เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 170 โวยวาย

ทั้งสองที่กำลังพัวพันอยู่บนเตียงก็หยุดนิ่งไป สมองไป๋มู่ชิงเบลอไปสองวินาที เมื่อรู้สึกถึงหนานกงเฉินกำลังจะลุกออกจากเตียง เธอก็รีบคล้องคอเขาไว้ด้วยสองมือ
หนานกงเฉินจูบลงที่ริมฝีปากเธอแล้วพูดว่า “เดี๋ยวผมไปดูก่อน”
“เธอต้องแกล้งแน่ๆ” ไป๋มู่ชิงโมโห คิดไม่ถึงเลยว่านังหน้าไม่อายจะทำเสียเรื่องอีก ทำไมเธอถึงตามรังควานขนาดนี้?
หรือได้ยินที่เมื่อกี้นี้เธอโทคุยกับเหยาเหม่ยหรอ? แล้วจงใจมาขัดจังหวะ? พอคิดได้แบบนี้ เธอก็กอดร่างกายของหนานกงเฉินแน่นขึ้น “เชื่อฉัน เธอแกล้ง เธอจงใจ……!”
“จะแกล้งหรือเปล่าผมไปดูก็รู้แล้ว” หนานกงเฉินจูบลงที่ริมฝีปากเธอ จากนั้นก็นำมือทั้งสองข้างของเธอออกจากคอ
เขาลุกออกจากเตียงแล้วเก็บเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่
ไป๋มู่ชิงโกรธจนเด้งขึ้นนั่งบนเตียงแล้วจ้องเขาตะโกนออกไป “หนานกงเฉินถ้าคุณกล้าไป ฉันกับคุณไม่จบแน่!”
“ถ้าเธอแกล้งผมจะรีบกลับมา แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง……สี่สิบองศาจะตายได้นะ?” หนานกงเฉินพูดไปด้วยแล้วเดินออกไปทางประตูด้วย
เขาเดินออกไปจริงๆ
ไป๋มู่ชิงนั่งนิ่งอยู่บนเตียง โกรธจนตาทั้งสองข้างแดงร่างกายก็สั่นไปหมด……
เมื่อหนานกงเฉินเข้าไปถึงห้องนอนของจูจู ก็เห็นจูจูนอนหันข้างอย่างลำบากอยู่บนเตียง เสี่ยวหยวนก็ยืนอยู่ข้างข้างจับแขนเธอไว้ “คุณหนูจู คุณตัวร้อนขนาดนี้ต้องไปโรงพยาบาลนะคะ”
“ไม่ต้อง ฉันแค่นอนก็หายแล้ว” จูจูปัดมือเธอออกแล้วพูดอย่างตำหนิ “บอกเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าพรุ่งนี้คุณชายเฉินต้องทำงาน อย่าไปรบกวนเขา”
“ขอโทษค่ะ ฉันแค่เป็นห่วงคุณ……”
หนานกงเฉินก้าวเดินไปข้างเตียงแล้วถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “จูคุณเป็นยังไงบ้าง?” ขณะพูดก็วางมือลงบนหน้าผากเธอ “ทำไมร้อนขนาดนี้?”
“ไม่รู้ค่ะ หลังจากที่คุณหนูจูรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็เริ่มตัวร้อนแล้ว”
“กินยาลดไข้หรือยัง?”
“กินตอนสามทุ่มแล้วค่ะ แต่อุณหภูมิไม่ลดเลย” เสี่ยวหยวนพูดด้วยสีหน้าสงสาร “คุณชายขอโทษค่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูจูตัวร้อนขนาดนี้ ฉันก็คงไม่ไปรบกวนคุณ”
“ตอนนี้อย่าพูดอะไรมากเลย จูจูลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เดี๋ยวผมส่งคุณไปโรงพยาบาล” หนานกงเฉินไม่สนใจคำพูดของคนอื่นแล้วพยุงตัวจูจูขึ้นจากเตียง
จูจูโต้เถียงอย่างอ่อนแรง “ฉันไม่อยากไปโรงพยาบาล เฉิน……ฉันไม่เป็นอะไร”
“คุณตัวร้อนขนาดนี้แล้วยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก”
“ฉัน……” สายตาจูจูมีความกังวลกลัวแล้วพูดเสียงสั่นไปทางไป๋มู่ชิง “มู่ชิงเธออย่าเข้าใจผิด ฉันไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนเวลาของพวกคุณ ฉัน……”
“เธอจงใจ!” ไป๋มู่ชิงเดินก้าวเข้าไปแล้วเบียดตัวหนานกงเฉินไปข้างๆ จากนั้นก็จิกผมจูจูขึ้นแล้วตบหน้าเธอไป
เมื่อจูจูถูกตบก็กรีดร้องขึ้นแล้วร่างกายก็ทรุดลงไปกับเตียงแล้วหน้าผากก็โขกกับโต๊ะข้างๆ
“คุณหนูจู……” เสี่ยวหยวนรีบเข้าไปพยุงตัวคุณหนูจูที่กรีดร้องอยู่ขึ้น
หนานกงเฉินดึงตัวไป๋มู่ชิงที่กำลังจะไปหาเรื่องคุณหนูจูอีก แล้วพูดอย่าโมโห “มู่ชิง ตอนนี้จูจูไข้ขึ้นสูงมาก!”
“ฉันให้แกตอแหล! ให้แกเสแสร้ง……!” ไป๋มู่ชิงไม่เชื่อว่าเธอไข้ขึ้นสูงจริง ถึงแม้ตัวจะร้อนมากเธอก็คงตั้งใจทำให้ตัวร้อน เมื่อกี้ตอนที่เห็นเธอยังดีอยู่เลย แต่ทำไมอยู่ๆไข้ขึ้นสูงล่ะ? จะเร็วขนาดนั้นได้ยังไง?
ไป๋มู่ชิงคงจะโกรธจนบ้าไปแล้วถึงมีแรงแม้แต่หนานกงเฉินก็ดึงเธอไม่อยู่ เธอสะบัดตัวหลุดจากหนานกงเฉินแล้วพุ่งไปทางจูจู จูจูกรีดร้องไปด้วยแล้วหลบลีกไปด้วย เมื่อกี้ที่หัวเธอโขกก็ทำให้มีเลือดไหลออกมา
เสี่ยวหยวนรีบวิ่งไปลากไป๋มู่ชิงไว้แล้วพูดเสียงดัง “คุณหญิงน้อยคะ คุณอย่าตบอีกเลย เลือดคุณหนูจูไหลแล้ว……!”
แต่ไป๋มู่ชิงไม่ได้หยุดมือ เมื่อเห็นจูจูถูกหนานกงเฉินปกป้องในอ้อมกอดก็โกรธมากกว่าเดิมแล้วกระชากแขนจูจูไว้ “หน้าไม่อาย! แกออกมาเดี๋ยวนี้……ออกมา!”
“พอแล้ว!” สุดท้ายหนานกงเฉินก็ทนไม่ไหว ยกมือขึ้นตบหน้าเธอไป
ถึงแม้เขาจะตบไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้ไป๋มู่ชิงเงียบทันที เธอใช้มือจับแก้มตัวเองไว้แล้วจ้องไปที่เขา
ในความทรงจำของเธอ ไม่ว่าหนานกงเฉินจะทารุณเธอ รังแกเธอ ไม่ว่าจะโกรธมากแค่ไหนก็ไม่เคยตบเธอแบบนี้ แต่วันนี้……เขากลับตบเธอเพราะรักแรกของเขา
เธอจ้องมองใบหน้าที่เยือกเย็นของหนานกงเฉินแล้วใบหน้าที่ซีดขาว เลือดกำลังไหลลงมาจากหน้าผากที่ดูน่าสงสารอย่างจูจูด้วยน้ำตา ความรู้สึกในใจจะใช้คำว่าเสียใจกับโกรธมาอธิบายไม่ได้แล้ว
แผลบนหน้าผากจูจูไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่คราบเลือดกลับทำให้หน้าเธอดูน่ากลัว จนเสี่ยวหยวนตกใจกรี๊ดสั่น หนานกงเฉินก็ไม่ได้หยุดนิ่งนานนัก อุ้มจูจูที่ดูเหมือนจะเดินไม่ไหวเดินลงไปชั้นล่าง
เขาเดินเร็วมาก ไป๋มู่ชิงก็วิ่งออกไปตะโกน “หนานกงเฉินนายฟังไว้เลย! เด็กฉันไม่เอาแล้ว! นายฉันก็ไม่เอาแล้ว! นายไปอยู่กับรักแรกของนายเถอะ……!”
เธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินได้ยินหรือเปล่า จากนั้นทางประตูก็มีเสียงสตาร์ทรถดังขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในบ้านก็เงียบสงบทันที เงียบจนแม้แต่เสียงเข็มหล่นลงพื้นยังได้ยิน ไป๋มู่ชิงยืนอยู่บนบันไดสักพักค่อยหันหลังเดินกลับห้องไป
บนหัวเตียงมีกระดาษทดสอบที่ยังไม่ได้ใช้วางเต็มไปหมด เธอพยายามมาทั้งเดือนค่อยหาโอกาสที่เหมาะสมแบบนี้ได้ แต่กลับถูกมือที่สามทำลายแล้วตอนนี้หนานกงเฉินก็ไปอยู่ข้างกายเธอด้วย
เธอหยิบกระดาษทดสอบมาแล้วฉีกจนเละแล้วโยนเข้าถังขยะ เธอจะไม่ให้อภัยเขาอีก จะไม่มีลูกให้เขาอีก!
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ไป๋มู่ชิงยืนอยู่หน้าประตูบ้านของเหยาเหม่ย
พอเหยาเหม่ยเปิดประตูมาเห็นเธอ แล้วก็ถามอย่างสงสัยขึ้น “หมายความว่ายังไง? หนานกงเฉินปฏิเสธเธอหรอ?”
แต่ดูจากสีหน้าเธอ เหยาเหม่ยก็เดาได้ว่าเธอคงเพิ่งทะเลาะกับหนานกงเฉิน แล้วครั้งนี้ก็ทะเลาะรุนแรงด้วย
“ทำไปได้ครึ่งหนึ่งหนานกงเฉินก็โดนยัยนั่นล่อตัวไปแล้ว” ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่บนโซฟา ยกแก้วน้ำในมือขึ้นดื่ม
ระหว่างทาง เธอก็สงบสติได้ไม่น้อยแล้ว ตอนนี้น้ำเสียงก็ดูเรียบลื่นผิดปกติ
เมื่อเหยาเหม่ยได้ยินเธอพูดอย่างนี้ก็ลุกขึ้นอย่างโมโห “ครั้งนี้เธอใช้แผนอะไรอีกล่ะ?”
“ไข้ขึ้นสูงสี่สิบองศา”
“จากนั้นหนานกงเฉินก็ทิ้งเธออยู่บนเตียงแล้วไปที่ห้องยัยนั่น?”
“อุ้มเธอไปโรงพยาบาล” แล้วไป๋มู่ชิงกวาดมองเธอ “เสี่ยวเหม่ย ฉันไม่ได้มาหาเธอเพราะอยากจะด่าหรือว่าฟังคำปลอบใจของเธอหรอกนะ”
“แล้วเธอมาทำไม?”
“ฉันแค่อยากนอน”
“งั้นเธอก็รีบเข้าไปนอนที่ห้องนอนแขกเถอะ” เหยาเหม่ยยื่นมือไปรับแก้วเธอกลับมาแล้วพูด “เธอก็อย่าเสียใจไป เดี๋ยวฉันช่วยคิดหาวิธีให้”
“ไม่ต้องแล้ว” ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้า “ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันไม่เอาหนานกงเฉินแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว”
“มู่ชิง เธอทำแบบนี้ก็เหมือนว่าเธอกำลังก้มหัวให้มือที่สาม เธอจะปล่อยผู้ชายที่รักให้ยัยนั่นแบบนี้ เธอยอมหรอ?”
“ฉันยอมแล้ว หลังจากเรื่องคืนนี้ฉันยอมแล้ว” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปทางห้องนอน เหยาเหม่ยตามไปตำหนิเธอ “เธออ่อนแอเกินไปหรือเปล่า จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
ไป๋มู่ชิงพูดอย่างเบื่อหน่าย “เสี่ยวเหม่ย ไม่ใช่ว่าฉันแย่งไม่ได้ หนานกงเฉินก็สัญญากับฉันเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับเธอตั้งหลายครั้ง แต่ฉันก้าวผ่านความรู้สึกในใจไม่ได้เอง ฉันยอมรับไม่ได้ตอนที่เขาอยู่กับฉันแล้วในใจก็รักผู้หญิงคนอื่นด้วย ฉันไม่อยากเป็นแบบนี้……”
หนานกงเฉินบอกว่าระหว่างเขากับจูจูเป็นแค่เพื่อนกัน เพื่อนบ้าอะไรล่ะ รักเธอจนแยกไม่ออกต่างหาก รักจน……
ไป๋มู่ชิงถอนหายใจออกแล้วมุดเข้าไปในผ้าห่ม
เหยาเหม่ยนั่งลงข้างเตียงเธอแล้วผลักตัวเธอ “งั้นเธอก็ไม่สนใจว่าลูกสาวเธอจะไม่มีพ่อแล้วหรอ? ถ้าฉันเป็นเธอ ตอนนี้ฉันก็จะตามไปโรงพยาบาลแล้วตัวติดกับหนานกงเฉินไว้ ไม่ให้หน้าไม่อายนั่นมีโอกาสยั่ว ให้ยัยนั่น……”
“อย่าพูดถึงลูกสาวได้ไหม?” ไป๋มู่ชิงออกมาจากผ้าห่มแล้วนั่งพูดไปทางเธอ “มีลูกสาวที่ไหน? แม้แต่เฉียวซือเหิงก็บอกว่าไม่มี เฉียวซือเหิงบอกว่าไม่มีลูกสาว แล้วฉันทำเพื่อเธอพยายามรักษาครอบครัวนี้ไว้เพื่ออะไร? เธอจะกลับมาหรอ? ไม่มีทาง……!”
ไป๋มู่ชิงพูดไปด้วยแล้วร้องไห้ไปด้วย
เหยาเหม่ยตกใจกับการกระทำของเธอแล้วร่างกายก็ขยับถอยไป ผ่านไปสักครู่ค่อยพูดขึ้น “เธอพูดมาตลอดว่าจะหาลูกสาว แล้วตอนนี้มาหงุดหงิดกับฉันทำไม? ฉันบอกกับเธอตั้งนานแล้วว่าอย่าเสียเวลากับสิ่งที่มีโอกาสเพียงน้อยนิด แต่เธอไม่ฟังเอง……”
เมื่อเห็นเธอร้องไห้อย่าเสียใจมากขึ้น เหยาเหม่ยก็ไม่อยากต่อว่าอีก “พอแล้ว คิดได้ตอนนี้ก็ไม่สาย เธออย่าร้องไห้เลย รีบนอนเถอะพรุ่งนี้ค่อยมาคิดว่าจะทำยังไงต่อ”
ไป๋มู่ชิงก็ยังคงกอดผ้าห่มร้องไห้อย่างนั้น เมื่อกี้เธอโมโหเกินไปถึงพูดไปอย่างงั้น เธอก็ยังคิดไม่ได้หรอก ยังไม่ยอมปล่อยมือแล้วจะไม่ยอมแพ้ด้วย
ถึงแม้ฝ่ามือของหนานกงเฉินจะตบเธอจนใจหายไปก็ตาม……
หลังจากที่มาถึงโรงพยาบาล จูจูก็ถูกเจาะแขนให้ยาลดไข้ แผลบนหน้าผากก็ยังทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่
ขณะที่คุณหมอช่วยเธอทำแผล จูจูก็ถามด้วยน้ำตา “คุณหมอคะ จะมีแผลเป็นมั้ยคะ?”
“คุณหมอพูดยิ้มปลอบใจ “ไว้ใจเถอะ ไม่มีหรอก แค่แผลผิวเผินเท่านั้น”
“จริงหรอคะ?” จูจูถามขึ้น
“จริงสิครับ” คุณหมอมองไปที่หนานกงเฉินใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วพูดหยอกล้อขึ้น “แฟนคุณดีกับคุณขนาดนี้ ถึงจะมีรอยแผลเป็นก็ไม่รังเกียจคุณหรอก ไว้ใจได้”
จูจูมองไปทางหนานกงเฉิน ใบหน้าก็เขินอายในใจก็รู้สึกมีความสุขมาก
หลังจากที่คุณหมอออกไปจากห้องพักฟื้น จูจูพิงอยู่บนหัวเตียงมองไปที่หนานกงเฉินกำลังโทรออกอย่างกระวนกระวายอยู่แล้วพูดปลอบใจ “เฉิน คุณกำลังเป็นห่วงมู่ชิงหรอ? ถ้าใช่ก็รีบกลับไปหาเธอเถอะ”
หนานกงเฉินโทรหาไป๋มู่ชิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ไม่มีคนรับ เขาเก็บโทรศัพท์ลงแล้วเดินไปนั่งลงแล้วยกมือขึ้นไปที่หน้าผากเธอ “ทำไมยังร้อนขนาดนี้?”
“ฉันไม่เป็นไร ถ้ายาหมดไข้ก็ลดแล้ว คุณรีบกลับไปดูมู่ชิงเถอะ”
หนานกงเฉินมองไปที่เธอแล้วพูดเสียงอ่อนโยน “ถึงแม้มู่ชิงจะลงมือแรงไปหน่อยแต่เธอก็กำลังโกรธ ขอให้คุณให้อภัยเธอด้วย”
“วางใจเถอะ ฉันเป็นคนที่ไปรบกวนพวกคุณเองจะ โทษเธอได้ยังไง?” จูจูพูด
หนานกงเฉินพยักหน้า “งั้นเธอพักผ่อนดีๆนะ ผมให้เสี่ยวหยวนมาดูแล”
“ได้” จูจูพยักหน้า “คุณก็ต้องพักผ่อนนะ”
หนานกงเฉินลุกขึ้นเดินออกจากห้องพักฟื้นแล้ว โทรไปที่ห้องยาม เมื่อรู้ว่าไป๋มู่ชิงวิ่งออกไป ในใจก็สั่นเกร็งทันที แล้วก้าวเดินออกจากประตูโรงพยาบาลไป
เขาขับรถไปตามทางแล้วมองหาเงาของไป๋มู่ชิงด้วย พร้อมกับโทรไปหาซูซี่กับเหยาเหม่ย เหยาเหม่ยพูดอย่างหงุดหงิดกับเขา “หนานกงเฉิน! มู่ชิงบอกให้ฉันบอกคุณ ถ้ามีรักแรกไม่มีเธอ ถ้ามีเธอต้องไม่มีรักแรก คุณเลือกมาสักอย่างเถอะ!”
พูดคำนี้จบ เหยาเหม่ยก็รีบวางสายทันที
หลังจากที่วางสายแล้ว ก็หันไปมองไป๋มู่ชิงที่อยู่ในผ้าห่ม “รอไปเถอะ ถ้าเขายังดื้อดึงให้รักแรกอยู่ในบ้านอีก ถ้ายังงั้นเธอก็ไม่ต้องเกรงใจเขา ฉันจะช่วยเธอเอง!”
ไป๋มู่ชิงไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่านอนแล้วหรือยังไม่นอน
เมื่อรู้ว่าไป๋มู่ชิงอยู่บ้านเหยาเหม่ย หนานกงเฉินก็โล่งใจไป สิ่งที่เขาชอบในตัวก็คือเธอเข้มแข็งมาก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรก็ไม่ได้ทำตัวจะเป็นจะตาย
วันต่อมาก่อนทำงาน หนานกงเฉินก็ไปเยี่ยมจูจูที่โรงพยาบาลก่อน จากนั้นค่อยไปทำงาน
สิ่งแรกที่เขามาถึงที่ทำงานก็รีบถามผู้ช่วยเหยียนเลยว่าไป๋มู่ชิงมาบริษัทหรือเปล่า ผู้ช่วยเหยียนพูดด้วยสีหน้าเข้มงวด “คุณชายเฉินคะ คุณหญิงน้อยให้คนมาส่งจดหมายลาออกค่ะ”
หนานกงเฉินนิ่งไปพักนึงก่อนเงยหน้ามองไปที่เธอ
แม้แต่จดหมายลาออกก็ยื่นมาแล้ว ดูเหมือนว่าครั้งนี้เธอจะโกรธจริงๆ
เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ย “ผมรู้แล้ว”
“คุณชายเฉิน คุณไม่คิดที่จะหยุดเธอหรอคะ?” ผู้ช่วยเหยียนถามขึ้น
“เรื่องนี้ผมจัดการเอง” เขาพูดจบก็นั่งลงเริ่มทำงาน
หลังจากที่ผู้ช่วยเหยียนเดินออกไป หนานกงเฉินก็ไม่มีกระจิตกระใจทำงานเลย เขานึกถึงคำพูดที่เหยาเหม่ยตะโกนพูดกับเขาเมื่อวาน บอกให้เขาสองเลือกหนึ่ง ก็แสดงว่าพวกเธอสองคนอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆสินะ
เขาลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบรูปถ่ายใบเก่าออกจากลิ้นชัก ในรูปเด็กผู้หญิงยิ้มได้น่ารักใส่ซื่อมาก ตอนที่จูจูยื่นรูปภาพนี้ให้เขา เขายังจำได้จนถึงวันนี้ไม่ลืม
ตอนนั้นก่อนที่เขาจะจากไป เคยสัญญากับเธอว่าจะไม่ลืมเธอ จูจูได้ยินแล้วก็ดีใจมากยกเก้าอี้มาข้างกำแพงแล้วแอบให้รูปถ่ายนี้กับเขา บอกเขาว่าห้ามลืมตัวเองเด็ดขาด
ผ่านไปนานขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่เคยลืมเธอเลย แล้วเขาก็มีความคิดที่จะให้เธอเป็นภรรยาของตัวเองด้วย แต่วันนี้……เขากลับแต่งงานกับคนอื่น!
นี่ถือว่าผิดสัญญาหรือเปล่า?
หลังจากกลับบ้านมาตอนดึก หนานกงเฉินก็เห็นเสี่ยวหยวนอยู่ในห้องครัว เขามองขึ้นไปชั้นบนแล้วถามขึ้น “คุณหนูจูดีขึ้นหรือยัง?”
ตอนเที่ยงจูจูเอาแต่บ่นว่าจะออกจากโรงพยาบาล คุณหมอก็บอกว่ากลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ หนานกงเฉินค่อยตกลง
เสี่ยวหยวนกำลังยุ่งกับงานในมือแล้วพูดกับเขาว่า “คุณชายคะ หลังจากที่ทานข้าวเย็นคุณหนูจูไข้ขึ้นอีกแล้วค่ะ ฉันกำลังหาน้ำแข็งไปให้เธอ”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
หนานกงเฉินก้าวเดินขึ้นไปชั้นบนแล้วเข้าไปห้องนอนจูจู ก็เห็นใบหน้าที่แดงก่ำของเธอกำลังนอนพักสายตาอยู่บนเตียง
เขาเดินเข้าไปแล้ววางมือลงบนหน้าผากเธอ ร้อนมือจริงๆด้วย
เมื่อรู้สึกหนานกงเฉินเข้าใกล้ จูจูก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ใช้ดวงตาที่แดงก่ำทั้งสองข้างจ้องไปที่เขา
“เป็นยังไงบ้าง?” แล้วหนานกงเฉินจับไปที่คอเธอ “อาจจะเป็นเพราะแผลติดเชื้อ ผมส่งคุณไปโรงพยาบาลนะ”
พูดจบเขาก็เอนตัวลงไปอุ้มเธอขึ้นจากบนเตียง แต่จังหวะนี้จูจูกลับคล้องคอเขาไว้แล้วจูบลงที่ริมฝีปากเขา ริมฝีปากเธอร้อนอุจนหนานกงเฉินอึ้งไปแล้วรีบเบี่ยงหน้าหนี “จูจูคุณไม่สบายอยู่”
“เฉิน……ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ……” จูจูกอดเขาแน่นแล้วซบหน้าลงในอ้อมกอดเขาน้ำตาก็ไหลลงมาด้วย “ทั้งหมดเป็นความผิดฉันเอง ฉันตั้งไจทำให้มือตัวเองบาดเจ็บ เปียโนฉันก็ตั้งใจทำเสียเอง เมื่อคืนฉันก็จงใจไปรบกวนพวกคุณ เพราะว่าพอฉันนึกถึงว่าคุณกำลังกอดมู่ชิงอยู่บนเตียง ฉันก็รู้สึกปวดใจ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะไปรบกวนพวกคุณ……”
“เฉิน ที่ฉันทำมาทั้งหมดก็เพื่อจะลองใจคุณ ลองใจความรู้สึกที่คุณมีต่อฉันกับมู่ชิง แต่ตอนนี้ฉันรู้ ไม่ว่าคุณจะดีกับฉันแค่ไหนในใจคุณก็เป็นเธออยู่ดี” จูจูกอดเขาแน่นขึ้นแล้วร้องไห้อย่างเสียใจ “คุณรักเธอแล้วใช่ไหม? คุณเคยบอกว่าจะไม่รักผู้หญิงคนอื่น……เฉิน……คุณเคยสัญญากับฉัน”
หนานกงเฉินไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมาก เขาคงไม่โง่จนมองอะไรแบบนี้ไม่ออก เขาแค่ไม่อยากต่อว่าเธอ เพราะที่เธอทำไปก็เพราะรักเขา เขาผิดสัญญาเอง!
“ขอโทษนะจูจู……” เขาลูบผมเธออย่างอ่อนโยน ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรนะ
“ฉันรู้ ตอนนั้นที่ฉันหายไปเป็นความผิดฉันเอง แต่ฉันก็ถูกบังคับเหมือนกัน คุณก็รู้ว่าฉันตั้งใจทำงานหาเงินอยู่ที่นู่นก็เพื่อจะหลุดพ้นจากใจมากแม่แล้วมาหาคุณ กว่าฉันจะกลับมาได้แต่คุณกลับ……” น้ำตาไหลออกมาเยอะขึ้นเธอสะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก
“ผมคิดว่าคุณไม่เอาผมแล้ว……”
“ฉันจะไม่เอาคุณได้ยังไง คุณลืมสัญญาของเราไปแล้วหรอ? เราสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ทำไมคุณถึงแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น?” จูจูเงยหน้าที่มีน้ำตาจ้องมองไปที่เขาแล้วยื่นมือไปจับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา “เฉิน คุณลืมแล้วหรอ? ฉันบอกว่าฉันจะดูแลคุณเอง ไม่ว่าคุณจะมีชีวิตจนถึงอายุเท่าไหร่ ไม่ว่าร่างกายคุณจะดีหรือไม่ดีฉันก็จะอยู่กับคุณ มู่ชิงมีหลินอันหนานที่รักเธอ มีคุณชายรองตระกูลเฉียวที่ชอบเธอ แต่ฉันไม่มี ใครเลย แม้แต่เพื่อนก็ไม่มี แม้แต่แม่ก็ไม่รักฉัน บนโลกนี้ฉันเหลือแค่คุณคนเดียว……ขอร้องคุณอย่าทิ้งฉันได้ไหม? ฉันไม่มีคุณไม่ได้จริงๆ!”
“จูจู……”
“เฉิน……” จูจูรีบพูดแทรกเขา “มู่ชิงเป็นผู้หญิงที่ดี ฉันรู้ว่าคุณชอบเธอ แต่ความรักที่เธอมีให้คุณไม่เพียงเพราะคุณเท่านั้น คนที่รอคุณมาเป็นสิบปี รักคุณมาเป็นสิบปีคือฉัน คือฉัน……”
“คุณไม่รู้เลยว่ากี่วันนี้ฉันเจ็บปวดแค่ไหน ทุกครั้งที่เห็นคุณอยู่กับมู่ชิง ฉันก็รู้สึกเจ็บใจจนอยากจะตายไป ถ้ารู้ว่าจะเสียใจขนาดนี้ ฉันยอมจมน้ำตายแล้วไม่ให้คนอื่นช่วยขึ้นมาจะดีกว่า!”
“เฉิน ฉันรู้ว่าคุณยังรักยังเป็นห่วงฉัน เพราะฉะนั้น……ขอให้คุณกลับมาหาฉันได้ไหม? คำสัญญาของเรายังอยู่ คุณจะให้ฉันเฝ้าคำสัญญานี้ไว้คนเดียวหรอ”
มือหนานกงเฉินที่จับแขนเธอไว้ก็จับแน่นขึ้น น้ำตาของเธอ ทำให้ใจเขาอ่อนอีกครั้ง
จูจูก็ยังพึมพำอยู่ข้างหูเขา “เฉิน ถ้าคุณทิ้งฉันไป ฉันคงมีชีวิตต่อไปไม่ได้……”
หลังจากที่อยู่บ้านเหยาเหม่ยไปคืนนึง ไป๋มู่ชิงก็ย้ายไปที่คอนโดของซูซี่
ทั้งสามวันนี้ ก็ไม่เห็นร่องรอยที่หนานกงเฉินตามหาเธอเลย ขณะที่เสียใจ แต่ในใจเธอก็เริ่มค่อยๆหนักแน่นขึ้นอีก ถ้าหนานกงเฉินเลือกจูจูอย่างนี้ เขาก็ไม่มีค่าพอที่จะให้เธอรัก เธอก็จะหลุดพ้นสักที
หลุดพ้นจากชีวิตของเขา แล้วทำงานที่ตัวเองชอบ อยู่กับคนที่ตัวเองอยากอยู่ด้วย ถึงแม้จะเสียใจ แต่เธอก็ทนรับได้ ก็เหมือนตอนนั้นที่หักหลังหลินอันหนานเธอ
ในชีวิตเธอไม่ได้มีแค่ความรักเท่านั้น เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ทำลายตัวเองเพื่อผู้ชายคนเดียว จะไม่มีทาง ไม่มีทางแน่นอน!
ซูซี่เสนองานสามงานให้เธอแล้วบอกว่า “ถึงแม้บริษัทสามบริษัทนี้จะเทียบกับบริษัทหนานกงไม่ได้ แต่ก็ถือว่าดีอยู่มีโอกาสพัฒนา”
เหยาเหม่ยมองกวาดไปที่ข้อมูลของบริษัทที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วมองไปที่ไป๋มู่ชิงที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วยักไหล่ “โอกาสพัฒนาอะไร มู่ชิงไม่มีเป้าหมายนี้หรอก”
ซูซี่ก็มองไปทางไป๋มู่ชิงแล้วพูดอย่าหงุดหงิด “ในเมื่อตัดสินใจจะไปจากหนานกงเฉินแล้ว ก็ควรจะหางานที่ดีๆเลี้ยงตัวเองได้ไม่ใช่หรอ?”
ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าเบาๆ “ฉันก็อยากจะไปสอบเป็นครูอนุบาลไปสอนเด็กเด็กวาดรูป”
เหยาเหม่ยยักไหล่อีกครั้ง “ฉันว่าเธอก็ยังปล่อยวางไม่ได้ ยังปล่อยวางลูกสาวที่พลัดพรากกันไม่ได้”
“ไปที่โรงเรียนอนุบาลก็ไม่ได้แย่อะไร อยากไปก็ไปเถอะ” ซูซี่ลุกขึ้นจากโซฟา “แต่ว่าตอนนี้เราต้องทำให้ท้องอิ่มก่อน ฉันหิวจนจะตายอยู่แล้ว”
“กินอะไรดี?”
“ไปกินอาหารตะวันตกที่ร้านเพิ่งเปิดใหม่แถวนี้เถอะ”
“ร้านที่น้องชายสามีเธอเปิดหรอ?” เหยาเหม่ยถาม
“ใช่ มีอาหารต่างประเทศเยอะแยะ รสชาติก็อร่อยดี” ซูซี่พูด
เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินว่าไปร้านอาหารที่ร้านคุณชายรองเฉียวก็ส่ายหัวทันที “เปลี่ยนร้านเถอะ ฉันกลัวว่า……”
“กลัวว่าหนานกงเฉินจะเข้าใจผิดหรอ?” ซูซี่พูดในสิ่งที่เธอกำลังจะพูด “เขาโบยบินไปกับรักแรกแล้ว ยังกลัวอีก หลงตัวเองจริงๆ”
“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงอ้าปากก็เพิ่งรู้ว่าไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง ก็จริง เขาดีกับรักแรกแล้ว เธอยังจะกลัวอะไรอีก?
“ความจริงเฉียวเฟิงก็เป็นคนดี ก็แค่มีเพื่อนเพิ่มมาอีกคน” ซูซี่ดึงข้อมือเธอ “ไปเถอะ กินข้าวกัน”
เมื่อคิดได้แล้ว ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกไม่ต้องแคร์อะไร
ทั้งสามมาถึงร้านอาหารตะวันตกของเฉียวเฟิง ซูซี่พาพวกเธอไปนั่งลงที่โต๊ะข้างหน้าต่าง เหยาเหม่ยมองกว่าไปรอบๆแล้วชม “ไม่เลวนิ สภาพแวดล้อมดีมาก มู่ชิงเธอคิดว่ายังไง?”
ไป๋มู่ชิงมองไปรอบๆแล้วพูดขึ้น “ถ้ามีแชนเดอเลียร์บนหัวน่าจะสวยกว่านี้”
“เป็นนักออกแบบภายในก็อย่างนี้แหละ รสนิยมดีมาก” เฉียวเฟิงโผล่มาจากข้างหลังแล้วพูด “ไฟกำลังส่งมาจากต่างประเทศ ถ้าอาทิตย์หน้าเธอมาก็คงจะตกแต่งเรียบร้อยแล้ว”
เฉียวเฟิงเข็นรถเข็นมาต่อหน้าทั้งสามแล้วเอ่ยทักทาย
“อาเฟิง นายกินข้าวหรือยัง?” ซูซี่ถามเขา “ถ้ายังก็นั่งกินกับพวกเราก็ได้”
“จะไม่รบกวนใช่มั้ย?”
“ไม่รบกวนไม่รบกวน” เหยาเหม่ยยิ้มยิ้ม “ผู้ชายหล่อๆก็ทำให้กระเพาะหิวทั้งนั้น จะรบกวนได้ยังไง”
“ผมยังไม่ได้กินพอดี” เฉียวเฟิงหันไปทางไป๋มู่ชิง “คุณหนูไป๋ คุณดูเหมือนไม่มีความสุขเลย”
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นจับหน้าตัวเองแล้วในใจก็คิดว่าแสดงออกชัดเจนขนาดนี้เลยหรอ? เธอพูดอย่างมีมารยาท “เปล่า ฉันไม่เป็นไร ใช่สิต่อไปเรียกฉันมู่ชิงก็ได้”
” ได้ มู่ชิง” เฉียวเฟิงพูด “พวกเธออยากกินอะไรก็สั่งเลย เดี๋ยวผมเลี้ยง”
“ดีมากเลย มีอาหารฟรีให้กินด้วย” เหยาเหม่ยยกเมนูขึ้นมองกวาดแล้วถามขึ้น “ฉันสั่งเมนูประจำร้านหมดเลยได้ไหม?”
“ได้สิ” เฉียวเฟิงเสนอขึ้น “เราเปลี่ยนไปนั่งในในห้องไหม สงบกว่า”
“งั้นก็ไปกินในห้องเถอะ” ซูซี่ลุกขึ้นจากนั้นก็โบกมือไปที่หน้าไป๋มู่ชิง “เหม่ออะไร เปลี่ยนที่แล้ว”
สายตาของไป๋มู่ชิงถูกเงาที่เดินออกมาจากห้องดึงดูด เธอเห็นหนานกงเฉินกับจูจูออกมาจากห้อง ยังพูดคุยหยอกล้อกัน ดูไปเหมือนจะดีกันแล้วสินะ
ซูซี่กับเหยาเหม่ยก็เห็นเหมือนกัน สายตาทั้งสองดุเดือดขึ้นทันที
เฉียวเฟิงสังเกตุเห็นว่าเห็นพวกเขา เขามองไปที่ทั้งสองจากนั้นก็พูดกับไป๋มู่ชิง “ขอโทษที ผมลืมบอกว่าคืนนี้คุณชายเฉินก็รับประทานอาหารที่นี่”
เขาไม่ได้ลืมแต่แค่ไม่กล้าบอกเธอ เขาเลยพูดเสนอขึ้นว่าไปกินในห้อง แต่ไม่คิดเลยว่าหนานกงเฉินจะบังเอิญเดินออกมาเวลานี้
ไม่รอให้ไป๋มู่ชิงตัดสินใจว่าจะทำยังไงดี เหยาเหม่ยก็โบกมือไปทางทั้งสอง “นี่……คุณชายเฉิน นังหน้าไม่อาย ตรงนี้!”
หนานกงเฉินกับจูจูได้ยินเสียงก็มองมาทางนี้พร้อมกัน จากนั้นหนานกงเฉินก็ก้มลงไปพูดอะไรบางอย่างกับจูจู แล้วก้าวเดินมาทางนี้คนเดียว เขามองไปรอบๆด้วยสีหน้าไม่ดีมากนักแล้วพูดขึ้น “บังเอิญจังเลย”
“บังเอิญจริงๆ ถ้าเจอกันแล้วก็มานั่งคุยเรื่องหลักกันเถอะ” ซูซี่พูด
“เรื่องอะไร?”
“ก็ทำเรื่องหย่าระหว่างนายกับมู่ชิงไง”
“ใครบอกว่าผมจะหย่ากับมู่ชิง?” หนานกงเฉินมองกวาดไปทางเฉียวเฟิงแล้วหยุดลงบนตัวไป๋มู่ชิง
“ไม่พูดเรื่องหย่า คิดจะเก็บยัยนั่นเป็นเมียรองหรอ?”
“เรื่องนี้คุยกันได้” สายตาหนานกงเฉินที่มองไปที่ไป๋มู่ชิงค่อยๆนิ่งขึ้น “แต่ว่าผมจะคุยกับภรรยาแค่สองคน”
พูดจบ เขาก็เดินผ่านเฉียวเฟิงแล้วดึงไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟาเข้าอ้อมแขน
ไป๋มู่ชิงไม่ได้ขัดขืนเพราะเธอก็รู้สึกว่าต้องคุยกับหนานกงเฉินเหมือนกัน เธอหันไปมองกว่าทุกคนแล้วซูซี่กับเหยาเหม่ยก็ทำมือสู้สู้ให้เธอ
ไป๋มู่ชิงถูกหนานกงเฉินพามาที่ลานจอดรถด้านล่างร้านอาหาร แล้วยัดเธอเข้าไปในรถ จากนั้นเขาก็สตาร์ทรถออกไป
หนานกงเฉินไม่ได้พูดอะไร ไป๋มู่ชิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเหมือนกัน ระหว่างทางก็เงียบสงัดจนกระทั่งมาถึงริมแม่น้ำ หนานกงเฉินจอดรถลงบนเขื่อนที่มีคนน้อยแล้วเปิดประตูลงไป
ไป๋มู่ชิงลังเลไปครู่หนึ่งลงรถตามไปด้วย เมื่อเธอปิดประตูรถก็รู้สึกว่าตัวเองพยุงตัวไม่อยู่แล้วถอยหลังไปชนชิดกับประตูรถแล้วเงาของหนานกงเฉินก็เอนลงมาด้วย ริมฝีปากที่อุ่นร้อนจูบเธอแล้วกดตัวเธอลงกับรถ
ไป๋มู่ชิงไม่คิดเลยว่าเขาจะจูบตัวเอง แต่กว่าเธอจะรู้สึกตัวหนานกงเฉินก็ปล่อยซะแล้ว
ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอก็ตบหน้าเขาไปจากนั้นก็ใช้หลังมือตัวเองเช็ดริมฝีปากด้วยสีหน้ารังเกียจ
เขาหมายความว่ายังไง? เพิ่งสวีทหวานกับรักแรกแล้วกลับมากดเธอลงบนรถแล้วจูบงั้นหรอ? คิดว่าเธอเป็นอะไร?
หนานกงเฉินถูกสีหน้าที่เธอรังเกียจกระตุกต่อมอารมณ์ไปแล้วทำให้ความหงุดหงิดก็พุ่งออกมา เขาจับมือข้างที่เธอเช็ดปากตัวเองแล้วจ้องมองเธอ “ผมยังไม่รังเกียจที่คุณสกปรกเลนแต่คุณกลับรังเกียจผมงั้นหรอ?”
“ฉันไม่ได้สกปรกเหมือนคุณ!”
“เธอกับเฉียวเฟิงไม่สกปรกหรอ?” ความหึงหวงเอ่อล้นออกมาจนปิดบังไม่อยู่ “ผมเคยเตือนคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเจอกับเฉียวเฟิงอีก? คุณลืมเร็วขนาดนี้เลยหรอ?”
“ฉันก็เคยเตือนคุณเหมือนกันไม่ใช่เหรอว่าอย่ายุ่งเกี่ยวข้องกับยัยนั่นอีก คุณฟังฉันไหม?” ไป๋มู่ชิงทุบตีหน้าอกเขา “นายคิดว่าคำสัญญาของนายคำเดียวว่าจะไม่หย่ากับฉัน แล้วฉันก็จะรับความรู้สึกที่ยืดยื้อระหว่างคุณกับยายนั่นได้หรอ? ฉันบอกคุณไว้เลย! ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่สามารถทิ้งศักดิ์ศรีแล้วอ้อนวอนขอร้องเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง ถึงแม้ฉันจะจนแต่ฉันก็คิดได้ นี่แหละเป็นข้อดีที่ฉันเหลืออยู่!”
“หรือว่า……” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เขา รอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดมากกว่าการร้องไห้ “ฉันให้คำสัญญากับคุณก็ได้ ว่าทั้งชาตินี้ฉันก็จะไม่หย่ากับคุณ เพราะฉะนั้นคุณก็ไม่ต้องสนใจว่าฉันกับคุณชายเฉียวจะเป็นยังไง กับหลินอันหนานจะเป็นยังไง คุณก็หารักแรกของคุณไป ฉันก็หารักแรกของฉัน เราก็อยู่ใครอยู่มัน!”
“เธอกล้า……?” หนานกงเฉินง้างมือขึ้นสูง
ไป๋มู่ชิงหลับตาลง จากนั้นก็ได้ยินแค่เสียงลมหายใจของเขา แต่ไม่ได้ยินเสียงตบเลย
เธอลืมตาก็เห็นฝ่ามือของเขานิ่งอยู่กลางอากาศ สีหน้าที่หม่นหมองแม้แต่ความมืดในยามค่ำคืนก็ปิดบังไว้ไม่อยู่
“ทำไม? จะตบฉันอีกหรอ?” ไป๋มู่ชิงจ้องมองไปที่เขาอย่างไม่เกรงกลัวแล้วยิ้มเยือกเย็น “คุณตบสิ ตบให้ใจฉันสลายไปเลย คุณก็จะได้ไปอยู่กับคนรักของคุณอย่างสบายใจไง”
หนานกงเฉินลดฝ่ามือลงแล้วทอดมองไปที่เธอ “ผมไม่ตบหรอก กลับไปกับผมเดี๋ยวนี้”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset