เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 183 กระโดดตึก

“หิว” ผ่านมาเป็นเวลานาน หนานกงเฉินถึงปริปากพูดตอบกลับเธอมาหนึ่งคำ
“รู้อยู่แล้วว่าคุณจะต้องหิวแน่” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างร้ายกาจ หัวร้อนเสียขนาดนั้น หากกินอะไรลงก็คงแปลก
เธอลุกขึ้นจากบนร่างหนานกงเฉิน และเอื้อมมือไปห่มผ้าให้เขาจากนั้นก็เดินไปตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดขึ้นมาสวมใส่พร้อมพูดว่า : “คุณนอนพักก่อนสักครู่นะ ฉันจะไปต้มบะหมี่มาให้”
หนานกงเฉินน่าจะเหน็ดเหนื่อยอยู่ เขาขานรับเสียงเบาและปิดตานอนพักผ่อนต่อ
ไป๋มู่ชิงหยิบเส้นบะหมี่และไข่ออกมาจากตู้เย็น จากนั้นจึงตอกไข่ใส่ชามตรวจสอบสักครู่จึงพบว่าแม้จะเก็บไว้นานขนาดนี้ไข่กลับยังไม่เสีย เธอต้มบะหมี่ไข่ง่าย ๆ หลังจากยกเอามาวางบนโต๊ะรับประทานอาหารแล้ว ก็ได้เดินมุ่งไปยังห้องนอน
“บะหมี่เสร็จแล้วนะ รีบลุกขึ้นมาทานเถอะ” เธอยืนอยู่ข้างประตู ยื่นมือไปกดสวิตช์ไฟ ทันใดนั้นเองหนานกงเฉินก็พูดขึ้นห้ามปรามเธอ : “อย่าเปิดไฟ”
ไป๋มู่ชิงชะงักไปชั่วครู่ อย่าเปิดไฟงั้นหรือ ? หนานกงเฉินจะกลัวไฟก็ต่อเมื่ออาการป่วยกำเริบเท่านั้น
“เฉิน คุณโอเคไหม ?” เธอสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขึ้นเตียงไปลูบใบหน้าของเขา พลางมองหน้าเขาภายใต้แสงไฟสลัว ๆ แล้วถามว่า : “หน้าคุณร้อนจังเลย อาการป่วยกำเริบเหรอ ?”
“น่าจะมั้ง เธออยู่ห่าง ๆ ฉันหน่อย” หนานกงเฉินผลักร่างของเธอออก : “เด็กดี ออกไปทานบะหมี่ของเธอเถอะ อย่าสนใจฉันเลย”
ไป๋มู่ชิงพลิกตัวแล้วลงจากเตียง ทว่าเธอไม่ได้ออกไปจากห้องนอน ครั้นเธอไปหายาจากในลิ้นชักและพบว่าลิ้นชักนั้นเปิดอยู่ ขวดยาก็เปิดฝาวางอยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมถามด้วยความกระวนกระวายว่า : “เฉิน คุณทานยาแล้วใช่ไหมคะ ?”
“ทานแล้ว” หนานกงเฉินพูดเร่งเธออีกครั้ง : “เธอออกไปก่อนเถอะ ฉันขอนอนสักพักคงดีขึ้น”
“ในเมื่อไม่หย่ากันแล้ว คุณอย่าคิดไล่ฉันไปอีกเลย” ไป๋มู่ชิงขึ้นไปบนเตียงนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา และจับมือที่เขากุมผ้าห่มไว้แน่น พร้อมถามด้วยความเป็นห่วง : “ทรมานมากใช่ไหม ? ให้ฉันพาคุณไปโรงพยาบาลดีไหม ?”
“ไม่ต้อง” หนานกงเฉินรู้สึกทรมานเป็นอย่างมาก ร่างกายราวกับถูกหนอนจำนวนสิบล้านตัวกัดฉีกอยู่อย่างไรอย่างนั้น เขากอดส่วนเอวของไป๋มู่ชิงเอาไว้แล้วขึ้นคล่อมบนตัวเธอด้วยความเจ็บปวดทรมาน ใบหน้าที่มีเหงื่อเย็น ๆ ไหลท่วมมุดอยู่บริเวณซอกคอของเธอ จากนั้นก็พูดว่า : “มู่ชิง……พวกเราหย่ากันเถอะ……หย่ากันเถอะ……”
“หนานกงเฉิน คุณพูดอะไรของคุณ ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกเจ็บปวดร้าวที่ใจ โผเข้ากอดเขาน้ำตาไหลพราก
น้ำตาของเธอหยดลงบนแก้มของเขา ทั้งอุ่นและเปียก
“ฉันโกหกเธอ……เมื่อหย่ากันแล้วฉันก็จะไม่ยุ่งกับเธออีก……เธอจะไปหาหลินอันหนานของเธอก็ได้ ไปหาหัวหน้าทีมปิงเฟิงของเธอก็ได้……จะไปไหนไกล ๆ ก็ได้……” เขาพูดเสียงเบา
มีเพียงเวลานี้เท่านั้น ที่เขาจะรับรู้ได้ว่าการที่ตนขืนใจให้เธออยู่ข้างกายเช่นนี้นั้นเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวมากเพียงใด และมีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่เขาจะอยากให้อยู่ห่างจากเขา เพื่อไปหาผู้ชายที่ร่างกายแข็งแรงและใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขไปชั่วนิรันดร์ ครั้นไม่ใช่ผู้ที่อาจจะมีอันเป็นไปได้ทุกเวลา ทั้งยังทำร้ายร่างกายเธอจนเจ็บปวดทรมานเมื่ออาการป่วยกำเริบเช่นนี้
“หนานกงเฉิน ฉันต้องบอกคุณกี่ครั้งกัน ฉันไม่คิดอะไรกับหลินอันหนานตั้งนานแล้ว และฉันก็มีความสัมพันธ์กับหัวหน้าทีมปิงเฟิงแค่ผู้ก่อตั้งกลุ่มเล่นเกมด้วยกันเท่านั้น พวกเราไม่เคยแม้แต่เจอหน้ากัน……” ไป๋มู่ชิงพูดพร้อมสะอึกสะอื้น : “ฉันบอกแล้วเหมือนกัน ว่าไม่ว่าอาการป่วยของคุณจะหนักแค่ไหน ฉันก็จะอยู่ข้างกายคุณตลอด……นะคะ……เฉิน……”
อยู่ ๆ ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกว่าแขนที่เขากอดเธอไว้นั้นรัดแน่นมาก แน่นเสียจนเธอหายใจไม่ทั่วท้อง
เมื่อหนานกงเฉินสูญเสียสติไป จึงไม่ทราบว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทว่าเขาใช้สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่สุดท้ายของตนในการคลายเธอออกไป จากนั้นก็พลิกตัวไปอยู่ด้านข้าง ครั้นเนื่องจากไม่ได้ควบคุมแรงของตนให้ดี เขาจึงกลิ้งหล่นลงด้านล่างเตียงไปทันที
ร่างกายของเขากระแทกเข้ากับพื้นอย่างแรงเกิดเป็นเสียงดังตับ ไป๋มู่ชิงตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า จึงรีบลงเตียงเข้าไปประคองคอของเขาเอาไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยความสงสารจับใจ : “เฉิน อดทนไว้นะ คุณทานยาแล้วอีกไม่นานก็จะหายดีนะ อดทนไว้ก่อน……”
เพื่อที่ป้องกันไม่ให้เขาทำร้ายตนเอง เธอทำได้เพียงกอดเขาไว้แน่น โชคดีที่เนื่องจากเขาทานยาแล้วจึงทำให้สงบสติอารมณ์โดยเร็ว เวลาต่อมาก็ได้นอนแนบอิงอยู่ในอ้อมกอดของเธอและผล็อยหลับไป
เมื่อเห็นสีหน้าอันซีดเซียวของหนานกงเฉิน ไป๋มู่ชิงเป็นห่วงเขาที่สุด เป็นห่วงว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกดังเช่นเมื่อก่อน เพราะถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งหายจากอาการป่วยครั้งใหญ่มา
เธอกอดหนานกงเฉินเอาไว้ในอ้อมอกแน่น จากนั้นก็ยื่นมือไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงมาและเปิดเครื่อง จากนั้นก็ต่อสายไปยังคุณหมอจาง
คาดว่าเมื่อคุณหมอจางเห็นเบอร์โทรศัพท์ของหนานกงเฉินแล้วคงรีบกดรับในทันที อีกทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงอันกระวนกระวายใจว่า : “คุณชายเฉิน คุณไปไหนแล้วครับ ? คุณยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้นะ รีบกลับมา……”
“คุณหมอจางคะ” ไป๋มู่ชิงรีบพูดตัดบทเขา พร้อมพูดขึ้นต่อด้วยความเก้ ๆ กัง ๆ เล็กน้อย : “ตอนนี้คุณชายเฉินอยู่ที่คอนโดเซียงตี๋ อาการป่วยของเขากำเริบอีกแล้วค่ะ”
“อะไรนะ ?” คุณหมอจากชะงักไป : “คุณชายเฉินอาการป่วยกำเริบอีกแล้วเหรอ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของคุณหมอจางแล้ว ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็รับรู้ถึงความหนักหนาสาหัสของเรื่องนี้ จึงได้ถามไปด้วยความกระวนกระวายใจ : “คุณชายเฉินยังออกจากโรงพยาบาลไม่ได้ใช่ไหมคะ ? ถ้างั้นตอนนี้ทำยังไงดีคะ ? เขาเพิ่งทานยาและหลับไปแล้ว……”
“แม้คุณชายเฉินจะฟื้นขึ้นมา แต่ร่างกายยังคงอ่อนแอเช่นเคย อย่างน้อยต้องอีกหนึ่งสัปดาห์ถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้” เวลาต่อมาคุณหมอจางรีบพูดใหม่อย่างรวดเร็ว : “นายหญิงน้อยอย่าร้อนใจไปนะครับ ผมจะส่งรถไปรับคุณชายเฉินกลับโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยครับ”
หลังจากวางสายแล้ว ไป๋มู่ชิงก็เกิดอาการสับสนงงงวยทันที
เธอไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้ได้ เธอคิดว่าหนานกงเฉินออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แม่เจ้า……เมื่อสักครู่ที่เธอเห็นร่างกายอันย่ำแย่ของเขา ก็ควรสัมผัสได้แล้วว่าร่างกายของเขายังฟื้นตัวไม่ดี แถมยังปล่อยให้เขาใช้แรงอย่างหนักหน่วงตั้งนานแบบนั้นอีก
ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินที่อยู่ในอ้อมกอด ยิ่งเธอคิดมากเท่าไรก็ยิ่งหวาดกลัวมากเท่านั้น น้ำตาที่เอ่อล้นดวงตาอยู่ ๆ ก็ไหลรินเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ทำยังไงดี ? เฉิน คุณอย่าทำฉันตกใจอย่างนี้สิ ครั้งนี้คุณต้องฟื้นมาเร็ว ๆ เลยนะ……” เธอพูดเสียงสะอึกสะอื้น พลางกอดรักเขาเอาไว้แน่นขึ้นเรื่อย ๆ
รถพยาบาลมาถึงด้วยเวลาอันรวดเร็ว หนานกงเฉินถูกนำส่งเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลอีกครั้ง
ไป๋มู่ชิงเดินเหม่อลอยไปมาอยู่หน้าประตูห้องฉุกเฉิน ร้อนรนใจราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้
และคุณผู้หญิงเมื่อทราบเรื่องว่าอาการของหนานกงเฉินไม่ค่อยดีก็รีบบึ่งมายังโรงพยาบาลทันที หลังจากถึงที่หมายก็เห็นเงาแผ่นหลังของไป๋มู่ชิงอยู่ไกล ๆ เธอสาวเท้าเร็ว ๆ เข้าไปหาไป๋มู่ชิงด้วยความเดือดดาลพร้อมถามว่า : “เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมพอเฉินอยู่กับเธออาการป่วยก็กำเริบอีกแล้วล่ะ ?”
ไป๋มู่ชิงอ้าปากขึ้น ทว่ากลับพูดอันใดไม่ออก
เธอไม่สามารถพูดมันออกมาได้เลย เนื่องจากคราวนี้ที่หนานกงเฉินอาการป่วยกำเริบนั้นเนื่องจากเขาทำกิจกรรมบนเตียงอย่างเร้าร้อนบนสภาพร่างกายอันอ่อนแอเช่นนี้ ถ้าหากให้คุณผู้หญิงทราบเหตุผลนี้ ท่านจะต้องโกรธจนแทบอยากจะฆ่าเธอเป็นแน่
“พูดสิ !” คุณผู้หญิงตะคอกไป ด้วยความรู้สึกที่ทั้งโมโหทั้งร้อนรนใจ
ไป๋มู่ชิงตอบกลับด้วยความรู้สึกผิด : “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“นี่ เธอว่าทำไมเฉินต้องแจ้นไปหาเธอด้วยนะ ? ทำไมไปหาเธอแล้วอาการป่วยกำเริบเลย ?”
“เขา……เขาไปหาหนูเพื่อคุยเรื่องหย่ากันค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นมาหนึ่งประโยคภายใต้ความกระวนกระวายใจ : “ถูกต้อง เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ค่ะ”
เธอไม่ได้พูดปลด หนานกงเฉินมาเพื่อคุยเรื่องหย่ากับเธอจริง ๆ เพียงแค่หลังจากคุยกันเสร็จแล้วก็กลับกลายเป็นสะบัดสะบอมอยู่บนเตียงเท่านั้นเอง แถมยังทำให้เขาอาการป่วยกำเริบอีก เมื่อคิดถึงความไร้เดียงสาและความประมาทของตนเองแล้ว น้ำตาของไป๋มู่ชิงจึงได้ไหลรินลงอาบแก้มด้วยความทนไม่ไหว
ถ้าหากหนานกงเฉินไม่ฟื้นขึ้นมาดังครั้งก่อนแล้วนั้น เธอคงคับแค้นใจเป็นอย่างมากแน่นอน
“คิดไว้แล้วเชียวพอเจอเธอก็คงไม่มีเรื่องดีอะไรหรอก นังตัวซวย !” คุณผู้หญิงโมโหจัดจนง้างมือขึ้นมาหมายจะตบหน้าเธอ ครั้นไป๋มู่ชิงเองก็ไม่ได้หลบแต่อย่างใด เนื่องจากเธอคิดว่าตนสมควรแล้วกับการถูกตบ
สุดท้ายจูจูที่มาพร้อมคุณผู้หญิงได้ห้ามปรามเธอเอาไว้ จูจูหันมองหน้าไป๋มู่ชิงและพูดขึ้นปลอบประโยนว่า : “คุณย่าคะ อย่าโกรธเลยนะคะ การที่คุณชายเฉินอาการป่วยกำเริบไม่ได้เกิดจากมู่ชิงหรอกค่ะ จะไปโทษเธอไม่ได้นะคะ”
“ป่านนี้แล้ว เธอยังพูดแทนมันอีกเหรอ” คุณผู้หญิงหันหน้าไปหาจูจู : “เธอก็เหมือนกัน ฉันให้เธอดูแลเฉินแต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่เขาหนีออกจากโรงพยาบาลไปแล้วก็ยังไม่รู้เลย”
เมื่อถูกคุณผู้หญิงพูดตำหนิมาเช่นนี้ จูจูจึงก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิดและรู้สึกขอโทษ : “ขอโทษนะคะ หนูผิดเองที่ไม่ได้ดูแลคุณชายเฉินให้ดี ครั้งหน้าจะระวังนะคะ”
แม้จะทราบว่าต้องถูกปฏิเสธแน่นอน ครั้นไป๋มู่ชิงยังคงอดไม่ได้จนต้องปริปากพูดขอร้องออกมา : “คุณย่าคะ ขอร้องให้หนูอยู่ดูแลเฉินเถอะนะคะ หนูดูแลเขาได้ดีกว่าคุณหนูจู”
“เธอน่ะเรอะ ?” คุณผู้หญิงพูดด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น : “ตัวซวยอย่างเธออยู่ห่างจากเฉินหน่อยจะดีที่สุด ถือซะว่าฉันขอร้องละนะ”
ไป๋มู่ชิงรวบรวมความกล้าทั้งหมดพูดต่อไปว่า : “คุณย่าคะ หนูขอพูดตามความจริงเลยก็แล้วกันค่ะ เดิมทีเฉินเขาไม่อยากหย่ากับหนูเลย หนูไม่ได้อยากฮุบเอาอะไรของตระกูลหนานกงไปทั้งนั้น หนูแค่หวังว่าท่านจะสนใจความคิดของเฉินบ้าง ถ้าท่านดื้อดึงบังคับอยากให้เขาหย่ากับหนูให้ได้อย่างนี้ มีแต่จะทำให้อาการป่วยของเขาหนักขึ้นเรื่อย ๆ นะคะ”
แม้ว่าเธอจะพูดอย่างจริงใจ ทว่าคุณผู้หญิงยังคงมีสีหน้าดูหมิ่นเธอเช่นเคย : “เธอไม่ต้องห่วงหรอกนะ แค่เขาแต่งงานกับจูจูแล้ว อาการป่วยของเขาก็จะดีขึ้นเองโดยธรรมชาติละ”
ดูเหมือนว่าคุณผู้หญิงจะปักใจเชื่อเรื่องคูครองฟ้าลิขิตนี่เป็นอย่างมาก ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าตนควรพูดเช่นไรต่อดี
ทว่าคุณผู้หญิงกลับชายตามองเธอและพูดขึ้นต่อไปว่า : “ไป๋มู่ชิง ฉันขอเตือนเธอไว้นะ ไม่ว่าเธอจะผ่านอะไรกับหนานกงเฉินมาหรือเคยพูดอะไรกันไว้บ้าง กรุณาลืมมันไปทั้งหมด ฉันจะทำให้เฉินลืมไปหมดเหมือนกัน จำไว้ว่าพวกเธอทั้งคู่จะต้องหย่ากันและเฉินก็จะต้องแต่งงานกับจูจูในอีกไม่นานแล้ว ขืนเธอยังกล้ามายั่วยวนเขาอีก ทำให้ร่างกายเขาทรุดลงขัดขวางภารกิจที่ทรวงสรรค์ให้เขาทำ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน !”
“เมื่อเฉินฟื้นขึ้นมา เธอสนใจแค่ให้ความร่วมมือทุกคนในการหย่าก็พอ เรื่องอื่นเธอไม่ต้องมายุ่ง ไม่อย่างนั้น……” คุณผู้หญิงครุ่นคิดชั่วครู่ : “ฉันได้ยินมาว่าเธอยังมีน้องชายกับแม้แท้ ๆ แถมเฉินเป็นคนช่วยเหลือพวกเขามาซะด้วย ถ้าเฉินมีอันเป็นไปอะไรฉันจะให้พวกเธอทั้งสามคนตายตามเขาไปด้วย”
ไป๋มู่ชิงเย็บวูบในใจ คิดไม่ถึงว่าคุณผู้หญิงจะทำตามไป๋ยิ่งอัน ที่เอาแม่และน้องชายเธอมาข่มขู่เธอเช่นนี้ ?
แม่เจ้า เธอควรทำเช่นไรดี !
เธอเคยรับปากไว้ว่าจะอยู่เคียงข้างหนานกงเฉิน เธอเคยบอกว่าจะไม่เชื่อคำเล่าลืออันใดทั้งนั้น ทว่าคุณผู้หญิงทำจนถึงขั้นนี้แล้วเธอจะทำอย่างไรได้อีก ?
“ถ้าเธอหวังดีกับเฉินจากใจจริงก็ควรปล่อยเขาไปซะ ให้โอกาสเขาได้อยู่กับจูจู บางทีหลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันแล้วอาการป่วยของเขาดีขึ้นจริง ๆ ล่ะ ? หรือว่าเธอไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงใช้ไม้อ่อนหลังจากที่ใช้ไม้แข็งแล้ว
“อยากสิคะ……”
“ถ้างั้นก็เชื่อฟังคำพูดของท่านอาจารย์หวัง อยู่ห่าง ๆ เขาไว้”
คุณผู้หญิงพูดอย่างชัดเจนว่าจะต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านอาจารย์หวัง มิเช่นนั้นหนานกงเฉินก็ต้องมีอันเป็นไป แม้ไป๋มู่ชิงจะตัดใจไม่ลงครั้นต้องจำยอมจากไปแต่โดยดี ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของหนานกงเฉินด้วย
เธอถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลอีกครั้ง เรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างภายในคอนโดผุดขึ้นมาและหายไปราวกับอยู่ในความฝัน
ความเข้มแข็งที่กว่าจะสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก ก็ได้ล่มสลายลงภายในชั่วพริบตาเดียว เธอหันหลังไปมองตึกขนาดใหญ่ของโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าอีกครั้งสายตาพลางกวาดมองไปยังหน้าต่างของห้องผู้ป่วยชั้นสาม และพูดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ภายในใจว่า : “เฉิน บางทีคุณลองดูวิธีนี้ก่อนก็ได้นะ มันอาจได้ผลจริง ๆ……”
เธอผู้ที่ไม่เชื่อคำเล่าลือมาโดยตลอด ก็ได้เริ่มเชื่อแล้ว
หนานกงเฉินฟื้นขึ้นมาช่วงเช้าวันถัดมา เขาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ จากนั้นก็กวาดสายตามองรอบทิศและขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด เวลาต่อมาก็เริ่มตกอยู่ในภวังค์ความคิดอย่างหนัก
“เฉิน ฟื้นแล้วเหรอ ?” คุณผู้หญิงถามอย่างดีอกดีใจ
หนานกงเฉินหันหน้ามา แล้วมองไปยังทุกคนที่ยืนอยู่รอบเตียง จึงขมวดคิ้วขึ้นมาหนักขึ้น : “ผมควรอยู่คอนโดไม่ใช่เหรอ ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”
“หลานเป็นอะไรไป ? หลานอยู่ในโรงพยาบาลมาตลอดไม่ใช่เหรอ ?” คุณผู้หญิงแกล้งทำสีหน้าที่ไร้เดียงสา
หนานกงเฉินค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่งบนเตียง จากนั้นก็ใช้มือกุมหัวอันเจ็บปวดของตนเอาไว้
เมื่อคุณผู้หญิงเห็นสีหน้าอันเจ็บปวดของเขาแล้วจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย : “เฉิน เป็นอะไรไป ? โอเคหรือเปล่า ?” ขณะเดียวกันก็เป็นกังวลใจเล็กน้อย คิดในใจว่าคุณหมอใส่ยาแรงเกินไปหรือไม่ ?
เมื่อวานนี้เธอให้คุณหมอฉีดยาให้เขาหนึ่งเข็ม เพื่อทำให้หนานกงเฉินลืมเรื่องที่อยู่กับไป๋มู่ชิงเสีย ไม่ทราบเช่นกันว่าจะได้ผลหรือไม่
หนานกงเฉินอาการกลับมาคงที่อย่างยากลำบาก เขาเงยหน้าขึ้นมาสอบถามว่า : “ผมอยู่ในโรงพยาบาลตลอดเลยเหรอ ?”
“ใช่น่ะสิ เป็นอะไรเหรอ ? หลานไม่ได้ความจำเสื่อมหรอกใช่ไหม ?” คุณผู้หญิงสอบถาม
หนานกงเฉินส่ายหน้า เกิดอะไรขึ้น ? หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคอนโดนั้นเป็นเพียงฉากฝันหวานเท่านั้น ? เขาไม่ได้เจอหน้าไป๋มู่ชิง ? ไม่ได้ทำกิจกรรมบนเตียง ? เขาไม่ได้อาการป่วยกำเริบที่คอนโดด้วยงั้นหรือ……?
ความทรงจำที่ชัดเจนเช่นนี้ เป็นเพียงความฝันเท่านั้นหรือ ?
เขานิ่งเงียบไปนานสองนาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นสอบถาม : “มู่ชิงได้มาเยี่ยมหรือเปล่า ?”
“ไม่นะ เธอพูดแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้หลานเอาใบสำคัญการหย่าไปให้เธอก็พอแล้ว”
“เห็นทีว่าสิ่งที่พี่ลืมไม่ลงที่สุดก็คือพี่สะใภ้สินะ” ผู่เหลียนเหยาเดินเข้ามาโดยมีผู้ดูแลอยู่ท่านหนึ่ง จากนั้นก็มองหนานกงเฉินที่นอนป่วยอยู่บนเตียงพลางพูดขึ้นว่า : “พี่คะ เลิกหัวดื้อได้แล้ว หัวดื้อจนไม่พูดเรื่องที่ตัวเองอึดอัดใจออกมา ทำให้คุณย่าเป็นห่วงตามอีก”
เธอมองหน้าจูจูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ : “พี่ดูสิคุณหนูจูดีขนาดไหน ดูแลพี่อยู่อย่างเงียบ ๆ แบบนี้มาตลอดเลยโดยไม่นึกเสียใจภายหลัง”
จูจูรีบพูดขึ้นทันควัน : “คุณหนูผู่คะ คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันกับคุณชายเฉินเป็นแค่เพื่อนสนิทกันเท่านั้น ไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างอื่นค่ะ”
“เพื่อนสนิททำได้เท่านี้เชียว แต่คนที่เป็นภรรยาแท้ ๆ กลับไม่เห็นเงามาตั้งสามวันแล้ว เพราะงั้นที่พี่หัวดื้อมาก็ไม่คุ้มเลยสิ”
“เหลียนเหยา สนใจเรื่องตัวเองก็พอแล้ว” หนานกงเฉินไม่พอใจ
ผู่เหลียนเหย่าหดคอลง : “ขอโทษค่ะ ฉันก็แค่เห็นว่าคุณย่ากลุ้มใจเรื่องพี่ทุกวัน จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็เลยไม่สบายใจ”
คุณผู้หญิงหายใจเขาสั้น ๆ จากนั้นก็พูดกับหนานกงเฉินว่า : “เฉิน ย่าให้แกไปเห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนนั้นตั้งนานแล้วนะ ถ้าแกยังดื้อดึงไม่สำนึกอยู่อีกละก็……” เธอเก็บคำพูดสุดท้ายเอาไว้เนื่องจากบันดาลโทสะ จึงไม่ได้พูดต่อไป
หนานกงเฉินกลับมองหน้าเธอแล้วพูดต่อว่า : “มู่ชิงเป็นคนยังไงผมชัดเจนยิ่งกว่าใคร ๆ ต่อให้เธอชอบหลินอันหนานก็ไม่มีทางใจร้ายไม่มาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลสักครั้งหรอก”
“ความหมายของแกคือ……ย่าไม่ให้หล่อนมางั้นเหรอ ?”
“ไม่ใช่เหรอครับ ?” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่เกรงใจ : “คุณย่า เรื่องแบบนี้คุณย่าทำได้อยู่แล้ว”
“หนานกงเฉิน !”
“คุณย่าผมรู้ว่าคุณย่าหวังดีกับผม แต่ตอนนี้ผมสบายดีมาก ไม่ต้องเป็นห่วงผมอีกแล้วครับ”
“สบายดีงั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงอารมณ์ปะทุขึ้น : “แกเกือบตายอยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว ยังกล้าพูดว่าตัวเองสบายดีอีกเรอะ ?”
“โรคนี้ผมเป็นมาตั้งแต่เด็ก การที่แต่งงานกับจูจูแล้วผมจะไม่อาการกำเริบอีกมันจะเป็นเรื่องจริงเหรอ ?”
“ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ไง ?”
“เรื่องการแต่งงานมันลองได้ด้วยหรือไง ?” หนานกงเฉินก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาเช่นเดียวกัน : “ถ้าเกิดครั้งนี้ผิดพลาดอีกครั้ง งั้นผมต้องทิ้งจูจูแล้วแต่งงานใหม่อีกใช่ไหม ?”
“ท่านอาจารย์หวังพูดไว้แล้วว่า ครั้งนี้ไม่มีทางผิดแน่ จูจูคือคู่ครองฟ้าลิขิตของหลานจริง ๆ” คุณผู้หญิงรู้สึกไม่เข้าใจจึงได้ถามไปว่า : “ฉันละไม่เข้าใจจริง ๆ ปีนั้นพวกเธอทั้งสองจะคบกันให้ได้ แต่ตอนนี้ให้พวกเธอแต่งงานกับทำไมถึงยากแบบนี้ ?”
“เพราะผมไม่ได้คิดอะไรกับจูจูแล้ว คนที่ผมรักตอนนี้คือไป๋มู่ชิง ผมไม่เชื่อเรื่องคู่ครองฟ้าลิขิตอะไรหรอกนะ คุณย่าจะต้องให้ผมพูดอีกกี่ครั้ง ?”
“หนานกงเฉิน แกจะต้องดื้อจนย่าอกแตกตายถึงจะสบายใจใช่ไหม ?” คุณผู้หญิงตัดสินใจใช้ไม้โหดข้อสุดท้าย
ทุกครั้งที่เธอใช้ความเป็นความตายเข้ามาพูด โดยปกติแล้วหนานกงเฉินก็จะพูดตอบรับ เธอคิดว่าครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
ครั้นคิดไม่ถึงว่าหนานกงเฉินกลับพูดโต้ตอบกลับมาว่า : “คุณย่าจะใช้วิธีกระโดดตึกตายมาบังคับให้ผมยอมอีกแล้วใช่ไหม ? จะบอกให้นะครั้งนี้อย่าได้แม้แต่จะคิด ไม่อย่างนั้นผมจะกระโดดไปพร้อมคุณย่าเลยก็ได้”
“เลิกทะเลาะกันสักทีเถอะค่ะ” ทันใดนั้นผู้ที่นิ่งเงียบมาตลอดอย่างจูจูก็โพล่งขึ้นมาหนึ่งประโยค
ในที่สุดบรรยากาศภายในห้องผู้ป่วยก็เงียบสงบทันที
จูจูกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่รอบ ๆ จากนั้นก็พูดกับคุณผู้หญิงว่า : “คุณย่าคะ ในเมื่อคุณชายเฉินเขายืนยันอยากอยู่กับมู่ชิง คุณย่าก็สนองความต้องการเขาเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นให้เขาแต่งงานกับหนูก็ไม่มีความสุขเหมือนเดิม”
“ตอนนี้ฉันต้องการแค่ให้ร่างกายเขาแข็งแรงเท่านั้น ไม่ต้องการให้เขามีความสุข” คุณผู้หญิงพูดตอบกลับเธอด้วยบันดาลโทสะ
จูจูหันหน้าไปทางหนานกงเฉินอีกครั้ง พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำตาว่า : “เฉิน ฉันรู้ว่าปีนั้นฉันผิดเอง ฉันไม่ควรทิ้งคุณไป ตอนนี้คุณตกหลุมรักคนอื่นไปแล้วฉันจะไม่โทษคุณเลย ฉันแค่หวังอยากให้คุณได้อยู่กับคนที่รักและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ถ้าบนโลกนี้ไม่มีคู่ครองฟ้าลิขิตอะไรนั่นคุณก็ไม่ต้องเป็นทุกข์แบบนี้ใช่ไหม ? ถ้าฉันตายไป คุณกับมู่ชิงก็สามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแล้วใช่ไหม……?”
เธอเดินถอยหลังไปเรื่อย ๆ : “เฉิน ฉันรักคุณจริง ๆ นะคะ และอยากให้คุณมีความสุขจากใจจริง ๆ ฉันยอมใช้ชีวิตของฉันในการสนองความสุขของคุณ คุณจะต้องมีความสุข……”
หลังจากที่เธอพูดประโยคนี้จบ ก็หันหลังเดินพุ่งไปยังระเบียงทันทีโดยไม่ทันให้ทุกคนตอบสนองทันจากนั้นเธอก็ปีนข้ามรั้วกั้นกระโดดลงไปด้านล่าง ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของทุกคน
“แม่เจ้า ! จูจูเธอ –!” คุณผู้หญิงไม่อยากเชื่อในตาตนเอง
ผู่เหลียนเหยาเองก็กรีดร้องขึ้นมาเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ : “คุณหนูจูกระโดดตึกลงไปแล้ว !”
หนานกงเฉินเลิกผ้าห่มออกแล้วลงเตียง จากนั้นก็สาวเท้ายาว ๆ พุ่งไปยังหน้าประตูห้องผู้ป่วย
เนื่องจากเป็นห่วงว่าหนานกงเฉินจะไม่ฟื้น ไป๋มู่ชิงแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน
หลังจากที่ฟ้าสว่าง เธอรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเซิ่งซิน ทว่าโทรศัพท์ของเซิ่งซินกลับปิดเครื่องอยู่
ท้องฟ้าสว่างขึ้นเรื่อย ๆ เธอเองก็นั่งไม่ติดที่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาปกติแล้วเวลานี้หนานกงเฉินควรฟื้นได้แล้ว ไม่รู้ว่าวันนี้จะฟื้นหรือยัง
ถึงแม้ว่าคุณผู้หญิงจะไม่ให้เธอไปเยี่ยมหนานกงเฉินที่โรงพยาบาล ทว่าเธอยังคงมาที่แผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลอยู่ดี ต่อให้ได้เห็นเพียงว่าเขาฟื้นแล้วหรือยังก็ดี
เมื่อเธอมาถึงแผนกผู้ป่วยในแล้ว ก็ได้มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนมุงกันอยู่ในสวนดอกไม้ชั้นล่าง พร้อมทั้งมีเสียงสนทนากันเจื้อยแจ้ว ฟังได้ใจความว่าดูเหมือนจะมีคนกระโดดตึก
ไป๋มู่ชิงไม่สนเรื่องข่าวชาวบ้านเหล่านี้ ทว่าเมื่อเธอได้ยินมีคนพูดว่ามีคนกระโดดตึกลงมาจากชั้นสามแล้วนั้น เธอจึงอึ้งไปในทันที พร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นมองห้องผู้ป่วยพิเศษของหนานกงเฉินชั้นสาม จากนั้นก็สาวเท้าเดินเบียดเสียดเข้าไปในกลุ่มคน
เมื่อเธอเห็นเป็นร่างผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนคว่ำอยู่ในสวนดอกไม้แล้วนั้น จึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกเงียบ ๆ โชคดีที่ไม่ใช่หนานกงเฉิน !
ทว่า……เธอมองดูเรื่อย ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าแผ่นหลังของผู้หญิงคนนั้นคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างมาก เมื่อเธอตั้งใจจ้องมองดู จึงพบว่าเป็นจูจู ?
เวลาต่อมาเธอก็เห็นหนานกงเฉินวิ่งเบียดผู้คนเข้ามาด้วยความรีบร้อนดั่งไฟเผา หลังจากที่มองเห็นจูจูแล้วก็พลิกร่างของเธอขึ้นพร้อมกอดเธอเอาไว้แน่น เขาเรียกชื่อของเธอด้วยความร้อนรนใจไปพลางใช้มือลูบใบหน้าที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือดสด ๆ ของเธอไป
ผ่านไปไม่นานภายนอกกลุ่มคนก็มีบุคลากรทางการแพทย์เบียดเข้ามา หลังจากที่หนานกงเฉินวางจูจูลงบนเปลด้วยตนเองแล้วนั้น ก็วิ่งพุ่งไปทางห้องฉุกเฉินพร้อมกับคุณหมอทันที
กลุ่มคนมุงค่อย ๆ แยกย้ายกันไป เหลือไว้เพียงไป๋มู่ชิงที่ยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม
ภายในเวลาอันสั้นนี้ เธอได้รับสองข่าวสาร หนึ่งหนานกงเฉินฟื้นขึ้นมาแล้ว สองจูจูกระโดดตึก ทว่าเหตุใดจูจูถึงได้กระโดดตึก ?
เธอเงยใบหน้าเรียวเล็กของตนขึ้นมองด้านบน จึงพบกับคุณผู้หญิงที่ยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามกำลังจ้องมายังตนด้วยสายตาที่ฆ่าคนได้ หัวใจของไป๋มู่ชิงเต้นตุบตับอย่างแรง ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหนหรือทำอะไรดี
เธออยากทราบเป็นอย่างมากว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทว่าสายตาของคุณผู้หญิงนั้นน่ากลัวเหลือเกิน เธอจึงตัดสินใจว่าเดินจากไปจะดีที่สุด
เพียงแค่เธอยังไม่ทันได้ออกจากอาคารผู้ป่วยใน ยามสองคนก็มาขวางเธอไว้ และยามสองคนนั้นก็บอกเธอว่าคุณผู้หญิงอยากพบเธอ ไป๋มู่ชิงลังเลอยู่ชั่วครู่ ครั้นสุดท้ายก็ยังคงเดินกลับห้องผู้ป่วยชั้นสามไปพร้อมยามสองคนนั้นอยู่ดี
เมื่อเสียงเปิดประตูดังขึ้น คุณผู้หญิงที่ยืนอยู่ระเบียงหันหน้ามองหน้าเธอ จากนั้นก็ง้างมือตบลงบนใบหน้าของเธอ : “ถ้าจูจูตาย ชาตินี้เฉินไม่เพียงแต่จะไม่มีชีวิตรอด ชาติหน้าก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีเหมือนกัน เธออยากให้เขาติดหนี้ความรักทุกพบทุกชาติไปเลยงั้นเหรอ ? อยากให้เขาทุกข์ทรมานกับคำสาปทุกพบทุกชาติไปเลยงั้นเหรอ ? เพื่อที่จะได้ครอบครองเขา เธอไม่เห็นแก่ความเป็นความตายของเขาเลยงั้นเหรอ ?”
ไป๋มู่ชิงจำไม่ได้แล้วว่าตนถูกคุณผู้หญิงตบหน้ามากี่หนแล้ว เธอยกมือขึ้นอังแก้มของตนเองเอาไว้ น้ำตาไหลรินลงมา
เธอไม่ทราบว่าการที่จูจูกระโดดตึกครั้งนี้คือการแสดงละครอะไร ทว่าผู้หญิงคนนั้นยอมทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้ในสิ่งที่ตนปรารถนา สามารถทำร้ายตนเองได้ทุกทาง เธอไม่ได้เป็นห่วงว่าจะสู้จูจูไม่ได้ แต่ว่า……คุณหนูจูดันเป็นคู่ครองฟ้าลิขิตของหนานกงเฉิน สิ่งนี้ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
เมื่อเห็นท่าทางเป็นห่วงจูจูของหนานกงเฉินเมื่อสักครูนี้แล้ว เธอเชื่อว่าหนานกงเฉินยังคงมีใจให้จูจูอยู่ ถ้าหากพวกเขาทั้งสองแต่งงานกัน หนานกงเฉินอาจจะไม่ชินในช่วงแรก ทว่าสุดท้ายจะต้องกลับมาตกหลุมรักจูจูได้ใหม่ จากนั้นก็ต้องใจกันมีความสุขในชีวิตคู่แน่นอน
ต้องใจกัน……ประโยคนี้แผดเผาอยู่ในหัวใจของเธอ เธอรู้สึกว่าหัวใจของตนกำลังมีเลือดหยดลงช้า ๆ !
เธอหันหลังเดินออกไปยังห้องผู้ป่วย ด้วยความรู้สึกเจ็บสะท้านภายในใจ
สิ่งที่เธอควรจะรู้สึกโชคดี คือระหว่างเธอกับหนานกงเฉินนั้นไม่ได้แตกหักกันเนื่องจากความรู้สึก พวกเขาไม่ได้พ่ายแพ้ให้กับความรักที่มีต่อกัน ครั้นพ่ายแพ้ให้กับคำเล่าลือ !
คำเล่าลือของตระกูลหนานกง เป็นสิ่งที่เธอไม่เชื่อมาโดยตลอด ครั้นสุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับมันจนได้ !

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset