๋มู่ชิงหยิบกระเป๋าหันและเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นชุดที่ไม่ใช่สไตล์พิเศษ แต่เหมาะกับเธอมาก ไป๋มู่ชิงมองตัวเองในกระจก เธอก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูอึมครึมและในที่สุดก็สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าให้สวยหรู ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงเกินสิบเซนติเมตร และยังใส่เครื่องประดับได้โดยไม่ต้องโอ้อวด
เธอเดินตามเลขาเหยียนไปที่โรงแรมระดับห้าดาว หลังจากจอดรถไว้ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินแล้ว เลขาเหยียนก็โทรหาหนานกงเฉิน หลังจากที่รู้ว่าหนานกงเฉินกำลังเดินทางมา เธอจึงพูดกับไป๋มู่ชิงว่า “คุณหนูไป๋ คุณรออยู่ที่นี่ก่อน คุณชายเฉินใกล้จะมาถึงแล้ว ”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงลงจากรถและยืนอยู่ข้างๆ
เลขาเหยียนไม่ได้ออกไปทันที เห็นได้ชัดว่ากังวลที่จะทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียว
ในไม่ช้ารถของหนานกงเฉินก็ขับเข้ามาจากทางเข้า ไป๋มู่ชิงเห็นรถของหนานกงเฉินก็ก้าวถอยหลังไปชั่วขณะโดยไม่รู้ตัวพลางมองเขาด้วยความวิตกกังวล
หนานกงเฉินเดินมาหาเธอและยืนนิ่งพลางมองเธออย่างเยาะเย้ย “เป็นอะไรไปล่ะ ทีเมื่อก่อนยังกล้าล้อฉันเล่นอยู่เลย”
ไป๋มู่ชิงก้มหัวลงและไม่พูด
ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน กระจกทั้งสี่บานในลิฟต์สะท้อนให้เห็นร่างทั้งสอง ไป๋มู่ชิงถือของขวัญวันเกิดให้คุณผู้หญิงด้วยมือทั้งสองข้าง เพราะรู้สึกอึดอัดจึงบีบนิ้วแน่น
สายตาของหนานกงเฉินจ้องมองไปที่แหวนหยกฝังทองคำที่นิ้วนางของเธอ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือแหวนประจำตระกูลหนานกงของเขา เขาไม่ได้สังเกตว่าแหวนบนนิ้วนางของไป๋ยิ่งอันเป็นของปลอมมาก่อน
นอกจากนี้ยังมีรอยฟันที่ข้อมือของเธอ รอยฟันเก่าสองอันที่ข้อมือซ้ายของเธอและรอยใหม่ที่ข้อมือขวาซึ่งเขาทิ้งไว้ให้เธอบนภูเขาเจ็ดดาวโดยตั้งใจ
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปจับมือขวาของเธอแล้วยกขึ้น มองไปที่แหวนหยกฝังทองคำที่นิ้วนางของเธอ ไป๋มู่ชิงตกใจกับการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของเขาและมือเล็ก ๆ ของเธอก็หดกลับโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่สำเร็จ
เขากำลังทำอะไร? ทำไมจ้องแหวนแบบนี้ล่ะ
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้น จากนั้นมองไปที่ความตื่นตระหนกในดวงตาของเธอแล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ทำไมเธอไม่สวมแหวนวงใหญ่ของเธอล่ะ?”
