เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 154 คนรักฟ้าลิขิต

“ผู้หญิงของฉันเยอะขนาดนั้น ฉันลืมไปแล้วละ” หนานกงเฉินยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอ : “เธอทนพักไปก่อนเถอะ ถ้าคิดว่ามันขัดหูขัดตาก็ทิ้งของที่เป็นของเขาทิ้งไปให้หมดซะ”
“คุณพูดเองนะ งั้นฉันจะโยนทิ้งจริง ๆ นะ” ไป๋มู่ชิงพูดพร้อมกัดฟันกรอบ น่าเกลียดจริง ๆ เลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับว่าผู้หญิงของตนเยอะมากได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้ ?
“อืม” หนานกงเฉินพยักหน้า แล้วกล่าวว่า : “รีบไปล้างหน้าเถอะ ล้างเสร็จแล้วก็ลงไปกินข้าวเช้า”
พูดจบ เขาก็ได้หันหลังแล้วเดินลงชั้นล่างนำไปก่อน
หลังจากที่หนานกงเฉินไปแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงเดินไปเดินมาในห้องอย่างกระส่ายกระสับ
ครั้งก่อนช่วงเวลาที่เธอเคยถูกขังอยู่ที่นี่ เธอกลัดกลุ้มใจจนผมจะขาวโพลนหมดแล้ว ไม่มีอารมณ์ไปคิดเรื่องอื่นเลย ยิ่งไม่มีอารมณ์ไปคิดว่าภายในห้องนี้เคยมีใครมาพักอยู่ก่อนหน้าหรือไม่ด้วย
ห้องนอนที่เธอพักอยู่นั้นเป็นห้องนอนรับแขกชั้นสาม ส่วนห้องนอนใหญ่อยู่ตรงข้ามกับห้องที่เธอพักอยู่ และเธออาศัยอยู่ที่นี่มานานมากกลับไม่เคยก้าวเข้าไปในห้องนั้นเลย
ข้าง ๆ ห้องนอนใหญ่คือห้องเสื้อผ้าขนาดกว้างขวาง เธอเคยเข้าไปหนึ่งครั้งเมื่อก่อนหน้านี้ คราวนี้เมื่อเดินเข้าไปแล้วมองสำรวจเสื้อผ้าที่อยู่ด้านในอีกครั้ง ทันใดนั้นในใจของเธอก็มีความรู้สึกแปลก ๆ แปลบเข้ามา
นี่คือความริษยาหรือ ? น่าจะแหละ !
เธอกวาดสายตามองเสื้อผ้าหลากสีสัน เป็นชุดตามฤดูกาลและหลากหลายรุ่นที่มีดีไซน์มากมายยิ่งกว่าร้านเสื้อผ้าแบรนด์แนมเสียอีก ครั้นเมื่อคิดถึงว่าชุดทั้งหมดนี้คือที่สามีตนซื้อให้กับผู้หญิงคนอื่นแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหนก็ไม่มีทางสบายใจทั้งนั้น
ไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นจะอยู่ที่ไหนกันนะ ? ยังติดต่อกับหนานกงเฉินอยู่หรือเปล่า ?
น่าจะมีติดต่อกันบ้างใช่ไหม ? ไม่เช่นนั้นทำไมเขาถึงต้องเก็บของที่เป็นของเธอเอาไว้ทั้งหมดเช่นนี้ด้วย ?
ไป๋มู่ชิงกวาดเสื้อผ้าเบื้องหน้าลงบนพื้นทั้งหมด จากนั้นก็เอายัดใส่ถุงที่เตรียมเอาไว้แล้ว ทว่าหลังจากที่เธอนำชุดทั้งหมดยัดใส่ถุงขยะแล้ว สุดท้ายกลับตัดใจเผาชุดเหล่านี้ไม่ลงอยู่ดี เสื้อผ้าสุดแสนจะแพงเช่นนี้หากเผาทิ้งเสียเลยมันน่าเสียดายแย่ เธอทำไม่ลงจริง ๆ !
ถูกต้อง เธอเป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้แหละ !
สุดท้าย เธอจึงแขวนเรียงเสื้อผ้าพวกนั้นกลับเข้าที่เดิมทีละชุดราวกับคนสติไม่ดี
ส่วนประตูอีกหนึ่งบานของห้องเสื้อผ้านั้นเชื่อมกับห้องนอนใหญ่อยู่ ไป๋มู่ชิงยืนอยู่ด้านหลังของประตู เธอยื่นมือไปจับด้ามประตูแล้วบิดลง ทว่าอยู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่าการที่เธอทำเช่นนี้มันไร้ประโยชน์สิ้นดี หากผู้หญิงคนนั้นอยู่ในก้นบึ้งส่วนจิตใจของหนานกงเฉิน แม้ว่าตัวเธอจะระเบิดห้องเสื้อผ้านี้ไปก็ไร้ประโยชน์ และหากเธอผู้นั้นเป็นคนรักเก่าสักคนของหนานกงเฉินจริง ๆ เช่นนั้นแม้เขาจะเก็บของเหล่านี้ไว้ตลอดชีวิต ก็เป็นเพียงเรื่องอดีตที่ผ่านไปแล้วเท่านั้นแอง
หลังจากที่คิดได้ดังนั้น ไป๋มู่ชิงจึงขี้เกียจคิดมากแล้ว เธอหันหลังและออกไปจากห้องเสื้อผ้าทันที
ขณะที่พักอยู่ในคฤหาสน์หลังเล็ก ไป๋มู่ชิงกลับเข้าสู่วันเวลาสุดแทนน่าเบื่อที่ทุกวันนอกจากดูโทรทัศน์ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นนั้นอีก ทว่าคราวนี้โชคดีที่หนานกงเฉินไม่ได้ตัดสายสัญญาณโทรศัพท์ทิ้ง หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาไม่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโลกภายนอกอย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว
ตั้งแต่ที่เธอมาพักที่คฤหาสน์หลังเล็ก หนานกงเฉินจะกลับมาที่นี่แทบทุกคืน จากนั้นก็จะทรมานเธอหนึ่งยก หรือพูดอย่างสวยหรูได้ว่าเขาตั้งใจอยากทำให้เธอตั้งครรภ์เร็ว ๆ เพื่อลบล้างคำดูหมิ่น
เธอไม่กล้าคาดหวังการลบล้างคำดูหมิ่นนั้นแต่อย่างใด ถึงอย่างไรเธอก็ทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าในใจของคุณผู้หญิงนอกจากเธอจะเป็นเครื่องมือคลอดลูกแล้ว ก็เทียบไม่ได้แม้แต่คนใช้เลย น่าจะสืบเนื่องจากเธอไม่ใช่คนรักฟ้าลิขิตของหนานกงเฉินเหมือนอย่างในตำนานนั่นแหละ
วันนี้ไป๋มู่ชิงตื่นนอนมาช่วงบ่าย จากนั้นคนรับใช้ใหม่ที่ชื่อเสี่ยวหยวนขึ้นมาบอกเธอว่าคุณผู้หญิงมาที่นี่
เมื่อได้ยินชื่อคุณผู้หญิง ไป๋มู่ชิงลืมความง่วงไปทันที จากนั้นเธอจึงจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วลงไปชั้นล่าง
เธอกวาดสายตามองไปด้านนอกประตูพบว่าฝนกำลังตกอยู่ คิดไม่ถึงว่าคุณผู้หญิงจะถ่อมาถึงที่นี่ได้ มันคือเรื่องอะไรกันแน่ที่ทำให้เธอมาหาอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ?
แม้จะไม่ชอบนิสัยของคุณผู้หญิงก็ตาม ทว่าเพื่อหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงทำได้เพียงอดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกทุกประการเอาไว้ก่อน จากนั้นก็กล่าวทักทายเธอไปอย่างสุภาพ : “คุณย่า มาได้ยังไงคะเนี่ย ?”
คุณผู้หญิงถือแก้วน้ำชาอยู่ในมือ เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตจ้องหน้าไป๋มู่ชิง หลังจากผ่านมาชั่วครู่ก็ได้หัวเราะขึ้นอย่างเย้ยหยัน : “ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ เลย ทั้งที่คืนนั้นเธอพูดอย่างเย่อหยิ่งว่าจะออกไปจากตระกูลหนานกงแล้วแท้ ๆ ที่แท้ก็คือออกมาจากคฤหาสน์หลังเก่าเพื่อมาที่นี่นี่เอง”
“คุณชายใหญ่พาฉันมาที่นี่ค่ะ” ไป๋มู่ชิงบอกไปตามความเป็นจริง
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อเหรอ ? ก็ใช้ชีวิตอย่างนี้ต่อไปงั้นเหรอ ?”
“คุณย่าคะ ฉันเชื่อฟังคุณชายใหญ่ทุกอย่าง ถ้าเขาปริปากบอกว่าจะหย่ากับฉัน ฉันไม่ปฏิเสธแน่นอนค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดยกปัญหาให้หนานกงเฉินพร้อมฉีกยิ้มขึ้นมา ทำให้คุณผู้หญิงพูดไม่ออก
คุณผู้หญิงไร้คำพูด ผ่านมาชั่วครู่จึงได้กล่าวด้วยความโมโห : “เธอคิดว่าการที่ตัวเองมีหน้าตาเหมือนนังชั่วนั่น แล้วจะทำให้เฉินหลงไปได้ตลอดงั้นเหรอ ? ฝันไปเถอะ !”
คุณผู้หญิงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ถ้าหากไม่เป็นเพราะไป๋มู่ชิง หนานกงเฉินคงไม่คัดค้านที่จะไปตามหาคนรักฟ้าลิขิตของเขา และคงไม่โกหกว่าเธอผู้นั้นได้ตายไปแล้วเพื่อเป็นการเพิกเฉยต่อความต้องการของตนเช่นนี้หรอก
ครั้นคำพูดนี้ของคุณผู้หญิง กลับทำให้ไป๋มู่ชิงจุกแน่นอยู่ในใจ เธอไม่ทราบมาก่อนว่าการที่หนานกงเฉินดีกับเธอนั้นเป็นเพราะเธอมีหน้าตาที่คล้ายกับคุณหนูจู
เธอเคยเห็นรูปถ่ายของคุณหนูจูผู้นั้น ครั้นไม่ได้รู้สึกเลยว่าตนเหมือนเธอตรงไหน หรือเป็นเพราะตนมองไม่ออกงั้นหรือ ?
“คุณย่า ที่ท่านมาวันนี้ เป็นเพราะดูหมิ่นฉันในคืนนั้นยังไม่สะใจพอ ก็เลยมาเสริมในวันนี้เหรอคะ ?” เธอพูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ
กิริยาเช่นนี้ของเธอทำให้คุณผู้หญิงไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่ง พี่เหอจึงรีบปลอบประโยน : “คุณผู้หญิงคะ อย่าเพิ่งโกรธนะคะ พูดกันดี ๆ เถอะนะคะ”
คุณผู้หญิงระงับความโกรธในใจของตนลง น้ำเสียงที่เปล่งออกมามีความนุ่มนวลลงบ้าง : “ฉันจะพูดตามความจริงให้เธอฟังก็แล้วกันนะ ฉันไม่ค้านที่เธอจะคบกับเฉินหรอกนะ แต่ภรรยาของเขาห้ามเป็นเธอ”
ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองต่ำแล้วฟังอย่างเงียบสงบ ไม่พูดแทรก
คุณผู้หญิงจึงพูดต่อไป : “เธอรู้หรือเปล่าว่าครั้งที่แล้วที่เฉินอาการกำเริบเขาฟื้นตอนไหน ? ปกติขอแค่ฟ้าสว่างเขาก็ฟื้นแล้ว แต่ครั้งที่แล้วกลับเป็นสิบโมงเช้า แถมคุณหมอหวงเป็นคนใช้ยาช่วยปลุกเขาด้วยซ้ำ”
ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมมองคุณผู้หญิงด้วยความตกใจ
หนานกงเฉินไม่ได้บอกเธอเรื่องนี้แต่อย่างใด เธอไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดเขาจึงได้ฟื้นช้าเช่นนี้ มากไปกว่านั้นคือ เธอไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่คุณผู้หญิงบอกเธอเรื่องนี้เลย
“ตั้งแต่ที่เจอกับเธอ เฉินก็ล้มเลิกที่จะตามหาคนรักฟ้าลิขิต เขาคิดว่าเมื่อตนผ่านอายุ 30 ปีไปแล้วเคล็ดนี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าอาการป่วยของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงต้องตามเขา หรือมีความรู้สึกอันแท้จริงต่อเขาหรือไม่กันแน่ แต่ฉันหวังว่าเธอจะเห็นแก่ความเป็นความตายของเขา หวังดีกับเขา อย่าเป็นตัวถ่วงเขาเลย”
ไป๋มู่ชิงนิ่งเงียบไปเวลาชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น : “คุณย่า ฉันเข้าใจความหมายของคุณย่าแล้วค่ะ คุณย่าต้องการให้ฉันถอยออกเพื่อให้เขาตามหาคนรักฟ้าลิขิตใช่ไหมคะ ? ไม่ต้องห่วงนะคะ หลังจากเจอผู้หญิงคนนั้นแล้วอย่าลืมบอกฉันด้วยนะ ฉันจะละตำแหน่งนายหญิงน้อยตระกูลหนานกงให้กับเธอคนนั้นเอง ”
“เธอจะยอมให้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ?” คุณผู้หญิงหัวเราะในลำคอ : “ฉันรู้ เมื่อถึงเวลานั้นเธอยังจะพูดคำนั้นอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ ที่ว่าเชื่อฟังเฉินทุกอย่าง จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างหลังเฉินด้วยสีหน้าไร้เดียงสาน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วให้เฉินมาปรับความเข้าใจกับฉัน”
ไป๋มู่ชิงไร้คำพูดที่จะตอบโต้ อันที่จริงแล้วเธอไม่ทราบเหมือนกันว่าถึงตอนนั้นหนานกงเฉินจะยอมหย่าร้างกับเธอหรือไม่ และเรื่องที่หนานกงเฉินไม่ยินยอมนั้น ปกติแล้วก็จะยากมากที่จะมีใครสักคนมาบังคับเขาได้
หากหนานกงเฉินไม่ยินยอมแล้วเธอยังทำอะไรได้อีก ?
