คุณชายเฉิน รอก่อน ซูซี่วิ่งออกมาจากห้องขวางเขาไว้ : “ฉันนึกออกแล้ว ไป๋มู่ชิงน่าจะไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉิงเป่ยค่ะ”
หนานกงเฉินขมวดคิ้วถาม: “ไปทำอะไรที่บ้านเด็กกำพร้า?”
“น่าจะเบื่องานเลี้ยงน่ะ” ซูซี่ตอบ “คุณก็รู้ว่ามู่ชิงเป็นคนชอบเด็ก ขี้ใจอ่อน ยิ่งเป็นเด็กในบ้านเด็กกำพร้ายิ่งแล้วใหญ่”
“ชอบเด็กเหรอ?” หนานกงเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดเย้ย
ซูซี่พยักหน้า : “ใช่สิ………”
เธอยังไม่ทันพูดจบ หนานกงเฉินก็เหยียบคันเร่งขับรถออกจากบ้านตระกูลเฉียวแล้ว
ซูซี่ยืนมองรถจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจแล้วเตรียมกลับเข้าบ้าน พอหันมาก็พบว่าเฉียวซือเหิงมายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“อาลัยอาวรณ์ขนาดนี้เลยเหรอ?” เฉียวซือเหิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ซูซี่ปรายตายมองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะทำหน้าไม่สนใจเดินเฉียดตัวเขาเข้าบ้านไป
ไป๋มู่ชิงรอจนเจ้าหน้าที่เดินออกไปเอาน้ำให้เธอ ก่อนจะรีบใช้กรรไกรตัดผมเด็กทารถเล็กน้อยแล้วเอากระทิชชู่ห่อไว้ ขณะที่เธอกำลังจะวางกรรไกรลงในกล่อง ก็ได้ยินเสียงเดินของเจ้าหน้าที่ดังมาจากทางประตูพอดี
เธอหันกลับมารับน้ำจากเจ้าหน้าที่พร้อมกล่าวขอบคุณ
ตามด้วยเจ้าหน้าที่อีกคนก็เดินเข้ามาและพูดกับไป๋มู่ชิงว่า:”นายหญิงน้อย คุณชายเฉินมารับค่ะ ท่านให้นายหญิงลงไปข้างล่างค่ะ”
“คุณชายเฉิน?” ไป๋มู่ชิงตกใจ รีบยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา จะสามทุ่มแล้ว งานเลี้ยงบ้านตระกูลเฉียวก็น่าจะใกล้เลิกแล้ว!
ว่าแต่ทำไมหนานกงเฉินถึงรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วนี่ยังมารับอีก
เธอไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ก็รีบเดินตามเจ้าหน้าที่ลงไปด้านล่าง เธอได้ยินเสียงผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าพูดด้วยน้ำเสียงยินดีและนอบน้อมแว่วมาไกลๆ: “เดี๋ยวนี้องค์กรที่ใจดีเช่นนี้มีน้อยนัก ดิฉันต้องขอบคุณแทนเด็กบ้านเด็กกำพร้าเป็นอย่างมากค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ….”
ไป๋มู่ชิงได้ยินดังนั้นก็หน้าชาไปหมด เมื่อกี้เธอแค่ต้องการหาทางเข้ามาดูเด็ก จึงได้อ้างไปว่าหนานกงกรุ๊ปต้องการบริจาคเงินให้บ้านเด็กกำพร้า แต่มันไม่ใช่เรื่องจริงนะ!
เธอไม่กล้าก้าวออกไป สองมือเกาะผนังไว้ค่อยๆยื่นหน้าออกไปมอง เห็นสีหน้าหนานกงเฉินดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เจอผู้อำนวยการพูดแบบนี้เข้าเขาจะไม่บริจาคก็ไม่ได้แล้ว องค์กรใหญ่ขนาดนี้บริจาคน้อยก็จะดูไม่ดี บริจาคมากก็……
งานนี้ เขาถูกเข้าใจผิด เธอเป็นคนทำให้เขาถูกเข้าใจผิดเอง
เธอไม่รู้จะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง จนพบกับสายตาหนานกงเฉินที่มองมา เธอตกใจจนรีบหดตัวกลับ
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าจะหลบแบบนี้ไปตลอดก็ไม่ได้ เธอจึงทำใจกล้าเดินออกมาพร้อมยิ้มกว้างไปหาผู้อำนวยการ: “ผอ.เหอคะ เมื่อกี้ฉันเข้าไปดูเด็กๆเห็นว่าเตียงเด็กๆเก่ามากแล้ว พวกเราตัดสินใจบริจาคเงินห้าหมื่นซื้อเตียงใหม่ให้เด็กๆผอ.ว่าดีมั้ยคะ?”
ผู้อำนวยการมองมาที่เธออย่างแปลกใจ ก่อนพูดเบาอย่างไม่รู้ตัว : “ห้าหมื่น?”
ใช่ค่ะ ประเมินว่าน่าจะห้าหมื่นพอมั้ยคะ ไป๋มู่ชิงปรายตามองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง นึกในใจห้าหมื่นสำรับเขาแล้วเล็กน้อยมากๆแล้ว
ผู้อำนวยการอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติจึงรีบยิ้มพยักหน้าตอบ: “พอค่ะ ห้าหมื่นพอที่จะซื้อเตียงนอนให้เด็กๆแล้วค่ะ ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ”
เงินห้าหมื่นสำหรับหนานกงกรุ๊ปแล้วมันอาจจะดูน้อยมาก แต่สำหรับบ้านเด็กกำพร้าแล้วมันเป็นเงินก้อนใหญ่เลยล่ะ หลังจากตกใจไปเล็กน้อยผู้อำนวยการก็กลับมายิ้มดีใจอีกครั้ง
“ผอ.เหอ คุณฟังผิดแล้ว คือห้าล้าน ไม่ใช่ห้าหมื่น” หนานกงเฉินพูดขึ้น
ทำเอาทุกคนที่ยืนอยู่ตกใจกันใหญ่ รวมทั้งไป๋มู่ชิงด้วย ขณะที่เธอรู้สึกตกใจก็รู้สึกผิดปนไปด้วย เป็นเพราะเธอพูดอ้างแบบนั้น เลยทำให้เขาต้องมาเสียเงินถึงห้าล้าน คืนนี้กลับไปเธอต้องแย่แน่ๆ
เธอมองไปที่หนานกงเฉิน คงมีแต่เธอมั้งที่มองออกว่ารอยยิ้มของเขาแฝงด้วยความโมโหมากมาย
“ห้าล้าน?” กว่าผู้อำนวยการเหอจะได้สติก็พักใหญ่ จ้องมองไปที่หนานกงเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
ห้าหมื่นอาจดูน้อยไปสำหรับถานะระดับเขา แต่ห้าล้านมันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ?
“ใช่ครับ ห้าล้าน พรุ่งนี้จะให้ผู้ช่วยดำเนินการเรื่องนี้ให้” หนานกงเฉินพูดเสร็จก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่ไป๋มู่ชิง แล้วหันมาพูดกับผู้อำนวยการเหอ: “ดึกมากแล้ว พวกเราไม่รบกวนท่านผอ.เหอแล้วนะครับ”
“ไม่รบกวนไม่รบกวนเลย……” ผู้อำนวยการเหอรีบพูดขึ้น: “ดิฉันพาพวกคุณทั้งสองออกไปดีกว่าค่ะ”
ระหว่างที่พาพวกเขาออกมาเธอก็ยังกล่าวขอบคุณเขาทั้งสองไม่หยุด จนกระทั้งรถได้ขับออกไปจากประตูบ้านเด็กกำพร้า
คุณชายเฉิน รอก่อน ซูซี่วิ่งออกมาจากห้องขวางเขาไว้ : “ฉันนึกออกแล้ว ไป๋มู่ชิงน่าจะไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉิงเป่ยค่ะ”
หนานกงเฉินขมวดคิ้วถาม: “ไปทำอะไรที่บ้านเด็กกำพร้า?”
“น่าจะเบื่องานเลี้ยงน่ะ” ซูซี่ตอบ “คุณก็รู้ว่ามู่ชิงเป็นคนชอบเด็ก ขี้ใจอ่อน ยิ่งเป็นเด็กในบ้านเด็กกำพร้ายิ่งแล้วใหญ่”
“ชอบเด็กเหรอ?” หนานกงเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดเย้ย
ซูซี่พยักหน้า : “ใช่สิ………”
เธอยังไม่ทันพูดจบ หนานกงเฉินก็เหยียบคันเร่งขับรถออกจากบ้านตระกูลเฉียวแล้ว
ซูซี่ยืนมองรถจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจแล้วเตรียมกลับเข้าบ้าน พอหันมาก็พบว่าเฉียวซือเหิงมายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“อาลัยอาวรณ์ขนาดนี้เลยเหรอ?” เฉียวซือเหิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ซูซี่ปรายตายมองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะทำหน้าไม่สนใจเดินเฉียดตัวเขาเข้าบ้านไป
ไป๋มู่ชิงรอจนเจ้าหน้าที่เดินออกไปเอาน้ำให้เธอ ก่อนจะรีบใช้กรรไกรตัดผมเด็กทารถเล็กน้อยแล้วเอากระทิชชู่ห่อไว้ ขณะที่เธอกำลังจะวางกรรไกรลงในกล่อง ก็ได้ยินเสียงเดินของเจ้าหน้าที่ดังมาจากทางประตูพอดี
เธอหันกลับมารับน้ำจากเจ้าหน้าที่พร้อมกล่าวขอบคุณ
ตามด้วยเจ้าหน้าที่อีกคนก็เดินเข้ามาและพูดกับไป๋มู่ชิงว่า:”นายหญิงน้อย คุณชายเฉินมารับค่ะ ท่านให้นายหญิงลงไปข้างล่างค่ะ”
“คุณชายเฉิน?” ไป๋มู่ชิงตกใจ รีบยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา จะสามทุ่มแล้ว งานเลี้ยงบ้านตระกูลเฉียวก็น่าจะใกล้เลิกแล้ว!
ว่าแต่ทำไมหนานกงเฉินถึงรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วนี่ยังมารับอีก
เธอไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ก็รีบเดินตามเจ้าหน้าที่ลงไปด้านล่าง เธอได้ยินเสียงผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าพูดด้วยน้ำเสียงยินดีและนอบน้อมแว่วมาไกลๆ: “เดี๋ยวนี้องค์กรที่ใจดีเช่นนี้มีน้อยนัก ดิฉันต้องขอบคุณแทนเด็กบ้านเด็กกำพร้าเป็นอย่างมากค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ….”
ไป๋มู่ชิงได้ยินดังนั้นก็หน้าชาไปหมด เมื่อกี้เธอแค่ต้องการหาทางเข้ามาดูเด็ก จึงได้อ้างไปว่าหนานกงกรุ๊ปต้องการบริจาคเงินให้บ้านเด็กกำพร้า แต่มันไม่ใช่เรื่องจริงนะ!
เธอไม่กล้าก้าวออกไป สองมือเกาะผนังไว้ค่อยๆยื่นหน้าออกไปมอง เห็นสีหน้าหนานกงเฉินดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เจอผู้อำนวยการพูดแบบนี้เข้าเขาจะไม่บริจาคก็ไม่ได้แล้ว องค์กรใหญ่ขนาดนี้บริจาคน้อยก็จะดูไม่ดี บริจาคมากก็……
งานนี้ เขาถูกเข้าใจผิด เธอเป็นคนทำให้เขาถูกเข้าใจผิดเอง
เธอไม่รู้จะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง จนพบกับสายตาหนานกงเฉินที่มองมา เธอตกใจจนรีบหดตัวกลับ
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าจะหลบแบบนี้ไปตลอดก็ไม่ได้ เธอจึงทำใจกล้าเดินออกมาพร้อมยิ้มกว้างไปหาผู้อำนวยการ: “ผอ.เหอคะ เมื่อกี้ฉันเข้าไปดูเด็กๆเห็นว่าเตียงเด็กๆเก่ามากแล้ว พวกเราตัดสินใจบริจาคเงินห้าหมื่นซื้อเตียงใหม่ให้เด็กๆผอ.ว่าดีมั้ยคะ?”
ผู้อำนวยการมองมาที่เธออย่างแปลกใจ ก่อนพูดเบาอย่างไม่รู้ตัว : “ห้าหมื่น?”
ใช่ค่ะ ประเมินว่าน่าจะห้าหมื่นพอมั้ยคะ ไป๋มู่ชิงปรายตามองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง นึกในใจห้าหมื่นสำรับเขาแล้วเล็กน้อยมากๆแล้ว
ผู้อำนวยการอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติจึงรีบยิ้มพยักหน้าตอบ: “พอค่ะ ห้าหมื่นพอที่จะซื้อเตียงนอนให้เด็กๆแล้วค่ะ ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ”
เงินห้าหมื่นสำหรับหนานกงกรุ๊ปแล้วมันอาจจะดูน้อยมาก แต่สำหรับบ้านเด็กกำพร้าแล้วมันเป็นเงินก้อนใหญ่เลยล่ะ หลังจากตกใจไปเล็กน้อยผู้อำนวยการก็กลับมายิ้มดีใจอีกครั้ง
“ผอ.เหอ คุณฟังผิดแล้ว คือห้าล้าน ไม่ใช่ห้าหมื่น” หนานกงเฉินพูดขึ้น
ทำเอาทุกคนที่ยืนอยู่ตกใจกันใหญ่ รวมทั้งไป๋มู่ชิงด้วย ขณะที่เธอรู้สึกตกใจก็รู้สึกผิดปนไปด้วย เป็นเพราะเธอพูดอ้างแบบนั้น เลยทำให้เขาต้องมาเสียเงินถึงห้าล้าน คืนนี้กลับไปเธอต้องแย่แน่ๆ
เธอมองไปที่หนานกงเฉิน คงมีแต่เธอมั้งที่มองออกว่ารอยยิ้มของเขาแฝงด้วยความโมโหมากมาย
“ห้าล้าน?” กว่าผู้อำนวยการเหอจะได้สติก็พักใหญ่ จ้องมองไปที่หนานกงเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
ห้าหมื่นอาจดูน้อยไปสำหรับถานะระดับเขา แต่ห้าล้านมันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ?
“ใช่ครับ ห้าล้าน พรุ่งนี้จะให้ผู้ช่วยดำเนินการเรื่องนี้ให้” หนานกงเฉินพูดเสร็จก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่ไป๋มู่ชิง แล้วหันมาพูดกับผู้อำนวยการเหอ: “ดึกมากแล้ว พวกเราไม่รบกวนท่านผอ.เหอแล้วนะครับ”
“ไม่รบกวนไม่รบกวนเลย……” ผู้อำนวยการเหอรีบพูดขึ้น: “ดิฉันพาพวกคุณทั้งสองออกไปดีกว่าค่ะ”
ระหว่างที่พาพวกเขาออกมาเธอก็ยังกล่าวขอบคุณเขาทั้งสองไม่หยุด จนกระทั้งรถได้ขับออกไปจากประตูบ้านเด็กกำพร้า
มืออีกข้างของหนานกงเฉินยกขึ้นประคองเธออีกครั้ง เขาหัวเราะเยาะเธอข้างหู: “เธอเป็นคนเข้าหาฉันเอง ขอเตือนก่อนนะอย่ากอดฉันแรงมาก ไม่งั้น…….”
เธอรู้สึกได้ถึงความขึงขังของเขา ไป๋มู่ชิงเริ่มรู้สึกทั้งกลัวและหวาดหวั่น เธอเริ่มทุบตีไหล่เขาเป็นการประท้วง: “หนานกงเฉินคุณจะทำอะไร? ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนรวมเดี๋ยวจะมีคนเข้ามาเห็นเข้านะ…….”
“เห็นแล้วยังไง? มีใครไม่รู้บ้างว่าเธอเป็นผู้หญิงลับๆที่ฉันเลี้ยงไว้” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่แยแส
ไป๋มู่ชิงหายใจเข้าลึกๆ ถึงว่าป้าใบ้และพี่ยามคนนั้นถึงได้มองเธอด้วยสายตาดูถูกแบบนั้น ที่แท้เขาก็ตีค่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงลับๆที่น่าอัปยศอดสูคนหนึ่งของเขานั้นเอง
ขณะที่เธอต้องยอมกับความเอาแต่ใจของเขา ในหัวก็ยังคิดฟุ้งซ่านไปด้วย แล้วยังต้องคอยทรงตัวไม่ให้ตกลงไปชั้นล่างอีก
ยังดีที่หนานกงเฉินไม่ได้ทรมานเธอนานนัก เขาอุ้มเธอลงจากราวบันไดตรงไปยันห้องนอนชั้นสองแทน
เมื่อหลังเธอแตะกับที่นอนนุ่มๆเธอก็ถอนหายใจโล่งอก เธอนอนระทวยอยู่บนเตียงและหยุดดิ้นรนขัดขืน ปล่อยให้หนานกงเฉินใช้ร่างกายเธอเป็นที่ระบายอย่างเต็มที่
ผ่านไปพักใหญ่ หนานกงเฉินที่เอิ่มสุขสมก็พลิกตัวลงจากเตียง ก่อนจะหันมามองเธอที่เสื้อผ้ายับยู่ยี่บนเตียง ริมฝีปากเขายกขึ้นยิ้มยัน
เขาหมุนตัวเข้าห้องน้ำไป ในห้องน้ำมีเสียงน้ำไหลดังขึ้น
ไป๋มู่ชิงอยากลุกขึ้นจากเตียงนอน แต่พบว่าไม่มีแม้แต่เรียวแรง
เธอนิ่งพักชั่วครู่จึงลุกลงจากเตียง และดึงกระโปรงที่ถูกเขาถกขึ้นไปกองอยู่บนอกลงมา จัดผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เมื่อกลับมาถึงห้องนอนตัวเอง ไป๋มู่ชิงก็เปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำจนเต็ม แล้วถอดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ออก ก่อนจะลงไปนอนแช่ในอ่าง
น้ำอุ่นทำให้รู้สึกดี หลังแช่น้ำอุ่นเธอก็รู้สึกว่าสบายขึ้นมาก และความดึงเครียดที่มีมาตลอดวันก็รู้สึกผ่อนคลายลง
ตอนอยู่บ้านตระกูลเฉียวเธอมัวแต่ถามเรื่องลูกจนแทบไม่ได้กินอะไร แม้แต่น้ำก็แทบไม่ได้ดื่ม ตอนนี้จึงรู้สึกหิวมาก เธอดูเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ไม่น่าล่ะถึงได้รู้สึกหิวขนาดนี้
ไป๋มู่ชิงลงมาหาอะไรกินชั้นล่าง รื้อหาของกินในตู้เย็นแล้วมีแต่หมี่และไข่ที่พอทำกินได้ เธอจึงต้มหมี่ใส่ไข่กิน ขณะเดียวกันก็ต้มเผื่อหนานกงเฉินด้วยถ้วยหนึ่ง
เธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินนอนหรือยัง และไม่รู้ว่าเขาจะหิวมั้ย พอต้มเสร็จเธอก็ยกไปให้เขาที่ห้องนอน
เธอแนบหูตรงบานประตู แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรในห้อง เธอจึงค่อยๆผลักบานประตูออก ชะโงกหน้าเข้าสำรวจไปอย่างเงียบเชียบ
พอเธอเห็นหนานกงเฉินที่นอนค่ำอยู่กับพื้นห้อง เธอก็รีบวางถ้วยหมี่ลงบนพื้น แล้วเดินเข้าไปหาเขาทันที
“คุณชายใหญ่ คุณเป็นอะไร?” เธอนั่งคุกเข่ากับพื้นพยายามจะประคองเขาลุกขึ้น ขณะเดียวกันก็สังเกตดูลมหายใจของเขา พอเห็นว่าเขาอ้วกเป็นเลือดด้วยเธอยิ่งตกใจไปใหญ่
เธอจำได้ว่าครั้งก่อนเขาอ้วกเป็นเลือดก็หลังจากที่ดื่มเหล้าและหลังจากมีกิจกรรมเรื่องอย่างว่า เมื่อคืนเขาก็ดื่มจนเมา มาวันนี้ไปงานเลี้ยงวันเกิดคุณนายเฉียวก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องดื่มอีก
ถึงจะไม่เมา แต่สำหรับเขาแล้วมันมีผลกระทบกับร่างกายเขามาก
เธอประคองเขาลุกขึ้นไม่ไหว จึงรีบถามขึ้น “คุณชายใหญ่ คุณมียามั้ย? ยาอยู่ตรงไหน?”
หนานกงเฉินทำแค่เพียงงอตัวและยื่นมือคว้าไปกลางอากาศ จนคว้าโดนแขนเธอพอดี มือเขากำแรงมากจนเธอรู้สึกเหมือนแขนเธอจะแหลก
เธอทนความรู้สึกเจ็บปวดตรงแขน ไปพิงหัวกับตู้ลิ้นชักบนหัวเตียง แล้วลองดึงลิ้นชักออก เธอจำได้ว่าปกติหนานกงเฉินมักจะเอายาเก็บไว้ในตู้ลิ้นชักบนหัวเตียง
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอเห็นเม็ดยาที่คุ้นชินอยู่ในนั้น
เธอรีบเอาขวดยาออกมาแล้วใช้ปากกัดฝาขวดหมุนออกก่อนจะเทเม็ดยาออกมา
“คุณชายใหญ่ กินยาเร็วค่ะ ” เธอพยุงหนานกงเฉินลุกมานั่งบนตักเธอ
คุณชายเฉิน รอก่อน ซูซี่วิ่งออกมาจากห้องขวางเขาไว้ : “ฉันนึกออกแล้ว ไป๋มู่ชิงน่าจะไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉิงเป่ยค่ะ”
หนานกงเฉินขมวดคิ้วถาม: “ไปทำอะไรที่บ้านเด็กกำพร้า?”
“น่าจะเบื่องานเลี้ยงน่ะ” ซูซี่ตอบ “คุณก็รู้ว่ามู่ชิงเป็นคนชอบเด็ก ขี้ใจอ่อน ยิ่งเป็นเด็กในบ้านเด็กกำพร้ายิ่งแล้วใหญ่”
“ชอบเด็กเหรอ?” หนานกงเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดเย้ย
ซูซี่พยักหน้า : “ใช่สิ………”
เธอยังไม่ทันพูดจบ หนานกงเฉินก็เหยียบคันเร่งขับรถออกจากบ้านตระกูลเฉียวแล้ว
ซูซี่ยืนมองรถจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจแล้วเตรียมกลับเข้าบ้าน พอหันมาก็พบว่าเฉียวซือเหิงมายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“อาลัยอาวรณ์ขนาดนี้เลยเหรอ?” เฉียวซือเหิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ซูซี่ปรายตายมองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะทำหน้าไม่สนใจเดินเฉียดตัวเขาเข้าบ้านไป
ไป๋มู่ชิงรอจนเจ้าหน้าที่เดินออกไปเอาน้ำให้เธอ ก่อนจะรีบใช้กรรไกรตัดผมเด็กทารถเล็กน้อยแล้วเอากระทิชชู่ห่อไว้ ขณะที่เธอกำลังจะวางกรรไกรลงในกล่อง ก็ได้ยินเสียงเดินของเจ้าหน้าที่ดังมาจากทางประตูพอดี
เธอหันกลับมารับน้ำจากเจ้าหน้าที่พร้อมกล่าวขอบคุณ
ตามด้วยเจ้าหน้าที่อีกคนก็เดินเข้ามาและพูดกับไป๋มู่ชิงว่า:”นายหญิงน้อย คุณชายเฉินมารับค่ะ ท่านให้นายหญิงลงไปข้างล่างค่ะ”
“คุณชายเฉิน?” ไป๋มู่ชิงตกใจ รีบยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา จะสามทุ่มแล้ว งานเลี้ยงบ้านตระกูลเฉียวก็น่าจะใกล้เลิกแล้ว!
ว่าแต่ทำไมหนานกงเฉินถึงรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วนี่ยังมารับอีก
เธอไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ก็รีบเดินตามเจ้าหน้าที่ลงไปด้านล่าง เธอได้ยินเสียงผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าพูดด้วยน้ำเสียงยินดีและนอบน้อมแว่วมาไกลๆ: “เดี๋ยวนี้องค์กรที่ใจดีเช่นนี้มีน้อยนัก ดิฉันต้องขอบคุณแทนเด็กบ้านเด็กกำพร้าเป็นอย่างมากค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ….”
ไป๋มู่ชิงได้ยินดังนั้นก็หน้าชาไปหมด เมื่อกี้เธอแค่ต้องการหาทางเข้ามาดูเด็ก จึงได้อ้างไปว่าหนานกงกรุ๊ปต้องการบริจาคเงินให้บ้านเด็กกำพร้า แต่มันไม่ใช่เรื่องจริงนะ!
เธอไม่กล้าก้าวออกไป สองมือเกาะผนังไว้ค่อยๆยื่นหน้าออกไปมอง เห็นสีหน้าหนานกงเฉินดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เจอผู้อำนวยการพูดแบบนี้เข้าเขาจะไม่บริจาคก็ไม่ได้แล้ว องค์กรใหญ่ขนาดนี้บริจาคน้อยก็จะดูไม่ดี บริจาคมากก็……
งานนี้ เขาถูกเข้าใจผิด เธอเป็นคนทำให้เขาถูกเข้าใจผิดเอง
เธอไม่รู้จะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง จนพบกับสายตาหนานกงเฉินที่มองมา เธอตกใจจนรีบหดตัวกลับ
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าจะหลบแบบนี้ไปตลอดก็ไม่ได้ เธอจึงทำใจกล้าเดินออกมาพร้อมยิ้มกว้างไปหาผู้อำนวยการ: “ผอ.เหอคะ เมื่อกี้ฉันเข้าไปดูเด็กๆเห็นว่าเตียงเด็กๆเก่ามากแล้ว พวกเราตัดสินใจบริจาคเงินห้าหมื่นซื้อเตียงใหม่ให้เด็กๆผอ.ว่าดีมั้ยคะ?”
ผู้อำนวยการมองมาที่เธออย่างแปลกใจ ก่อนพูดเบาอย่างไม่รู้ตัว : “ห้าหมื่น?”
ใช่ค่ะ ประเมินว่าน่าจะห้าหมื่นพอมั้ยคะ ไป๋มู่ชิงปรายตามองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง นึกในใจห้าหมื่นสำรับเขาแล้วเล็กน้อยมากๆแล้ว
ผู้อำนวยการอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติจึงรีบยิ้มพยักหน้าตอบ: “พอค่ะ ห้าหมื่นพอที่จะซื้อเตียงนอนให้เด็กๆแล้วค่ะ ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ”
เงินห้าหมื่นสำหรับหนานกงกรุ๊ปแล้วมันอาจจะดูน้อยมาก แต่สำหรับบ้านเด็กกำพร้าแล้วมันเป็นเงินก้อนใหญ่เลยล่ะ หลังจากตกใจไปเล็กน้อยผู้อำนวยการก็กลับมายิ้มดีใจอีกครั้ง
“ผอ.เหอ คุณฟังผิดแล้ว คือห้าล้าน ไม่ใช่ห้าหมื่น” หนานกงเฉินพูดขึ้น
ทำเอาทุกคนที่ยืนอยู่ตกใจกันใหญ่ รวมทั้งไป๋มู่ชิงด้วย ขณะที่เธอรู้สึกตกใจก็รู้สึกผิดปนไปด้วย เป็นเพราะเธอพูดอ้างแบบนั้น เลยทำให้เขาต้องมาเสียเงินถึงห้าล้าน คืนนี้กลับไปเธอต้องแย่แน่ๆ
เธอมองไปที่หนานกงเฉิน คงมีแต่เธอมั้งที่มองออกว่ารอยยิ้มของเขาแฝงด้วยความโมโหมากมาย
“ห้าล้าน?” กว่าผู้อำนวยการเหอจะได้สติก็พักใหญ่ จ้องมองไปที่หนานกงเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
ห้าหมื่นอาจดูน้อยไปสำหรับถานะระดับเขา แต่ห้าล้านมันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ?
“ใช่ครับ ห้าล้าน พรุ่งนี้จะให้ผู้ช่วยดำเนินการเรื่องนี้ให้” หนานกงเฉินพูดเสร็จก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่ไป๋มู่ชิง แล้วหันมาพูดกับผู้อำนวยการเหอ: “ดึกมากแล้ว พวกเราไม่รบกวนท่านผอ.เหอแล้วนะครับ”
“ไม่รบกวนไม่รบกวนเลย……” ผู้อำนวยการเหอรีบพูดขึ้น: “ดิฉันพาพวกคุณทั้งสองออกไปดีกว่าค่ะ”
ระหว่างที่พาพวกเขาออกมาเธอก็ยังกล่าวขอบคุณเขาทั้งสองไม่หยุด จนกระทั้งรถได้ขับออกไปจากประตูบ้านเด็กกำพร้า