ใบหน้าของไป๋มู่ชิงร้อนผ่าวและเธอหันหน้าหนีอย่างเขินอาย
ลิฟต์หยุดลงที่หน้าร้านอาหารหมุนเวียนที่ชั้นบนสุด ไป๋มู่ชิงต้องการที่จะดึงฝ่ามือของเธอออกโดยสัญชาตญาณ แต่หนานกงเฉินไม่ยอมปล่อยและเอามือเธอไปคล้องแขนเขาไว้ พอเธอเดินไปยังร้านอาหารด้านใน
แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เธอก็เข้าใจความหมายของหนานกงเฉินและจับเสื้อเขาไว้แน่น
เมื่อทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกันในห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ ทุกคนก็อยู่ที่นั่นแล้ว
“พี่ชาย พี่สะใภ้ พวกคุณมาแล้ว” ตระกูลหลินทักทายทั้งสอง น้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าเยาะเย้ย แต่หลังจากเห็นความเย็นชาของหนานกงเฉินก็หดคอและนั่งลง
ตระกูลหลินได้รับคำเตือนจากหนานกงเฉินก่อนหน้านี้ ว่าพวกเขาไม่สามารถเผยแพร่เรื่องนี้ได้ ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจเมื่อเห็นหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงในที่นี้ แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่ไยดี
ไป๋มู่ชิงทักทายคุณผู้หญิงและมอบของขวัญวันเกิดที่เลขาเหยียนเตรียมไว้ให้เธอ ของขวัญเป็นกำไลหยกราคาแพง คุณผู้หญิงไม่ได้ขาดสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นเพียงของขวัญ
คุณผู้หญิงหยิบกำไลหยกขึ้นมาอย่างมีความหมายและชื่นชมมัน ผู่เหลียนเหยาที่คุยกับคุณผู้หญิงเมื่อครู่ มองไปที่สร้อยข้อมือและมองไปที่ไป๋มู่ชิพลางยิ้ม “กำไลหยกที่พี่สะใภ้ของฉันหยิบมานั้นสวยงามมาก ค่อนข้างแพงใช่ไหม”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกประหม่าเกินไปและไม่ได้สังเกตเห็นผู่เหลียนเหยาที่อยู่ถัดจากคุณผู้หญิง เมื่อผู่เหลียนเหยาถาม ในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นเธอ
ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ที่ระเบียงชั้นสาม สายตาจ้องมองไปที่ประตูบ้านพักอย่างว่างเปล่า
รอคอยให้คนข้างนอกเข้ามา นี่กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะต้องผิดหวังทุกวัน แต่เธอก็ยังคงรอคอยต่อไป
เพราะเธอไม่มีทางออกอื่นใด นอกจากรอ
หลังจากมองมาตลอดทั้งบ่าย ด้านนอกก็มีเสียงรถดังขึ้น ไป๋มู่ชิงกุลีกุจอลุกขึ้นจากพื้น เมื่อเธอเห็นว่ารถที่ขับเข้ามาเป็นรถของเลขเหยียน ในใจเธอกลับรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังคงรีบวิ่งลงไปหา
เธอวิ่งไปที่ชั้นหนึ่ง พอดีกับที่เลขาเหยียนเดินเข้ามา เธอถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรอคอยว่า “เลขาเหยียน คุณชายเฉินยกโทษให้ฉันแล้วใช่ไหม เขาให้คุณมาปล่อยฉันออกไปใช่ไหม”
เลขาเหยียนส่ายหัว “คุณหนูไป๋ คุณคิดกับคุณชายเฉินในแง่ดีมากเกินไป”
หัวใจของเธอจมดิ่งลงและรอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงก็แปรเปลี่ยนไป
ถูกต้องแล้วหนานกงเฉินจะปล่อยเธอไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? เธอโง่เองที่รอ และคิดมากเกินไป
เลขาเหยียนจ้องมองเธออย่างเคร่งขรึม “วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 80 ปีของคุณผู้หญิง วางแผนที่จะทานอาหารเย็นร่วมกับทั้งครอบครัวในโรงแรมตอนกลางคืน นี่คือเสื้อผ้าที่จะใส่สำหรับอาหารค่ำตอนเย็นและยังมีของขวัญวันเกิดที่ต้องมอบให้ท่าน *”
ไป๋มู่ชิงมองถุงกระดาษในมือด้วยความประหลาดใจ จากนั้นมองไปที่เธออีกครั้ง
“จริงสิ คุณยังไม่รู้ว่าคุณชายเฉินอับอายแค่ไหนเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลัวว่าจะทำให้คุณผู้หญิงไม่พอใจ ดังนั้นห้ามพูดอะไรเด็ดขาด งานเลี้ยตอนกลางคืนคุณหนูไป๋ต้องออกงานกับคุณชายเฉิน ต้องจำไว้ให้ดี ห้ามตกหล่นเป็นอันขาด”
ไป๋มู่ชิงยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเธอแต่ไม่ใช่ไป๋ยิ่งอัน?
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถามความสงสัยในใจของเธออย่างระมัดระวัง“ ทำไมไป๋ยิ่งอัน … เธอ … ”
เมื่อเห็นว่าสีใบหน้าของเลขาเหยียนจมดิ่งลงเธอจึงไม่กล้าพูดต่อ
“คุณหนูไป๋” เลขาเหยียนจ้องเธอด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉันพูดกับคุณเหมือนเป็นการสีซอให้ควายฟัง”
“ฉันขอโทษ” ไป๋มู่ชิงรีบก้มหัวลง
เลขาเหยียนยกนาฬิกาขึ้นแล้วเหลือบมองเวลา “อาหารเย็นเริ่มหกโมงเย็น ถ้าคุณหนูไป๋ไม่อยากมาสายแล้วทำให้คุณชายเฉินโกรธล่ะก็ ได้โปรดรีบขึ้นไปแต่งตัวเถอะค่ะ”
ไป๋มู่ชิงหยิบกระเป๋าหันและเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นชุดที่ไม่ใช่สไตล์พิเศษ แต่เหมาะกับเธอมาก ไป๋มู่ชิงมองตัวเองในกระจก เธอก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูอึมครึมและในที่สุดก็สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าให้สวยหรู ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงเกินสิบเซนติเมตร และยังใส่เครื่องประดับได้โดยไม่ต้องโอ้อวด
เธอเดินตามเลขาเหยียนไปที่โรงแรมระดับห้าดาว หลังจากจอดรถไว้ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินแล้ว เลขาเหยียนก็โทรหาหนานกงเฉิน หลังจากที่รู้ว่าหนานกงเฉินกำลังเดินทางมา เธอจึงพูดกับไป๋มู่ชิงว่า “คุณหนูไป๋ คุณรออยู่ที่นี่ก่อน คุณชายเฉินใกล้จะมาถึงแล้ว ”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงลงจากรถและยืนอยู่ข้างๆ
เลขาเหยียนไม่ได้ออกไปทันที เห็นได้ชัดว่ากังวลที่จะทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียว
ในไม่ช้ารถของหนานกงเฉินก็ขับเข้ามาจากทางเข้า ไป๋มู่ชิงเห็นรถของหนานกงเฉินก็ก้าวถอยหลังไปชั่วขณะโดยไม่รู้ตัวพลางมองเขาด้วยความวิตกกังวล
หนานกงเฉินเดินมาหาเธอและยืนนิ่งพลางมองเธออย่างเยาะเย้ย “เป็นอะไรไปล่ะ ทีเมื่อก่อนยังกล้าล้อฉันเล่นอยู่เลย”
ไป๋มู่ชิงก้มหัวลงและไม่พูด
ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน กระจกทั้งสี่บานในลิฟต์สะท้อนให้เห็นร่างทั้งสอง ไป๋มู่ชิงถือของขวัญวันเกิดให้คุณผู้หญิงด้วยมือทั้งสองข้าง เพราะรู้สึกอึดอัดจึงบีบนิ้วแน่น
สายตาของหนานกงเฉินจ้องมองไปที่แหวนหยกฝังทองคำที่นิ้วนางของเธอ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือแหวนประจำตระกูลหนานกงของเขา เขาไม่ได้สังเกตว่าแหวนบนนิ้วนางของไป๋ยิ่งอันเป็นของปลอมมาก่อน
นอกจากนี้ยังมีรอยฟันที่ข้อมือของเธอ รอยฟันเก่าสองอันที่ข้อมือซ้ายของเธอและรอยใหม่ที่ข้อมือขวาซึ่งเขาทิ้งไว้ให้เธอบนภูเขาเจ็ดดาวโดยตั้งใจ
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปจับมือขวาของเธอแล้วยกขึ้น มองไปที่แหวนหยกฝังทองคำที่นิ้วนางของเธอ ไป๋มู่ชิงตกใจกับการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของเขาและมือเล็ก ๆ ของเธอก็หดกลับโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่สำเร็จ
เขากำลังทำอะไร? ทำไมจ้องแหวนแบบนี้ล่ะ
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้น จากนั้นมองไปที่ความตื่นตระหนกในดวงตาของเธอแล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ทำไมเธอไม่สวมแหวนวงใหญ่ของเธอล่ะ?”
ใบหน้าของไป๋มู่ชิงร้อนผ่าวและเธอหันหน้าหนีอย่างเขินอาย
ลิฟต์หยุดลงที่หน้าร้านอาหารหมุนเวียนที่ชั้นบนสุด ไป๋มู่ชิงต้องการที่จะดึงฝ่ามือของเธอออกโดยสัญชาตญาณ แต่หนานกงเฉินไม่ยอมปล่อยและเอามือเธอไปคล้องแขนเขาไว้ พอเธอเดินไปยังร้านอาหารด้านใน
แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เธอก็เข้าใจความหมายของหนานกงเฉินและจับเสื้อเขาไว้แน่น
เมื่อทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกันในห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ ทุกคนก็อยู่ที่นั่นแล้ว
“พี่ชาย พี่สะใภ้ พวกคุณมาแล้ว” ตระกูลหลินทักทายทั้งสอง น้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าเยาะเย้ย แต่หลังจากเห็นความเย็นชาของหนานกงเฉินก็หดคอและนั่งลง
ตระกูลหลินได้รับคำเตือนจากหนานกงเฉินก่อนหน้านี้ ว่าพวกเขาไม่สามารถเผยแพร่เรื่องนี้ได้ ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจเมื่อเห็นหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงในที่นี้ แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่ไยดี
ไป๋มู่ชิงทักทายคุณผู้หญิงและมอบของขวัญวันเกิดที่เลขาเหยียนเตรียมไว้ให้เธอ ของขวัญเป็นกำไลหยกราคาแพง คุณผู้หญิงไม่ได้ขาดสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นเพียงของขวัญ
คุณผู้หญิงหยิบกำไลหยกขึ้นมาอย่างมีความหมายและชื่นชมมัน ผู่เหลียนเหยาที่คุยกับคุณผู้หญิงเมื่อครู่ มองไปที่สร้อยข้อมือและมองไปที่ไป๋มู่ชิพลางยิ้ม “กำไลหยกที่พี่สะใภ้ของฉันหยิบมานั้นสวยงามมาก ค่อนข้างแพงใช่ไหม”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกประหม่าเกินไปและไม่ได้สังเกตเห็นผู่เหลียนเหยาที่อยู่ถัดจากคุณผู้หญิง เมื่อผู่เหลียนเหยาถาม ในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นเธอ
ในท้ายที่สุดคุณชายหลินก็แนะนำให้ไปที่บาร์เพื่อดื่มต่อหลังดินเนอร์ เดิมทีหนานกงเฉินไม่ชอบเขาเป็นทุนเดิม จึงปฏิเสธที่จะออกไปกับเขา
เขายื่นมือออกไปและกอดไหล่ของไป๋มู่ชิงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันต้องส่งพี่สะใภ้ของคุณกลับไป ถ้างั้นที่เหลือไม่ต้องสั่งเผื่อฉันแล้วนะ”
“ไม่ต้องเผื่อฉันด้วย ฉันก็ต้องส่งภรรยากลับบ้านเหมือนกัน” เซิ่งเคอเห็นด้วย
คุณชายหลินยักไหล่เบา “ โอเค งั้นเอาไว้วันหลังก็แล้วกัน”
หลังจากที่คู่สามีภรรยาตระกูลหลินผลัดกันไปมา สุดท้ายหลินเต้าหรานก็ยกแก้วไวน์ขึ้นด้านหน้าหนานกงเฉิน ยิ้มอย่างเอาใจและพูดว่า “เฉิน ฉันขอดื่มให้คุณแก้วหนึ่ง ถือว่าชดใช้ในสิ่งที่ฉันทำไม่ดีเมื่อก่อน”
“ ไวน์แก้วนี้สมควรดื่มจริงๆ” คุณผู้หญิงกล่าวเรียบๆ
หนานกงเฉินหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและชนแก้วกับเขาเบาๆ จากนั้นจึงดื่มจนหมด
คุณนายหลินก็รีบดื่มชดใช้เขาเช่นกัน ตอนขอโทษยังแอบเหลือบมองไป๋มู่ชิงที่อยู่ข้างหนานกงเฉินเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตานั้น ไป๋มู่ชิงจึกรีบก้มศีรษะทันที
หลังจากงานเลี้ยงได้จบลง ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ คุณผู้หญิง เซ่งเคอและผู่เหลียนเหยานั่งรถกลับคฤหาสน์ ไปมู่ชิงนั้นยืนอยู่ด้านข้างรอคำสั่งของหนานกงเฉิน
หลังจากที่ทุกคนออกไป ไป๋มู่ชิงก็รู้ว่าเธอและหนานกงเฉินเป็นเพียงสองคนในลานจอดรถ
โชคดีที่เลขเหยียนปรากฏตัวในไม่ช้าและจอดรถข้างๆพวกเขา
เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินเมาเล็กน้อย ไป๋มู่ชิงจึงเดินไปยื่นมือออกไปอย่างลังเลเพื่อพยุงแขนของเขา หนานกงเฉินยกมือขึ้นและสะบัดมือออกเดินไปที่รถ
ไป๋มู่ชิงสะดุ้งและรีบเข้าไปในรถอีกด้านหนึ่งของประตูรถ
เมื่อรถขับออกจากที่จอดรถชั้นใต้ดิน ไป๋มู่ชิงเพิ่งเห็นว่าฝนตกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อครู่ในร้านอาหารเธอมัวแต่ตื่นตระหนกจนไม่ทันได้สังเกต
ไป๋มู่ชิงย่อตัวลงที่มุมหนึ่งและนิ่งเงียบตลอดทางในขณะที่หนานกงเฉินอาจจะเมานั่งอยู่อีกด้านหนึ่งและหลับตาเพื่อพักผ่อน
ไป๋มู่ชิงต้องการเตือนเลขเหยียนว่าเธอควรส่งหนานกงเฉินกลับบ้านก่อน แต่เธอกลับได้แต่กลืนคำนี้ลงไป เวลานี้เธอไม่ควรพูดอะไรก็ตามแต่ เพราะหนานกงเฉินเคยบอกไว้ว่าเขาเหกลยดการได้ยินเสียงของเธอและไม่อยากเห็นแม้แต่เงาของเธอ!
จนกระทั่งเธอจอดรถที่ประตูบ้านหลังใหญ่ของคฤหาสน์หลังเล็กที่ เธอพูดกับหนานกงเฉินอย่างระมัดระวัง “นั่น … คุณชายเฉิน ฉันลงก่อนนะคะ พวกคุณเดินทางปลอดภัยนะ ”
หลังจากที่เธอพูดจบก็ผลักประตูและลงจากรถ โดยไม่คาดคิดทันทีที่เธอลงจากรถ หนานกงเฉินก็ตามเธอออกจากรถมา
หนานกงเฉินเปิดประตูรถและอาเจียน ไป๋มู่ชิงรีบเดินไปพยุงร่างของเขา เลขาเหยียนก็รีบออกจากรถและหยิบร่มและน้ำแร่หนึ่งขวดจากท้ายรถ
ไป๋มู่ชิงหยิบน้ำแร่ในมือคลายเกลียวฝาและล้างปากของหนานกงเฉิน
หนานกงเฉินอาเจียนเป็นเวลานาน อาเจียนทุกอย่างในท้องของเขา จากนั้นเขาก็พยุงร่างกายและยืดเอวให้ตรง
“คุณชายเสื้อผ้าเปียกชุ่มหมดแล้ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องก็เถอะค่ะ” เลขาเหยียนกล่าว
ก่อนที่ไป๋มู่ชิงจะมีเวลาคิดเรื่องนี้เธอและเลขาเหยียนก็ช่วยพยุงเขาเข้าไปในบ้าน
เลขาเหยียนดูเหมือนจะรู้โครงสร้างของบ้านดีกว่าไป๋มู่ชิง และช่วยพาหนานกงเฉินไปที่ห้องนอนใหญ่ที่ชั้นสองโดยตรง หลังจากวางเขาลงบนเตียงแล้วเธอก็ปัดผมที่เปียกบนหน้าผากของเธอและพูดว่า “คุณหนูไป๋ เตรีมเสื้อผ้าสะอาดให้คุณชายเฉินด้วยค่ะ”
“โอเค” ไป๋มู่ชิงเหลือบมองไปที่เสื้อผ้าที่เปียกของเลขาเหยียนแล้วพูดว่า”เลขาเหยียนเสื้อผ้าของคุณเปียกเหมือนกัน ให้ฉันหาชุดให้ฉันก่อนนะคะ”
“ไม่ต้องค่ะ ฉันจะกลับไปเปลี่ยนเอง” เธอมองไปที่หนานกงเฉินบนเตียง: “คืนนี้ก็ให้คุณชายเฉินอยู่ที่นี่ ฉันจะกลับไปก่อนนะคะ”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่หนานกงเฉินบนเตียงพร้อมกับพยักหน้าและพูดว่า “ตกลง”
หลังจากเลขาเหยียนจากไปเหลือเพียงไป๋มู่ชิงและหนานกงเฉินเท่านั้นที่อยู่ในห้องนอนห้องนั้นเงียบพอที่จะได้ยินเสียงลมหายใจของเขา
ฉันไม่รู้ ว่าเป็นเพราะฉันไม่ได้รับใช้หนานกงเฉินมาเป็นเวลานานหรือเพราะเรื่องล่าสุดนี้ ไป๋มู่ชิงมองไปที่หนานกงเฉินที่กำลังหลับอยู่และรู้สึกอายเล็กน้อยที่จะสัมผัสเสื้อผ้าของเขา
ไม่เพียงแต่เสื้อผ้าของเขาเปียก แต่ผมของเขาก็เปียกเช่นกันถ้าเขานอนลงแบบนี้เขาจะเป็นหวัดแน่ ๆ
แม้จะรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย แต่เธอก็หาชุดนอนสะอาดจากตู้เสื้อผ้ามาได้และวางหม้อน้ำร้อนจากห้องน้ำลงบนพื้นพร้อมช่วยเขาทำความสะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้า
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้ม ไป๋มู่ชิงยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวังและหดกลับอย่างรวดเร็วเมื่อปลายนิ้วของเธอสัมผัสกระดุมเสื้อที่คอของเขา
ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ที่ระเบียงชั้นสาม สายตาจ้องมองไปที่ประตูบ้านพักอย่างว่างเปล่า
รอคอยให้คนข้างนอกเข้ามา นี่กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะต้องผิดหวังทุกวัน แต่เธอก็ยังคงรอคอยต่อไป
เพราะเธอไม่มีทางออกอื่นใด นอกจากรอ
หลังจากมองมาตลอดทั้งบ่าย ด้านนอกก็มีเสียงรถดังขึ้น ไป๋มู่ชิงกุลีกุจอลุกขึ้นจากพื้น เมื่อเธอเห็นว่ารถที่ขับเข้ามาเป็นรถของเลขเหยียน ในใจเธอกลับรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังคงรีบวิ่งลงไปหา
เธอวิ่งไปที่ชั้นหนึ่ง พอดีกับที่เลขาเหยียนเดินเข้ามา เธอถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรอคอยว่า “เลขาเหยียน คุณชายเฉินยกโทษให้ฉันแล้วใช่ไหม เขาให้คุณมาปล่อยฉันออกไปใช่ไหม”
เลขาเหยียนส่ายหัว “คุณหนูไป๋ คุณคิดกับคุณชายเฉินในแง่ดีมากเกินไป”
หัวใจของเธอจมดิ่งลงและรอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงก็แปรเปลี่ยนไป
ถูกต้องแล้วหนานกงเฉินจะปล่อยเธอไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร? เธอโง่เองที่รอ และคิดมากเกินไป
เลขาเหยียนจ้องมองเธออย่างเคร่งขรึม “วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบ 80 ปีของคุณผู้หญิง วางแผนที่จะทานอาหารเย็นร่วมกับทั้งครอบครัวในโรงแรมตอนกลางคืน นี่คือเสื้อผ้าที่จะใส่สำหรับอาหารค่ำตอนเย็นและยังมีของขวัญวันเกิดที่ต้องมอบให้ท่าน *”
ไป๋มู่ชิงมองถุงกระดาษในมือด้วยความประหลาดใจ จากนั้นมองไปที่เธออีกครั้ง
“จริงสิ คุณยังไม่รู้ว่าคุณชายเฉินอับอายแค่ไหนเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลัวว่าจะทำให้คุณผู้หญิงไม่พอใจ ดังนั้นห้ามพูดอะไรเด็ดขาด งานเลี้ยตอนกลางคืนคุณหนูไป๋ต้องออกงานกับคุณชายเฉิน ต้องจำไว้ให้ดี ห้ามตกหล่นเป็นอันขาด”
ไป๋มู่ชิงยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นเธอแต่ไม่ใช่ไป๋ยิ่งอัน?
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ถามความสงสัยในใจของเธออย่างระมัดระวัง“ ทำไมไป๋ยิ่งอัน … เธอ … ”
เมื่อเห็นว่าสีใบหน้าของเลขาเหยียนจมดิ่งลงเธอจึงไม่กล้าพูดต่อ
“คุณหนูไป๋” เลขาเหยียนจ้องเธอด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉันพูดกับคุณเหมือนเป็นการสีซอให้ควายฟัง”
“ฉันขอโทษ” ไป๋มู่ชิงรีบก้มหัวลง
เลขาเหยียนยกนาฬิกาขึ้นแล้วเหลือบมองเวลา “อาหารเย็นเริ่มหกโมงเย็น ถ้าคุณหนูไป๋ไม่อยากมาสายแล้วทำให้คุณชายเฉินโกรธล่ะก็ ได้โปรดรีบขึ้นไปแต่งตัวเถอะค่ะ”
ไป๋มู่ชิงหยิบกระเป๋าหันและเดินขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นชุดที่ไม่ใช่สไตล์พิเศษ แต่เหมาะกับเธอมาก ไป๋มู่ชิงมองตัวเองในกระจก เธอก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูอึมครึมและในที่สุดก็สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าให้สวยหรู ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงเกินสิบเซนติเมตร และยังใส่เครื่องประดับได้โดยไม่ต้องโอ้อวด
เธอเดินตามเลขาเหยียนไปที่โรงแรมระดับห้าดาว หลังจากจอดรถไว้ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินแล้ว เลขาเหยียนก็โทรหาหนานกงเฉิน หลังจากที่รู้ว่าหนานกงเฉินกำลังเดินทางมา เธอจึงพูดกับไป๋มู่ชิงว่า “คุณหนูไป๋ คุณรออยู่ที่นี่ก่อน คุณชายเฉินใกล้จะมาถึงแล้ว ”
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงลงจากรถและยืนอยู่ข้างๆ
เลขาเหยียนไม่ได้ออกไปทันที เห็นได้ชัดว่ากังวลที่จะทิ้งเธอไว้ที่นี่คนเดียว
ในไม่ช้ารถของหนานกงเฉินก็ขับเข้ามาจากทางเข้า ไป๋มู่ชิงเห็นรถของหนานกงเฉินก็ก้าวถอยหลังไปชั่วขณะโดยไม่รู้ตัวพลางมองเขาด้วยความวิตกกังวล
หนานกงเฉินเดินมาหาเธอและยืนนิ่งพลางมองเธออย่างเยาะเย้ย “เป็นอะไรไปล่ะ ทีเมื่อก่อนยังกล้าล้อฉันเล่นอยู่เลย”
ไป๋มู่ชิงก้มหัวลงและไม่พูด
ทั้งสองเดินเข้าไปในลิฟต์ด้วยกัน กระจกทั้งสี่บานในลิฟต์สะท้อนให้เห็นร่างทั้งสอง ไป๋มู่ชิงถือของขวัญวันเกิดให้คุณผู้หญิงด้วยมือทั้งสองข้าง เพราะรู้สึกอึดอัดจึงบีบนิ้วแน่น
สายตาของหนานกงเฉินจ้องมองไปที่แหวนหยกฝังทองคำที่นิ้วนางของเธอ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือแหวนประจำตระกูลหนานกงของเขา เขาไม่ได้สังเกตว่าแหวนบนนิ้วนางของไป๋ยิ่งอันเป็นของปลอมมาก่อน
นอกจากนี้ยังมีรอยฟันที่ข้อมือของเธอ รอยฟันเก่าสองอันที่ข้อมือซ้ายของเธอและรอยใหม่ที่ข้อมือขวาซึ่งเขาทิ้งไว้ให้เธอบนภูเขาเจ็ดดาวโดยตั้งใจ
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปจับมือขวาของเธอแล้วยกขึ้น มองไปที่แหวนหยกฝังทองคำที่นิ้วนางของเธอ ไป๋มู่ชิงตกใจกับการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันของเขาและมือเล็ก ๆ ของเธอก็หดกลับโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่สำเร็จ
เขากำลังทำอะไร? ทำไมจ้องแหวนแบบนี้ล่ะ
หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้น จากนั้นมองไปที่ความตื่นตระหนกในดวงตาของเธอแล้วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ทำไมเธอไม่สวมแหวนวงใหญ่ของเธอล่ะ?”
ใบหน้าของไป๋มู่ชิงร้อนผ่าวและเธอหันหน้าหนีอย่างเขินอาย
ลิฟต์หยุดลงที่หน้าร้านอาหารหมุนเวียนที่ชั้นบนสุด ไป๋มู่ชิงต้องการที่จะดึงฝ่ามือของเธอออกโดยสัญชาตญาณ แต่หนานกงเฉินไม่ยอมปล่อยและเอามือเธอไปคล้องแขนเขาไว้ พอเธอเดินไปยังร้านอาหารด้านใน
แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะรู้สึกไม่สบายใจ แต่เธอก็เข้าใจความหมายของหนานกงเฉินและจับเสื้อเขาไว้แน่น
เมื่อทั้งสองปรากฏตัวพร้อมกันในห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ ทุกคนก็อยู่ที่นั่นแล้ว
“พี่ชาย พี่สะใภ้ พวกคุณมาแล้ว” ตระกูลหลินทักทายทั้งสอง น้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าเยาะเย้ย แต่หลังจากเห็นความเย็นชาของหนานกงเฉินก็หดคอและนั่งลง
ตระกูลหลินได้รับคำเตือนจากหนานกงเฉินก่อนหน้านี้ ว่าพวกเขาไม่สามารถเผยแพร่เรื่องนี้ได้ ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจเมื่อเห็นหนานกงเฉินกับไป๋มู่ชิงในที่นี้ แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่ไยดี
ไป๋มู่ชิงทักทายคุณผู้หญิงและมอบของขวัญวันเกิดที่เลขาเหยียนเตรียมไว้ให้เธอ ของขวัญเป็นกำไลหยกราคาแพง คุณผู้หญิงไม่ได้ขาดสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นเพียงของขวัญ
คุณผู้หญิงหยิบกำไลหยกขึ้นมาอย่างมีความหมายและชื่นชมมัน ผู่เหลียนเหยาที่คุยกับคุณผู้หญิงเมื่อครู่ มองไปที่สร้อยข้อมือและมองไปที่ไป๋มู่ชิพลางยิ้ม “กำไลหยกที่พี่สะใภ้ของฉันหยิบมานั้นสวยงามมาก ค่อนข้างแพงใช่ไหม”
ไป๋มู่ชิงรู้สึกประหม่าเกินไปและไม่ได้สังเกตเห็นผู่เหลียนเหยาที่อยู่ถัดจากคุณผู้หญิง เมื่อผู่เหลียนเหยาถาม ในที่สุดเธอก็สังเกตเห็นเธอ