“คุณย่าคะ รอให้เจอคนนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่าค่ะ บางทีเมื่อถึงตอนนั้นคุณชายใหญ่อาจเบื่อฉันแล้ว และขอหย่ากับฉันเองก็ได้” เธอไม่สามารถที่จะตอบคุณผู้หญิงไปตรง ๆ ได้ จึงทำได้เพียงพูดเช่นนั้นออกไป
อยู่ ๆ พี่เหอที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น : “นายหญิงน้อยคะ คุณผู้หญิงได้เบาะแสแล้วค่ะ คาดว่าอีกไม่นานคงเจอตัวผู้หญิงคนนั้นค่ะ”
ได้เบาะแสแล้วงั้นหรือ ? เร็วเช่นนี้เลย ?
อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ รู้สึกแย่เต็มทน
คนรักที่ถือว่าเป็นผู้ที่โชคชะตาลิขิตของหนานกงเฉินจะปรากฏตัวแล้วงั้นหรือ ? ถึงเวลานั้นหนานกงเฉินคงต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นแน่นอนเลย ก็คล้ายกับทั้งเจ็ดคนก่อนหน้า
“อีกอย่างครั้งนี้จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน” พี่เหอพูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค : “เพราะฉะนั้นคุณผู้หญิงถึงได้หวังว่า เมื่อถึงตอนนั้นคุณจะให้ความร่วมมือกับทุกคน ในการให้คุณชายใหญ่แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเข้าสู่วงศ์ตระกูลอย่างราบรื่นค่ะ”
“ได้” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าตัวแข็งทื่อคล้ายกับหุ่นยนต์อย่างไรอย่างนั้น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของหนานกงเฉิน เธอมีสิทธิ์เลือกด้วยหรือ ?
“ในเมื่อเธอยอมตอบตกลงแล้วก็ง่ายแล้วละ” คุณผู้หญิงยกแก้วน้ำชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก แล้วพูดว่า “ยิ่งอัน หลังจากเข้ามาในบ้านตระกูลหนานกงแล้ว เธอเองก็ลำบากมาไม่น้อย เพราะงั้นเธอไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่มีทางเอาเปรียบเธอหรอก เรื่องเงินเธอพูดมาได้ตามใจชอบเลย หลังจากได้เงินก้อนนี้ไปแล้วเธอไปอยู่ต่างประเทศจะต้องมีชีวิตดีกว่าตอนนี้อีกแน่นอน……”
“คุณจะให้ฉันไปอยู่ต่างประเทศเหรอ ?” เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินคำว่าไปอยู่ต่างประเทศ จึงได้ตัดบทเธอทันที
“ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ ? ยังมีวิธีอื่นด้วยเหรอ ?”
“ฉันไม่ไปอยู่ต่างประเทศ” ไป๋มู่ชิงพูดโดยไม่ต้องคิดเลยสักนิด
ไปอยู่ต่างประเทศงั้นหรือ ? ใครจะไปรู้ว่าไปแล้วจะเป็นเหมือนหกคนก่อนหน้าที่ตอนนี้ไม่เห็นแม้กระทั่งเงาหรือเปล่า ? เธอยังมีคนในครอบครัวที่ต้องดูแล และยังมีลูกสาวที่ต้องตามหาด้วย เธอจะไปอยู่ต่างประเทศได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไร ?
“ถ้างั้นความหมายของเธอคือปฏิเสธงั้นสิ ?”
“คุณย่าคะ คุณมีเงินแล้วจะมาบังคับขู่เข็นคนอื่นไม่ได้นะคะ สิ่งที่ฉันทำได้คือไม่ปฏิเสธการหย่า สำหรับว่าคุณชายเฉินจะคิดยังไงนั้นมันเป็นเรื่องของเขา แค่เขาพยักหน้าตกลง เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะออกไปจากตระกูลหนานกงโดยไม่เอาเงินไปสักแดงเลยก็ได้ค่ะ” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นยืนจากโซฟา แล้วพูดว่า : “ขอโทษนะคะ ฉันขอตัวก่อน”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ !” คุณผู้หญิงลุกขึ้นยืนจากโซฟาตามเธอ
ไป๋มู่ชิงจึงได้หยุดฝีเท้าของตน คุณผู้หญิงจ้องแผ่นหลังของเธอแล้วกัดฟันพูดว่า : “นี่เธอกำลังบังคับฉันอยู่นะ”
“คุณย่าจะทำกับฉันเหมือนหกคนก่อนหน้างั้นเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงหันหน้ากลับมาแล้วยิ้มให้กับคุณผู้หญิง : “ถ้าใช่ละก็ ถ้างั้นก็เชิญตามสบายเลยค่ะ บางทีนี่อาจเป็นวิธีที่ดีหนึ่งข้อก็ได้นะคะ”
วิธีการของคุณผู้หญิงจะปฏิบัติกับเธออย่างไรหรือ ? ลักพาตัวเธอไปที่ต่างประเทศ ? ใช้ให้คนขับรถชนเธอตาย……?ไป๋มู่ชิงเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เธอหันหลังกลับแล้วเดินมุ่งขึ้นชั้นบน
เมื่อเห็นเงาหลังของเธอหายไปจากชั้นสองแล้ว พี่เหอจึงได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า : “คุณผู้หญิงคะ นิสัยของนายหญิงน้อยก็ดื้อรั้นแบบนี้แหละค่ะ ต้องใช้ไม้อ่อน คุณจะใช้ไม้แข็งกับเธอไม่ได้นะคะ ไม่อย่างนั้นจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามค่ะ”
“ฉันต้องคุกเข่าขอร้องหล่อนหรือไง ?” คุณผู้หญิงพูดด้วยความโมโห
“ไม่ใช่ให้คุณไปคุกเข่าขอร้องเธอค่ะ นายหญิงน้อยไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผลเหมือนกัน บางทีการทำให้ซาบซึ้งใจและใช้เหตุผลในการพูดคุยกันจะเหมาะในการใช้กับคุณเขานะคะ”
คุณผู้หญิงหึในลำคอ เธอไม่เคยถูกคนนอกปฏิบัติด้วยอย่างต่ำต้อยเช่นนี้มาก่อนเลย จะใช้วิธีทำให้ซาบซึ้งใจและใช้เหตุผลในการพูดคุยกันได้อย่างไรกัน ?
