หลังจากที่จูจูถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน หนานกงเฉินยังคงแข็งทื่ออยู่ที่เดิม สายตามองไปที่ประตูใหญ่ของห้องฉุกเฉินที่ปิดลง
เขายืนอยู่ที่เดิมสักพัก คุณผู้หญิงก็รีบตามมา ถามอย่างร้อนรน:“คุณหนูจูเป็นยังไงบ้าง?”
หนานกงเฉินมองที่เขา แล้วส่ายหน้า:“ไม่ทราบครับ คุณหมอยังไม่ออกมา”
คุณผู้หญิงเดินวนไปมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างร้อนใจ ขณะที่เดินอ้อมกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาก็ยื่นมือมาตีที่แขนเขา:“เป็นเพราะแก ถ้าคุณหนูจูตายขึ้นมา แกจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต!”
หนานกงเฉินขมวดคิ้วอย่างหมดคำพูด ถึงแม้ว่าเขาจะกังวลอาการบาดเจ็บของคุณหนูจูมาก แต่ประโยครู้สึกผิดไปตลอดชีวิตฟังไม่เข้าหูจริงๆ
“ที่คุณหนูจูกระโดดตึกเป็นเพราะแกไปทำร้ายจิตใจเธอ แกนี่นะ……” คุณผู้หญิงตำหนิไม่หยุด
ไม่นานคุณหมอก็ออกมา เห็นท่าทางร้อนใจของพวกเขาทั้งสองคนแล้ว ก็รีบยิ้มปลอบใจ:“คุณผู้หญิง คุณชายเฉิน พวกคุณไม่ต้องเป็นกังวลไป คุณหนูจูไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไรมากครับ”
“จริงเหรอ?” คุณผู้หญิงอดใจรอไม่ไหวรีบถาม
คุณหมอพยักหน้า:“ชั้นสามไม่ถือว่าสูงมาก อีกอย่างชั้นล่างเป็นแปลงปลูกดอกไม้ ถือว่าคุณหนูจูดวงดีนะครับ”
“งั้นเธอบาดเจ็บตรงไหน?” หนานกงเฉินถาม
“ขาได้รับบาดเจ็บจากการแขวนกับกิ่งไม้ครับ ส่วนศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนนิดหน่อยเพราะแรงกระแทก แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่การบาดเจ็บอะไรที่ร้ายแรง พักฟื้นที่โรงพยาบาลสักสองวันก็ดีขึ้นแล้ว ทุกคนวางใจได้ครับ”
ได้ยินที่คุณหมอพูด คุณผู้หญิงและหนานกงเฉินก็ถอนหายใจ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!
หนานกงเฉินเงียบไปประมาณสองวินาที ก็รีบถามต่อ:“งั้นตอนนี้เธอฟื้นหรือยัง?”
“ตอนนี้ยังครับ แต่น่าจะใกล้ฟื้นแล้ว อีกไม่นานคุณชายเฉินก็จะได้เจอเธอแล้วล่ะครับ” คุณหมอพูด:“ถ้าคุณชายเฉินไม่วางใจ หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมาสามาถทำการตรวจความสมบูรณ์ของร่างกายได้อีกครับ”
หนานกงเฉินพยักหน้า พอคุณหมอพูดถึงอาการของจูจูอีกนิดหน่อยก็จากไป
ไม่นานจูจูก็ถูกย้ายไปที่ห้องผู้ป่วยทั่วไป คุณผู้หญิงและหนานกงเฉินมาถึงห้องผู้ป่วย ยืนอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยแล้วสังเกตเธอ คุณผู้หญิงก็พูดกับหนานกงเฉินว่า:“แกรออยู่ที่นี่จนกว่าเธอจะฟื้น ถ้ากล้าทำร้ายจิตใจเธอจนเธอคิดสั้นอีกฉันจะไม่เกรงใจแกแล้ว”
หนานกงเฉินชำเลืองมองคุณผู้หญิง ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากที่คุณผู้หญิงไป หนานกงเฉินก็หาเก้าอี้สักตัวนั่งลง สังเกตจูจูที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างไกลๆ
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดจูจูก็ฟื้นขึ้นมาจากการสลบ เธอลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างช้าๆ หลังจากที่สังเกตรอบทิศแล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างของหนานกงเฉิน
“คุณฟื้นแล้ว?” หนานกงเฉินลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวเท้าเข้ามาหาเธอ
จูจูมองเห็นเขา ถามอย่างอึ้งๆ:“ฉันยังไม่ตาย?”
“อืม คุณหมอบอกว่าคุณแค่ได้รับบาดเจ็บภายนอกนิดหน่อย พักฟื้นสองวันก็หายแล้ว” สายตาของหนานกงเฉินจ้องไปที่เธอ ในสายตานั้นเป็นสายตาที่ทั้งตำหนิทั้งสงสาร:“ทำไมคุณถึงโง่ขนาดนั้น? ถ้าผมพักอยู่ที่ชั้นสิบล่ะ คุณกระโดดลงไปอย่างนี้ใครจะช่วยคุณได้?”
ถูกเขาพูดแบบนี้ จูจูก็สะอึกสะอื้นร้องไห้ขึ้นมาทันที มองเขาที่ตำหนิตัวเอง น้ำตาก็ไหลเป็นทาง:“ทำไมไม่เป็นชั้นสิบล่ะ? ถ้าเป็นชั้นสิบคงจะดีกว่า ถ้าเป็นชั้นสิบตอนนี้ฉันก็คงไม่ต้องฟื้นขึ้นมา คงไม่ต้องกลายเป็นตัวขัดขวางระหว่างคุณกับมู่ชิง……”
“จู อย่าพูดคำพูดโง่ๆแบบนี้”
“ที่ฉันพูดไม่ใช่คำพูดโง่ๆ ฉันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจริงๆ” จูจูใช้มือปาดน้ำตาบนหน้า:“เฉิน แค่ฉันมีชีวิตอยู่หนึ่งวัน คุณย่าคงไม่ยอมแพ้บังคับให้คุณแต่งงานกับฉันแน่ ฉันเคยพูดว่าฉันจะปกป้องความสัมพันธ์ของคุณกับมู่ชิงเอง แต่นอกจากวิธีนี้แล้วฉันก็คิดไม่ออกว่าจะมีวิธีไหนอีก ทำยังไงดี?”
หนานกงเฉินหยิบทิชชู่ส่งให้เธอ ส่ายหน้า:“ผมไม่ต้องการให้คุณช่วยอะไร คุณก็ใช้ชีวิตของตัวเองไป ดูแลตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”
“แต่คุณย่าจะบังคับคุณให้แต่งงานกับฉัน……”
“คุณวางใจเถอะ เรื่องคุณย่าผมจะจัดการเอง” หนานกงเฉินยื่นมือไปลูบหน้าผากเธอ:“พักผ่อนดีๆ ไม่ต้องคิดมากอะไรแล้ว”
จูจูพยักหน้า แล้วดึงมือของเขาไว้ จ้องเขาเต็มไปด้วยน้ำตา:“เฉิน คุณโทษฉันหรือเปล่า?”
“โทษคุณเรื่องอะไร?”
“โทษฉันที่กลับประเทศมาเวลานี้ โทษที่ฉันเข้าไปยุ่งวุ่นวายในชีวิตของคุณกับมู่ชิง” น้ำตาในตาเธอ ยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
หนานกงเฉินยิ้มบางๆ ส่ายหน้า:“ไม่หรอก อย่าคิดมาก”
“งั้นก็ดีไป” จูจูปล่อยมือเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วอมยิ้มเร่งเขา:“ไปเถอะ ไปพามู่ชิงกลับมา คุยกับคุณย่าดีๆ เชื่อว่าเขาคงยอมแพ้เรื่องที่บังคับให้พวกคุณหย่ากัน”
“ผมจะให้เสี่ยวหยวนมาดูแลคุณ” หนานกงเฉินยังคงยิ้มบางๆ
มองรอยยิ้มของเขาที่ดูสง่าและสุภาพบุรุษนั้น จูจูก็ถอนหายใจด้วยความเสียใจ
เธอหวังมากว่าหนานกงเฉินจะปฏิบัติต่อตัวเองเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อไปมู่ชิง ต่อให้ต่อว่าเธออย่างรุนแรง ด่าเธออย่างบ้าคลั่งว่าทำไมต้องกระโดดตึกก็ตาม แต่ไม่ใช่ปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนนอกแบบนี้ ทำอย่างกับว่าเธอเป็นแขกยังไงอย่างงั้น
เดินออกมาจากห้องผู้ป่วยของจูจู หนานกงเฉินก็ไม่ได้ตรงกลับไปห้องผู้ป่วยของตัวเอง แต่กลับเดินไปด้านนอกโรงพยาบาลแล้วโทรหาไป๋มู่ชิงไปด้วย แต่ไม่ว่าเขาจะโทรไปยังไง เบอร์ของไป๋มู่ชิงก็โทรไม่ติดตลอด
หลังจากที่เขาออกจากโรงพยาบาลไม่นาน คุณหมอจางก็มาหาเขาที่ห้องผู้ป่วย คุณผู้หญิงบอกเขาว่าหนานกงเฉินอยู่ที่ห้องผู้ป่วยของจูจู คุณหมอจางก็ให้พยาบาลไปหาที่ห้องผู้ป่วยของจูจู สิ่งที่ได้คือหนานกงเฉินออกจากห้องผู้ป่วยของจูจูไปนานแล้ว
“เจ้าหมอนี่ไปไหนอีกแล้ว?” คุณผู้หญิงพ่นคำด่าออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ สั่งให้ผู่เลี่ยนเหยาโทรหาหนานกงเฉิน
ผู่เลี่ยนเหยาโทรไปหลายสายแต่สายก็ไม่ว่างทุกสาย คุณผู้หญิงก็เลยให้ทุกคนตามหาในโรงพยาบาล
หาไปแล้วหนึ่งรอบก็ไม่มีวี่แววของหนานกงเฉิน คุณหมอจางก็เริ่มเป็นห่วง:“คุณผู้หญิง คุณรีบหาแล้วพาคุณชายใหญ่กลับมา ตอนบ่ายเขาต้องฉีดยา ไม่งั้นกลางคืนอาการอาจจะกำเริบได้”
คุณผู้หญิงได้ยินคุณหมอจางพูดแบบนี้แล้วก็ร้อนใจขึ้นมา
ช่วงไม่กี่วันนี้อาการของหนานกงเฉินกำเริบบ่อยมาก ทุกครั้งล้วนแต่อันตรายทั้งนั้น จะไม่ให้เขาเป็นกังวัลได้ไง?
ผู่เลี่ยนเหยาพูดขึ้นมาอย่างลังเล:“คุณย่า คุณย่าว่าพี่ชายเขาจะไปหาพี่สะใภ้หรือเปล่า? หรือว่าพวกเราส่งคนไปตามหาที่อยู่ของพี่สะใภ้ดี?”
“ไป๋มู่ชิง?” คุณผู้หญิงหรี่ตาเล็กน้อย พูดอย่างโมโห:“มันอีกแล้ว!”
“คุณย่า คุณย่าก็โทษพี่สะใภ้ไม่ได้นะ พี่ชายต่างหากที่ไม่ปล่อยเขาไป วิ่งไปหาเขาถือว่าเป็นเรื่องปกติ”
“เวลานี้เธอไม่ต้องมาพูดแทนมันเลย” คุณผู้หญิงมองตาขวางใส่เธออย่างไม่สบอารมณ์
ซูซี่ถือเอกสารที่ไป๋มู่ชิงยัดใส่มือตนเอง มองไปที่เธอแล้วมามองที่เอกสาร ก็ยังหาคำตอบไม่ได้:“นี่หมายความว่าไง? ครั้งนี้เอาจริง?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“ถูกต้อง ฉันรู้ว่าเส้นสายพวกเธอกว้างขวาง ช่วยทำวีซ่าให้ฉันหน่อยเอาแบบเร่งด่วนที่สุด ไปไหนก็ได้”
“ดูเธอรีบขนาดนี้ หนานกงเฉินจะตามมาฆ่าเธอ?”
“เปล่า ฉันแค่ไม่อยากให้เรื่องบานปลาย ในเมื่อตัดสินใจว่าจะไปก็ควรจะรีบไปทันที จะได้ไม่……” จะได้ไม่เกิดเรื่องเหมือนเมื่อคืนขึ้นอีก ถูกคำพูดของทั้งสองฝ่ายพูดมา ไม่ง่ายเลยกว่าจะเริ่มความคิดที่จะหย่าขึ้นมาก็ต้องมาพังลงอีก
เธอรู้ดีหนานกงเฉินไม่มีทางหย่าแน่ ตัวเธอเองก็ไม่อยากหย่า แต่เรื่องมาจนถึงตอนนี้ไม่หย่าก็คงไม่ได้
“ทำไมล่ะ? เธอบอกว่าหนานกงเฉินเขารักเธอมากกว่ารักผู้หญิงสารเลวคนนั้นไม่ใช่เหรอ?” ซูซี่ไม่เข้าใจ
ไป๋มู่ชิงยิ้มเจื่อนๆ:“ให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงที่ควรแต่งเถอะ บางทีแบบนี้อาจจะมีส่วนช่วยให้อาการป่วยของเขาดีขึ้น”
ซูซี่หมดคำพูด:“เธอเป็นคนที่ไม่เชื่อข่าวลือมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนนี้ฉันเชื่อแล้ว”
“เธอ……” ซูซี่เริ่มโมโห
ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เธอ ความลำบากใจบนหน้าเริ่มชัดขึ้น:“เสี่ยวซี่ เธอไม่เคยเห็นตอนที่เขาอาการกำเริบ ถ้าเธอเห็นแล้ว เธอต้องเลือกเชื่อเหมือนกันแน่”
พอเธอพูดจบ ก็แสร้งยิ้มออกมา แล้วพูดต่อ:“เธอช่วยไปทำให้ฉันเถอะ ฉันออกไปหลบสักพัก รอให้พวกเขาแต่งงานกัน เรื่องสงบลงแล้วฉันค่อยกลับมา”
“เขาแต่งงานกับคนอื่นแล้ว เธอยังจะกลับทำอะไร?”
“ฉันกลับมาหาลูกสาวไง” ไป๋มู่ชิงจับมือของเธอไว้:“เสี่ยวซี่ ฉันไม่ยอมแพ้มาตลอด เพราะฉะนั้นขอร้องเธออย่ายอมแพ้ที่จะตามหาเขาได้ไหม?”
เธอกะพริบตาทั้งสองข้างถี่ๆ พยายามจะให้น้ำตาไหลลงไป
ซูซี่ใจอ่อน พยักหน้า:“ได้ ฉันจะไม่ยอมแพ้”
“งั้นฉันออกไปทำเรื่องเอกสารให้เสร็จก่อน” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอ หมุนร่างเดินออกไปทางประตู
ไป๋มู่ชิงไปยื่นเรื่องเอกสารที่สำนักงาน หลังจากที่เสร็จหมดทุกเรื่องแล้วก็เก็บเอกสารหลักฐานใบเซ็นต์รับใส่ไว้ในกระเป๋าไปด้วยเดินออกนอกประตูไปด้วย เพราะไม่ได้สนใจทางเดิน ด้วยเหตุนี้ทำให้ร่างของเธอเกือบชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
“ขอโทษค่ะ……” เธอก้มหน้าขอโทษตามสัญชาตญาณ
“ไม่เป็นไร คุณไม่ได้ชนผมสักหน่อย” เสียงของหลินอันหนานดังมาจากด้านบนศีรษะของเธอ ไป๋มู่ชิงนิ่งอึ้งไป เงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าหลินอันหนานกำลังมองมาที่ตนเองและยิ้มอย่างสดใสอยู่
พอเห็นว่าหลินอันหนานมาอยู่ตรงหน้า อารมณ์ของไป๋มู่ชิงก็ค้างไป หมุนร่างจะกลับไปทางเดิม
“มู่ชิง……” หลินอันหนานรีบจับมือเธอไว้:“ทำไมคุณเห็นผมแล้วต้องหลบด้วย? เกลียดผมขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ถูกต้อง พอฉันเห็นคุณก็เกลียดขึ้นมาทันที ปล่อยฉันได้หรือยัง?” ไป๋มู่ชิงก้มหน้ากวาดสายตามองมือตัวเองที่หลินอันหนานจับอยู่ พูดอย่างโมโห
ก่อนที่ต้นฉบับของบริษัทหนานกงกรุ๊ปจะหายไป ในใจเธอยังคงมีความรู้สึกผิดให้หลินอันหนานอยู่ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความรู้สึกที่มีต่อหลินอันหนานก็เริ่มมีแต่รังเกียจ เธอเกลียดคนแบบนี้ที่ใช้กลอุบายวางแผนทำร้ายคนอื่น หลินอันหนานทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้ชายแบบนี้ ถึงแม้ว่าชีวิตนี้เธอจะไม่ได้แต่งงานด้วยแต่ก็ไม่มีทางให้อภัยแน่!
หลินอันหนานกลับไม่ยอมแพ้ จ้องเธออย่างเอาจริงเอาจัง:“มู่ชิง ผมดีใจมากที่คุณคิดได้ว่าต้องหย่ากับหนานกงเฉิน ผมจะพาคุณไปที่ไกลๆ ผมจะรักคุณให้ดีๆ ผมรับรองว่าหลังจากนี้จะไม่มีใครมารบกวนพวกเราอีกแล้ว”
ไป๋มู่ชิงเกือบหายใจไม่ทัน เธอตะโกนเสียงดังออกมา:“หลินอันหนาน ฉันต้องพูดอีกกี่ครั้ง ฉันไม่ได้รักคุณแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะหย่ากับหนานกงเฉินฉันก็ไม่มีทางไปกับคุณ ฉันไม่ต้องการให้คุณรักฉัน ยิ่งไม่ไปที่ไกลๆกับคุณด้วย คุณได้ยินชัดหรือยัง?!”
“มู่ชิง ตอนนี้คุณต้องการให้ผมช่วยคุณ มีแค่ผมที่สามารถช่วยคุณให้หลุดพ้นจากหนานกงเฉินได้……” หลินอันหนานพูดปลอบโยนเธอ:“ผมว่าหนานกงเฉินตอนนี้คงตามหาคุณไปทั่วอย่างแน่นอน คาดว่าไม่นานก็คงตามมาถึงที่นี่ คุณอยากถูกเขาจับตัวกลับไปแบบนี้เหรอ?”
หลินอันหนานเพิ่งจะพูดจบ ไป๋มู่ชิงก็มองเห็นรถของหนานกงเฉินค่อยๆขับเข้ามาจากด้านนอก
เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 184 ตัดสินใจเดินจากไป
Posted by ? Views, Released on November 7, 2021
, เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ
Recommended Series
Comment
Facebook Comment