ขณะที่หนานกงเฉินกลับมายังคฤหาสน์หลังเล็กตอนค่ำนั้น ไป๋มู่ชิงกำลังนอนหันหลังให้กับประตูอยู่พอดี
เขาหยุดที่ข้างประตู จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้ามาแล้วนั่งลงขอบเตียงเบื้องหลังเธอ แล้วตบหลังมือของเธอเบา ๆ : “หลับแล้วเหรอ ?”
ไป๋มู่ชิงไม่สนใจเขา ปิดตาแกล้งหลับต่อไป
“เลิกแกล้งทำได้แล้ว ฉันรู้ว่าเธอนอนไม่หลับ” หนานกงเฉินพูดขึ้น
ไป๋มู่ชิงเบิกตาขึ้น ทว่าไม่ได้หันหลังมาหาเขา หนานกงเฉินจึงถามขึ้น : “คุณย่ามาหาเธอเหรอ ?”
“คุณรู้เรื่องแล้ว ?” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นน้ำเสียงเฉื่อยชา
“รู้แล้ว” หนานกงเฉินพลิกตัวเธอมา จากนั้นก็โน้มตัวลงไปพรมจูบบนริมฝีปากของเธอ : “พูดมาซิ ท่านพูดอะไรกับเธอบ้าง ฉันจะได้แนะนำเธอ”
“ท่านต้องการให้ฉันหย่ากับคุณ” ไป๋มู่ชิงจ้องหน้าเขาด้วยอารมณ์โมโห ภายในดวงตาสะท้อนความโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด
หนานกงเฉินเดาออกแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ จึงพยักหน้าแล้วถามกลับ : “แล้วเธอล่ะ ? ตอบกลับท่านยังไงเหรอ ?”
“ฉันบอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณ”
“ทุกต้องที่สุด” หนานกงเฉินพรมจูบไปบนริมฝีปากของเธออีกครั้ง : “เรื่องหย่าฉันเป็นคนตัดสินใจเอง เธอไม่มีสิทธิ์พูด”
“ท่านยังบอกฉันมากล่อมให้คุณหย่ากับฉันด้วย” ไป๋มู่ชิงผลักใบหน้าของเขาออกไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในใจ อารมณ์ของเธอตอนนี้ดำดิ่งจนขีดสุด เขายังมีอารมณ์มาจูบเธออีกหรือไง อีกทั้งยังทำท่าทางที่ไม่เก็บมาใส่ใจอย่างไรอย่างนั้นด้วย
ทั้งที่เขาเป็นคนบังคับลากเธอเข้าสำนักกิจการพลเรือนเองแท้ ๆ ครั้นตอนนี้กลับกลายเป็นเธอที่กลัดกลุ้มใจเพียงคนเดียว
“เรื่องนี้เธอตอบกลับยังไงอีกเหรอ ?”
“ฉันบอกว่าฉันจะพยายาม”
หนานกงเฉินใช้ปลายนิ้วกดบนริมฝีปากของเธอ : “ได้เลย เธอพูดกล่อมสิ ฉันฟังอยู่”
“หนานกงเฉิน คุณให้ความสำคัญกับปัญหานี้สักหน่อยได้ไหม ?” ไป๋มู่ชิงผลักเขาออกด้วยอารมณ์ไม่พอใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งลงบนเตียงพร้อมจ้องหน้าเขาตาเขม็ง
สำหรับอารมณ์โมโหของเธอ หนานกงเฉินไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ฉันไม่ให้ความสำคัญตรงไหน ?”
“คุณย่าบอกว่าท่านเจอเบาะแสของคนรักฟ้าลิขิตของคุณคนนั้นแล้ว ไม่นานก็จะเจอตัวเธอแล้ว ให้ฉันให้ความร่วมมือในการยอมให้คุณแต่งงานกับเธอ” ไป๋มู่ชิงกัดฟันกรอบ : “หนานกงเฉิน คุณไม่ยอมปล่อยฉันไป แต่ฉันไม่ไปไม่ได้เหมือนกันนะ ที่คุณย่าพูดก็ถูกว่าเรื่องนี้มันสัมพันธ์ถึงความเป็นความตายของคุณ ถ้าฉันไม่ปล่อยมือก็เห็นได้ชัดว่าฉันไร้มนุษยธรรม ไม่สนใจความเป็นความตายของคุณ คุณจะให้ฉันทำยังไงฮะ ?”
ในที่สุดสีหน้าของหนานกงเฉินก็บึ้งตึงขึ้นมา คุณย่าเจอเบาะแสของคนรักฟ้าลิขิตแล้วงั้นหรือ ?
ผู้หญิงคนนั้นจากไปได้หลายปีแล้ว ไม่เคยโผล่หน้ามาเลย อยู่ ๆ ก็จะโผล่มาในเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร ?
ผ่านมาชั่วครู่ เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ : “สัมพันธ์ถึงความเป็นความตายของฉันงั้นเหรอ เธอเชื่อด้วย ?”
“ฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว ฉันไม่เคยเชื่อตำนานคนรักฟ้าลิขิตอะไรนั้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว !”
“งั้นก็สิ้นเรื่อง” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นร่าเริง : “เชื่อก็จะมี ไม่เชื่อก็จะไม่มี”
“แต่ว่าคุณย่าเชื่อนี่”
“เธอไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันกล่อมคุณย่าเอง”
ความเชื่อที่คุณผู้หญิงเชื่อมาตลอดหลายปี จะยอมประนีประนอมให้เพราะคำกล่อมของเขาแค่นี้ได้อย่างไร ? เป็นไปไม่ได้แน่นอน เรื่องนี้หนานกงเฉินทราบดี ไป๋มู่ชิงก็ทราบดีเช่นกัน
เธอจ้องหน้าเขา : “ทำไมไม่ยอมหย่ากับฉันสักที?”
หนานกงเฉินจ้องตาเธอกลับแล้วพูดว่า : “ถ้าฉันบอกว่าฉันชอบเธอ จะลดค่าของฉันหนานกงเฉินลงหรือเปล่า ?”
ไป๋มู่ชิงยิ้มเยาะส่งให้เขา : “เรื่องความรักทุกคนต่างก็เท่าเทียมกัน จะลดค่าลงได้ยังไงกัน อีกอย่างรักแรกพบเป็นอะไรที่บริสุทธิ์และลืมยากที่สุดแล้ว การที่คุณทุ่มเทได้แบบนี้ก็ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง”
“เธอกำลังพูดซี้ซั้วอะไรอยู่ ?”
“การที่คุณชอบฉัน ก็เป็นเพราะฉันหน้าตาคล้ายกับรักแรกพบคนนั้นของคุณไม่ใช่หรือไง” เมื่อคิดมาจนถึงเรื่องนี้ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ
แม้เธอจะต่ำต้อยแค่ไหน ก็ไม่ถึงกับไปเป็นตัวแทนของคนอื่นเขาเช่นนี้
“ใครเป็นคนบอกเธอ ?” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่หรือไง ? แม้คุณย่าก็ยังมองออกเลยว่าฉันเหมือนเธอ ทำไมคุณจะมองไม่ออก ? อีกอย่างคนที่ไม่มีอะไรดี หน้าตางั้น ๆ อย่างฉัน ทำไมคุณถึงจะชอบฉันได้ ? ”
“มองไม่ออกจริง ๆ ว่าเธอจะมีด้านที่ไม่มั่นใจในตัวเองแบบนี้ด้วย” หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบา ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจากขอบเตียง : “ก็จริงนะ คนอย่างเธอเนี่ยตรงไหนที่มันดึงดูดฉันกันแน่นะ ? แปลกใจจริง ๆ”
“หนานกงเฉินคุณล้อเล่นอีกแล้วนะ !” ไป๋มู่ชิงไร้คำพูด
“ฉันล้อเล่นตรงไหน ?”
“คุณไม่รีบคิดหาวิธีเลยสักนิด”
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าฉันจะจัดการเอง ? ถึงยังไงการหย่าหรือไม่หย่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับเธอ เธอไม่มีอะไรต้องคิดมากหรอก อยู่ข้างกายฉันอย่างว่าง่ายก็พอ”
“คุณพูดง่ายจังเลยนะ แต่คุณย่าจะคิดว่าที่ฉันไม่ยอมแยกจากคุณก็เพราะต้องการจะฮุบสมบัติตระกูลหนานกง จากนั้นก็ดูถูกเหยียดหยามฉันครั้งแล้วครั้งเล่า คุณไม่เคยเจอคนอื่นเหยียดหยามแบบฉันมาก่อน คุณไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าความรู้สึกแบบนี้มันแย่แค่ไหน” ไป๋มู่ชิงหยุดพูด รู้สึกแสบจมูกขึ้นมาทันที : “อีกอย่าง ฉันไม่เชื่อก็อยู่ส่วนหนึ่ง แต่ตำนานคนรักฟ้าลิขิตมันมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะทำลายความเชื่อทิ้งเพราะฉันไม่ได้หรอก”
“ถ้างั้นเธอต้องการอะไร ? เชื่อฟังคุณย่าแล้วหย่ากับฉันงั้นเหรอ ?”
“ฉัน……”
“ไป๋มู่ชิง……” หนานกงเฉินโน้มตัวไปจ้องหน้าเธอตาแข็งกร้าว : “ถ้าเธอมีใจให้ฉัน เธอจะคิดมากแบบนี้เหรอ ? จะพูดเรื่องหย่ากับฉันเพราะทนคำดูถูกเหยียดหยามคำสองคำของคุณย่าไม่ได้เหรอ ? จะต้องไม่หรอกใช่ไหม ? หรือพูดอีกแบบ ถ้าเปลี่ยนเป็นหลินอันหนาน เธอจะคิดแบบนี้ไหม ? ตอนนั้นเธอทิ้งลูกชายของตัวเองเพียงเพื่อจะได้อยู่กับเขา ไม่สนว่าจะทำร้ายฉัน ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะสลับตัวกับไป๋ยิ่งอัน”
“ทำไมคุณต้องพูดถึงหลินอันหนานอีก ?” ไป๋มู่ชิงโมโหจัด
“แล้วมันไม่ใช่หรือไง ? ความเด็ดขาดที่เธอสามารถเสียสละชีวิตเพื่อเขาในตอนนั้นไปไหนแล้ว ? เป็นเพราะเธอไม่ได้มีใจให้กับฉันไม่ใช่หรือไง ?”
“ไม่ใช่ !” ไป๋มู่ชิงส่ายหัว แล้วพูดขึ้นด้วยความโมโห : “ฉันเคยบอกแล้วไงว่าฉันไม่คิดอะไรกับเขาตั้งนานแล้ว ฉันไม่ได้สลับตัวกับไป๋ยิ่งอันเพื่อเขานะ ฉันถูกไป๋ยิ่งอันบังคับมาต่างหาก เพื่อเสี่ยวอี้ เพื่อแม่ฉัน……ฉันเคยรับปากและสาบานกับคุณแล้ว คุณจะให้ฉันทำยังไงคุณถึงจะยอมเชื่อฉันกันแน่ฮะ ?”
“ดี งั้นเธอบอกมาว่าเธอรักฉันสักนิดหรือเปล่า”
“ถ้าฉันไม่รักคุณสักนิด ฉันจะยอมให้คุณกักขังไว้แบบนี้หรือไง ? ฉันคงกัดลิ้นตัวเองตายไปแล้วฉัน……อื้อ……!” อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดบนริมฝีปากของตน เนื่องจากเขาประกบปากเข้ามาอย่างฉับพลัน พรมจูบอย่างเร้าร้อนและลึกซึ้ง
เธอขัดขืนตามสันชาตญาณในตอนแรก เวลาต่อมาก็หยุดขัดขืน สองแขนพลางกอดรัดเอวของเขาเอาไว้แน่น และจุมพิตอย่างเร้าร้อนไปพร้อมกับเขา
“ขอโทษ ฉันลืมฉากที่เธอแลกแหวนกับหลินอันหนานบนเวทีไม่ลง” ปากของเขาย้ายมาอยู่ข้างใบหูของเธอ พร้อมกระซิบกระซาบ
“หนานกงเฉิน……คุณคิดว่าฉันกำลังทำการกุศลอยู่หรือไง ? ต่อให้เป็นนักกาลกุศลที่จิตใจเมตตาแค่ไหนก็ไม่มีทางยอมให้คุณทำร้าย หรือกัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้หรอก……” เธอหลับตาปี๋ น้ำตาไหลรินอาบแก้ม
“ฉันรู้ ความจริงฉันรับรู้มันได้” หนานกงเฉินกอดเธอเอาไว้แน่นจากนั้นก็พรมจูบบนเส้นผมของเธอ : “ฉันแค่อยากให้เธอเข้มแข็งกว่านี้หน่อย อย่าคิดว่าจะหย่าร้างกับฉันเพราะคำพูดของคุณย่า”
“ได้ ฉันจะเข้มแข็ง” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็ยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของตนออก
“และก็ เธอก็คือเธอ เป็นคนที่ฉันยอมอยู่ข้างกายด้วย ไม่เกี่ยวกับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น”
เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินสิ่งที่เขาพูดแล้ว แม้จะไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ทว่าในใจกลับรู้สึกประทับใจอยู่ดี
เพราะการที่คนนิสัยเย่อหยิ่งเช่นเขายอมกอดเธอเอาไว้แล้วพูดคำพูดเช่นนี้นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเห็นได้ทั่วไป !
หลังจากที่จุมพิตเธอชั่วครู่หนึ่ง หนานกงเฉินจึงวางเธอกลับบนเตียงพร้อมพูดว่า : “รอฉันเดี๋ยวนะ ฉันไปอาบน้ำก่อน”
“คุณกินข้าวเย็นหรือยัง ?” ไป๋มู่ชิงจ้องหน้าเขาแล้วถาม
“กินแล้ว”
เช้าตรู่วันต่อว่า ไป๋มู่ชิงนอนมองหนานกงเฉินที่กำลังเปลี่ยนชุดสูทหน้ากระจกอยู่ เขาผูกเน็กไท แต่งกายสะอาดสะอ้าน เนี๊ยบทุกระเบียบ นัยน์ตาของเธอจึงเปล่งประกายความอิจฉาออกมาอย่างอดไม่ได้
เธอก็อยากที่จะแต่งตัวดูดีเป็นทางการเหมือนกับเขาทุกวัน จากนั้นก็เดินเข้าไปยังที่ทำงานของตนเหมือนพนักงานออฟฟิตหลายคนเช่นกัน
หนานกงเฉินรับรู้ได้ว่าเธอเอาแต่จ้องมองตน จึงได้หันหน้าไปส่งยิ้มให้เธอ : “เป็นอะไรไป ? หลงเสน่ห์สามีตัวเองอีกแล้วเหรอ ?”
“เปล่าสักหน่อย” ไป๋มู่ชิงชักสายตากลับด้วยความเขินอายแล้วพูดว่า “ฉันแค่อิจฉาคุณเท่านั้นแหละ”
“อิจฉาอะไรฉัน ?”
“อิจฉาที่คุณมีอาชีพเป็นของตัวเอง ไม่เหมือนฉันที่เป็นคนไร้ค่าอยู่บ้านไปวัน ๆ แบบนี้”
เมื่อหนานกงเฉินผูกเน็กไทเสร็จ จึงหันหลังเดินมาหาเธอ จากนั้นก็โน้มตัวไปอุ้มเธอขึ้นมาจากเตียง : “มีอะไรจะพูดเธอก็พูดมาตรง ๆ ไม่เห็นต้องพูดอ้อมค้อมแบบนี้เลย”
“ถึงฉันจะพูดตรงแค่ไหน คุณก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี” ไป๋มู่ชิงมองค้อนเขา เบือนหน้าหนี
หนานกงเฉินฉีกยิ้มขึ้นมาแล้วจับใบหน้าเรียวเล็กของเธอกลับคืน : “อยากออกไปทำงานขนาดนี้เลยเหรอ ?”
“ถูกต้อง ฉันไม่อยากอยู่บ้านทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำแบบนี้” ไป๋มู่ชิงพูดเชิงประท้วง
หนานกงเฉินครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็พูดว่า : “งั้นเธอบอกฉันมาก่อน เธอทำอะไรเป็นบ้าง”
“ฉันออกแบบเป็น ดูแลเด็กเล็กเป็น” เมื่อไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขามีการยอมอ่อนข้อให้ จึงตอบไปด้วยความรู้สึกตั้งตาคอยความหวัง และตื่นเต้นในใจ : “ก่อนที่ฉันจะแต่งงานกับคุณ ฉันมีอาชีพเป็นของตัวเองด้วยนะ ฉันเป็นนักออกแบบที่บริษัทรับออกแบบ แน่นอนว่าส่วนตัวฉันชอบพูดคุยกับเด็กเล็ก ฉันสอนพวกเขาวาดรูปได้”
หนานกงเฉินมองสีหน้าอันตื่นเต้นของเธอ จึงนึกในใจว่าเห็นทีจะไม่ตอบตกลงคงไม่ได้แล้วสิ
ทว่าเมื่อเทียบกันระหว่างออกแบบและสอนเด็กเล็กแล้วนั้น เขายอมให้เธอไปทำงานออกแบบมากกว่า
“ในเมื่อเธออยากทำงานขนาดนี้ ถ้างั้นก็ไปออกแบบบ้านที่แผนกออกแบบบริษัทหนานกงกรุ๊ปก็แล้วกัน” อยู่ภายใต้การดูแลของเขา เช่นนั้นถึงสบายใจ
“ทำไมต้องเป็นบริษัทหนานกงกรุ๊ป ?” รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงเจื่อนลงทันที หากเป็นเช่นนั้นเธอจะมีอิสระเป็นของตัวเองหรือเปล่า ? สามารถทำในสิ่งที่ตนชอบได้อยู่หรือเปล่า ?
“ไม่อย่างนั้นเธออยากไปไหนล่ะ ? ไม่ช่วยงานบริษัทตัวเอง แต่ไปช่วยคนอื่นทำงานงั้นเหรอ ?”
“ไม่ใช่……ฉันแค่คิดว่าบริษัทหนานกงกรุ๊ปมันสูงส่งเกินไปสำหรับฉันน่ะ ฉันไม่มีความสามารถนั้นหรอก”
“ไม่เป็นไร เรียนรู้ไปก็มีเองแหละ” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นบาง ๆ
เขาไม่ได้คาดหวังให้เธอวาดผลงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อบริษัทได้แต่อย่างใด ถือเสียว่าเธอไปเที่ยวเล่นที่แผนกออกแบบก็แล้วกัน ขอเพียงเธอมีความสุขก็พอแล้ว
“ทำไมไม่ให้ฉันไปทำงานที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ?” ไป๋มู่ชิงค่อนข้างชอบงานแบบนี้ อีกทั้ง……
“ทำงานภายใต้การดูแลของคุณมันไม่ดีจะตายไป……ฉันหมายถึง เพื่อนร่วมงานจะเกรงใจฉันเพราะความสัมพันธ์ของเราน่ะ อาจไม่กล้าแม้แต่พูดเสียงดังกับฉัน หรือมอบหมายงานให้ ”
“เธอคิดมากเกินไปแล้ว ไม่มีใครมองเธอสูงไปหรอก ที่สำคัญที่สุดคือ……ฉันตัดใจให้เธอห่างฉันไกลไม่ลง” หนานกงเฉินยืนขึ้นจากเตียง : “เธอพิจารณาดูให้ดี ๆ ว่าจะไปหรือไม่ไป พิจารณาเสร็จแล้วก็ค่อยบอกฉัน”
“ไปอยู่แล้ว” ไป๋มู่ชิงกระโดดลงเตียงมา แล้วเดินตามไปคว้าแขนเขาไว้ : “คุณรอฉันเดี๋ยว วันนี้ฉันจะไปบริษัทพร้อมคุณเลย”
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเธอที่กำลังเดินมุ่งไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้านั้น หนานกงเฉินจึงหุบยิ้มแล้วส่ายหน้า ดูเหมืนอว่าเธอคงเก็บกดเพราะเขาเต็มทนแล้ว
ตลอดทางมาบริษัท หนานกงเฉินเห็นแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิง ดวงตากลมโตสวยงามของเธอโค้งกลายเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวแล้ว
หลังจากจอดรถในที่จอดรถสำหรับประธานกรรมการบริหารหน้าตึกใหญ่บริษัทแล้ว หนานกงเฉินจึงได้หยิบโทรศัพท์ออกมาจากลิ้นชักเล็ก ๆ แล้วยื่นให้เธอ : “ใส่ซิมเรียบร้อยแล้ว โทรออกได้ตลอดเวลา จำไว้ว่าถ้าเธอกล้าเอาโทรศัพท์ไปให้คนอื่นใช้อีกละก็ ฉันไม่ปล่อยเธอไปแน่”
โทรศัพท์ราคาแพงเครื่องนี้เขาเตรียมไว้เมื่อหลายวันก่อนหน้าแล้ว กำลังคิดว่าจะให้เธอเมื่อไรดี ประจวบกับวันนี้เป็นวันที่เธอเข้าทำงานวันแรก จึงมอบให้ถือเป็นของขวัญเข้าทำงานวันแรกก็แล้วกัน
ไป๋มู่ชิงทราบว่าเขาคงหมายถึงเรื่องครั้งก่อนที่ตนนำโทรศัพท์ราคาแพงที่เขามอบให้เป็นของขวัญ เอาให้ไป๋ยิ่งอันใช้ เธอจึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า : “ไม่แน่นอน ครั้งนี้ไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว”
ครั้งที่แล้ว สืบเนื่องจากต้องการสลับตัวกับไป๋ยิ่งอัน เธอไม่มีทางเลือกจึงต้องเอาโทรศัพท์ให้เขาใช้ ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เธอจะไม่เหยียบย่ำน้ำใจของเขาอีกแล้ว
เธอเปิดกล่องโทรศัพท์ออก ด้านในคือโทรศัพท์ผู้หญิงดีไซน์พิเศษ แค่มองแวบเดียวก็ทราบว่าเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น เพราะเป็นรุ่นที่ไม่มีขายบนท้องตลาด เธอจึงรีบเงยหน้ากล่าวขอบคุณเขาด้วยความประทับใจ : “ขอบคุณค่ะ สวยมากเลย”
“ชอบก็ดีแล้ว” หนานกงเฉินยื่นแก้มของตนเข้าไป ไป๋มู่ชิงจึงพรมจูบลงไปบนแก้มเขาอย่างไม่ลังเลทันที
ก่อนไป๋มู่ชิงจะเข้าประจำตำแหน่ง เลขาเหยียนได้นัดแนะกับพนักงานทั้งหมดในแผนกออกแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ว่าห้ามปฏิบัติกับไป๋มู่ชิงอย่างเป็นคนพิเศษ และห้ามทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองด้วย ดังนั้นขณะที่ไป๋มู่ชิงทำเอกสารเข้าทำงานเสร็จและเดินเข้าแผนกออกแบบไปนั้น จึงไม่รู้สึกถึงความผิดปกติเท่าไร
เมื่อมองเห็นทุกคนต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตน ในที่สุดเธอก็รู้สึกสบายใจลงบ้างแล้ว
เลขาเหยียนพาไป๋มู่ชิงเดินไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ แล้วพูดกับไป๋มู่ชิงว่า : “คนนี้ชื่อซินดี้ จากนี้ไปคุณก็เรียนรู้งานกับเธอนะคะ”
“สวัสดีค่ะ เรียกฉันว่าเสี่ยวเถียนก็ได้ค่ะ” ผู้หญิงคนนี้ถูกเลขาเหยียนเรียกไปนัดแนะกันแต่เช้าตรู่แล้ว ในเวลานี้จึงไม่ได้ทำตัวเป็นมิตรจนเกินไป ปฏิบัติกับเธอเหมือนอย่างที่ทำกับพนักงานธรรมดาทั่วไป
“สวัสดี ฉันชื่อมู่ชิง จากนี้ไปฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปหาเธอ
“ไม่ถึงกับต้องฝากเนื้อฝากตัวหรอกค่ะ ช่วยเหลือกันพยายามไปด้วยกันเถอะนะคะ” เสี่ยวเถียนยื่นมือไปกุมมือที่ยื่นเข้ามาด้วยร้อยยิ้ม
หลังจากที่เลขาเหยียนเดินออกไปแล้วนั้น ไป๋มู่ชิงถูกผู้จัดการของแผนกออกแบบจัดแจงให้เธอไปนั่งโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ เสี่ยวเถียน หลังจากที่เธอทำความเข้าใจเกี่ยวกับขอบเขตรวมถึงทิศทางการบริหารของบริษัทแล้วนั้น ก็ได้รับข้อความจากหนานกงเฉิน : เวลาเที่ยงตรงลงมากินข้าว
ไป๋มู๋ชิงครุ่นคิดไปมา จากนั้นก็ตอบกลับเขาไป : ฉันเพิ่งได้เพื่อนใหม่ คงไปกินกับคุณไม่ได้แล้ว
ผ่านมาชั่วครู่ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
เธอจึงเดินออกไปรับโทรศัพท์ ปลายสายมีเสียงอันจริงจังของหนานกงเฉินดังเข้ามา : “อยู่ ๆ ฉันก็นึกถึงตำแหน่งงานหนึ่งที่ยอดเยี่ยมมากอยากจะยกให้เธอ”
“ตำแหน่งอะไร ?”
“เธอขึ้นมาเป็นเลขของฉันดีกว่า”
“ฉันไม่อยากรับมือกับคุณตลอด 24 ชั่วโมงแบบนี้หรอกนะ”
“คุณหนูไป๋……”
“คุณชายเฉิน ตอนนี้ยังไม่ได้เลิกงานเลย คุณก็มาแอบคุยเล่นกับพนักงานหญิงแบบนี้ มันเหมาะสมแล้วเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มร้ายกาจขึ้น : “ฉันวางก่อนนะ”
เมื่อพูดจบก็วางสายไปทันที
เมื่อเธอวางสายโทรศัพท์แล้วกลับมายังห้องทำงาน จึงพบว่าเหลืออีกสองนาทีก็จะถึงเวลาพักแล้ว เธอจึงหันข้างไปถามเสี่ยวเถียนว่า : “เสี่ยวเถียน ในบรรดาคนที่เธอรู้จักหรือไม่รู้จัก ช่วงนี้มีใครรับเด็กมาเลี้ยงหรือเปล่า ?”
เสี่ยวเถียนอึ้งไปกับคำถามของเธอ จึงได้มองหน้าเธออย่างสงสัย : “เธอว่าอะไรนะ ?”
ไป๋มู่ชิงเองก็อึ้งไปพร้อมกับเธอเช่นเดียวกัน จริงด้วยนะ เธอกำลังทำอะไรอยู่ ? ทำไมถึงถามคำถามแบบนี้กับคนอื่นตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานแบบนี้ด้วย ? เธออยากตามหาลูกถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ผ่านมาชั่วครู่ เธอจึงพูดพร้อมหัวเราะแห้ง ๆ ขึ้น : “เอ่อ……ญาติของเพื่อนฉันคนหนึ่งทำลูกหายน่ะ กระวนกระวายใจแทบแย่”
การที่เธอร้อนรนอยากมาทำงานให้ได้ นอกเหนือจากการไม่อยากเป็นคนไร้ค่าอยู่ที่บ้าน อยากสร้างแวดวงสังคมของตนเองแล้วนั้น ที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ อยากรู้จักคนเยอะขึ้น อยากมีอิสระเพิ่มขึ้นหน่อยเพื่อไปตามหาลูกสาวของตนเอง
การที่ถามคำถามเช่นนี้กับผู้อื่นตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรเลย อีกทั้งเสี่ยวเถียนผู้นี้ไม่รู้ว่าเป็นสายลับที่หนานกงเฉินส่งมาจับตาดูเธอหรือไม่ !
เสี่ยวเถียนครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้า : “ที่หมู่บ้านฉันมีสามีภรรยาคู่หนึ่งเพิ่งรับลูกคนอื่นมาเลี้ยงด้วย……”
“จริงเหรอ ชายหรือหญิง ?” ไป๋มู่ชิงสอบถามด้วยความคาดหวัง
“ทารกชาย เพิ่งสองเดือนเต็มเอง”
“อ้อ……” ความหวังเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นในใจของไป๋มู่ชิงดับลงทันที
เมื่อเสี่ยวเถียนเห็นสีหน้าอันผิดหวังของเธอแล้ว จึงรีบพูดขึ้นเพื่อปลอบใจ : “เพื่อคนนั้นของเธอได้ขอความช่วยเหลือจากเวย์ปั๋วหรือยัง ? ถ้ายังไม่ได้ทำก็รีบไปโพสต์ซะ น่าจะทำให้ตามหาเด็กเจอโดยเร็วได้”
“ฉันรู้” ไป๋มู่ชิงพยักหน้ายิ้มอย่างขมขื่น : “เธอโพสต์แล้วเรียบร้อย กำลังรอข่าวคราวอยู่น่ะ”
“อ้อ” เสี่ยวเถียนพยักหน้า
ไป๋มู่ชิงจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที : “พักเที่ยงแล้ว ไปกัน พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”
“เธอจะไปกินข้าวที่แคนทีนกับฉันเหรอ ?” เสี่ยวเถียนถามเธออย่างไม่น่าเชื่อ
“ใช่น่ะสิ พูดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่าจะอยู่กับเธอน่ะ ?”
“อ้อ ก็ได้ ไปกัน ไปกินข้าวกัน” เสี่ยวเถียนคล้องแขนเธอ จากนั้นก็เดินไปขึ้นลิฟต์
ช่วงเวลาค่ำ ขณะที่หนานกงเฉินเดินจากห้องหนังสือกลับห้องนอนแล้วนั้น จึงเห็นว่าไป๋มู่ชิงกำลังนั่งอยู่บนโซฟาพร้อมตวัดปากกาหมึกซึมวาดรูปบนแผ่นกระดานวาดรูปอยู่
เขากดน้ำจากเครื่องกดน้ำมาหนึ่งแก้ว แล้วยกดื่มไปขณะที่เดินเข้าไปหาเธอ เมื่อมาหยุดต่อหน้าเธอแล้วก็ก้มมองดูภาพร่างห้องนอนบนกระดานวาดรูปแผ่นนั้น : “ขยันขนาดนี้เลยเหรอ ?”
“ผู้จัดการบอกให้ฉันส่งภาพร่างในห้องที่สมบูรณ์ให้กับเขาภายในเวลาอันสั้นที่สุด เพื่อดูความสามารถของฉันแล้วถึงมอบหมายงานให้น่ะค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดพลางใช้ปากกาหมึกซึมวาดรูปต่อไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ
“ทำไมเธอไม่ใช้ซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ล่ะ ?” หนานกงเฉินยื่นแก้วน้ำไปใกล้ปากของเธอ
“ฉันลองค้นหาจิตนาการบนกระดาษก่อนน่ะ” ไป๋มู่ชิงอ้าปากดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นจ้องหน้าเขา : “ไม่มาเห็นกับตาคงไม่รู้เลยจริง ๆ พอได้เห็นแล้วถึงขั้นต้องตกใจ คิดไม่ถึงว่าธุรกิจที่บ้านคุณจะทำกว้างขนาดนี้ ทั้งอสังหาริมทรัพย์ โรงพยาบาล เครื่องประดับเพชรพลอย โรงแรม……โอ้โฮ ขอบเขตใหญ่ขนาดนี้คุณไม่กลัวทำพังเลยเหรอ”
“นั่นมันคือบ้านเธอด้วยเหมือนกัน” หนานกงเฉินพูดอย่างจริงจัง
นั่นมันคือบ้านของเธอด้วยเหมือนกัน……คำพูดนี้อบอุ่นตลบอบอวนอยู่ในใจไป๋มู่ชิง ไม่ใช้เป็นเพราะสมบัติของตระกูลหนานกง ทว่าเป็นเพราะเธอชอบความรู้สึกที่เขาคิดว่าตนเป็นครอบครัวเดียวกับเขา
“ถ้างั้นฉันก็ต้องขยันกว่าเดิมเพื่อทำผลประโยชน์ให้บ้านเราแล้วละ” ไป๋มู่ชิงฉีกยิ้มขึ้น จากนั้นก็ก้มหน้าวาดภาพร่างของตนต่อไป
ครั้นหนานกงเฉินกลับคว้ากระดาษและปากกาของเธอโยนไปด้านข้าง จากนั้นก็ก้มไปอุ้มเธอขึ้นมาจากโซฟา แล้วเดินมุ่งไปยังเตียงนอนพร้อมพรมจูบซอกคอของเธอไปด้วย : “ตอนนี้ดึกแล้วนะ ถึงเวลาทำเรื่องสำคัญของเราแล้ว”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset