เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 60 ช่วยเธอรักษาความลับ

เพื่อที่จะตอบแทนที่ไป๋มู่ชิงช่วย จ้าวเฟยหยางเลยจะเลี้ยงข้าวเธอเป็นการตอบแทน
เพราะความกระตือรือร้นมากของจ้าวเฟยหยาง ไป๋มู่ชิงก็กังวลว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดเธอเลยลากเหยาเหม่ยไปด้วย
มองกวาดไปที่อาหารเต็มโต๊ะ เหยาเหม่ยพูดยิ้มๆ “ครั้งนี้มู่ชิงคงช่วยเหลืออย่างเต็มที่สินะ ถึงทำให้คนขี้งกอย่างคุณจ้าวยอมเสียตังขนาดนี้”
“แน่นอน กินสิมู่ชิง” จ้าวเฟยหยางคีบสเต็กให้ไป๋มู่ชิง
ถึงจะมีอาหารที่น่าอร่อยเต็มโต๊ะ แต่ไป๋มู่ชิงไม่รู้สึกอยากกินเลย เธอจึงใช้มือห้ามตะเกียบเขาไว้ “ขอบคุณนะ แต่ฉันกินไม่ค่อย
ลงน่ะ” เธอกลัวว่าจ้าวเฟยหยางจะคิดมากเลยพูดเสริมไปว่า “ฮ่าฮ่า……กี่วันนี้ไม่ค่อยอยากอาหารเลย”
“ทุกวันนี้ไป๋มู่ชิงกินแต่ของดีๆทั้งนั้น นายไม่ต้องเอาใจขนาดนี้ก็ได้ รีบคีบเนื้อมาให้ฉัน หลายๆชิ้นเลยนะ “เหยาเหม่ยพูดไปพร้อมยื่นจานไปทางจ้าวเฟยหยาง
“ที่เธอพูดก็ถูก ตอนนี้เธอเป็นถึงคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกงเลยหนิ”
“พวกแกก็อย่าแซวฉันเลย” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ใครให้เธอแต่งงานไม่บอกไม่กล่าวเลยล่ะ” จ้าวเฟยหยางมองเธอตาขวาง
“ไม่งั้นจะให้ทำยังไง? เลียนแบบนายเหรอ? ยังใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงาภรรยาที่เสียไป ไม่ยอมแต่งงาน?” ไป๋มู่ชิงก็จ้องเขากลับ
เหยาเหม่ยพยักหน้าเห็นด้วย “ก็จริง เรื่องแบบนี้คุณจ้าวต่างหากควรดูมู่ชิงเป็นตัวอย่าง คุณหนูหยวนก็ตามจีบนายมาตั้งนาน ไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ?
“หยวนกวยเธอก็เป็นผู้หญิงที่ดีแหละ รวยแต่ไม่อวดแถมยังใจดีน่ารักอีก โอกาสดีๆแบบนี้รีบคว้าไว้เถอะ ก่อนจะสายไปนะ” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม “รีบๆตกลงเธอ เดี๋ยวฉันจะวาดรูปแต่งงานให้เอง ตอนนี้ฉันคันมือมากเลย”
“พูดพอใจยังทั้งสองคนเลย? อาหารอร่อยมากมายขนาดนี้ก็ทำให้พวกเธอเงียบไม่ได้?” จ้าวเฟยหยางคีบปีกไก่ไปที่จานของทั้งสอง “กินเยอะๆแต่พูดน้อยๆหน่อย กินเข้าไป!”
“ก็ได้ๆ กินก็ได้” ไป๋มู่ชิงคีบปีกไก่ขึ้นมาจะกินแต่พอแตะที่ปากเท่านั้นแหละ เธอก็รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนขึ้นมาทันที
“ขอโทษนะ……” เธอรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปทางห้องน้ำ
“นี่ มู่ชิงเธอเป็นอะไร?” เหยาเหม่ยก็รีบลุกขึ้นมาแล้วหันไปพูดกับจ้าวเฟยหยางว่า “นายรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวฉันไปดูเธอหน่อย”
ไป๋มู่ชิงรีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็อ้วกที่โถส้วม เธออ้วกทุกอย่างที่กินมาตั้งแต่เช้าออกมาจนหมดไส้หมดพุง
“เป็นอะไรหรือเปล่า? เธอกินอะไรที่ไม่ถูกกับกระเพาะหรือเปล่า?” เหยาเหม่ยยื่นทิชชู่ไปให้เธอพร้อมถามขึ้น ทีแรกที่ไป๋มู่ชิงพูดว่ากินอะไรไม่ลงคงเพราะเธอไม่อยากกิน แต่นี่คงกินไม่ลงจริงๆแหละ
พอไป๋มู่ชิงอ้วกจนหมดท้องแล้วแต่ก็ยังอาเจียนคลื่นไส้ไม่หยุด พอเธอเริ่มดีขึ้นก็ส่ายหน้าไปมา
“ไม่ได้กินไรไม่ถูกกับกระเพาะ?ทำไมถึงอ้วกขนาดนี้ล่ะ? พอเหยาเหม่ยพูดจบก็ทำสีหน้าครุ่นคิด “หรือว่าเธอท้อง?แต่ไม่ยอมบอกฉัน?”
“แกนั่นแหละที่ท้อง” ไป๋มู่ชิงมองตาขวางใส่เธอพร้อมเช็ดปากไปด้วย
“จะอายอะไรล่ะ เธอกับหนานกงเฉินก็แต่งงานจะสองเดือนแล้วหนิ? ถึงท้องก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
“เธอไม่เข้าใจ ฉันกินยาทุกครั้ง”
“สมัยนี้ยาไม่ได้มาตรฐานเยอะแยะ อาจซื้อโดนยาพวกนี้ก็ได้”
ไป๋มู่ชิงอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วหันไปมองเธออย่างกังวลใจ
ไม่ใช่หรอกมั้ง? ท้องงั้นเหรอ? เธอไม่เคยคิดไปในทางนี้เลย แล้วยาก็ไม่ใช่เธอซื้อกินเองแต่หนานกงเฉินเป็นคนเตรียมไว้ให้ ยาไม่ได้มาตรฐานงั้นเหรอ?
“ดูสีหน้าตกใจของตัวเองซี้ คุณพี่คะ บนโลกนี้ไม่ได้ดูดีอย่างที่เธอคิดหรอก เมื่อกี่วันก่อนก็มีข่าวว่ามีคนกินยาฆ่าหญ้าจะฆ่าตัวตายแต่สุดท้ายก็ไม่ตายเพราะยานั่นไม่ใช่ยาถูกต้องตามมาตรฐานกำหนด”
ไป๋มู่ชิงขาอ่อนทั้งสองข้างจนทรุดลงกับพื้น
“อ่าว ทำไมล่ะ? นี่เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ? ทำไมทำหน้าตกใจขนาดนั้นล่ะ?” เหยาเหม่รีบพยุงตัวเธอขึ้นมา
เรื่องดี? ไป๋มู่ชิงหัวเราะอย่างขมขื่น นี่จะเป็นเรื่องดีได้ยังไงกัน?
เมื่อกี่วันก่อนหนานกงเฉินเพิ่งเตือนเธอไปว่าไม่ต้องการให้เธอมีลูกให้เขา แต่นี่มาท้องงั้นเหรอ ถ้าหนานกงเฉินรู้ว่าเธอท้องคงโมโหจนบีบคอถึงตายไม่ก็บังคับให้เธอทำแท้ง
“เสี่ยวเหม่ย” ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปจับแขนของเหยาเหม่ยไว้พร้อมพูดกับเธออย่างเร่งรีบ “แกไปซื้อที่ตรวจครรภ์ให้ฉันหน่อย ด่วน”
“ด่วนขนาดนี้เลย?”
“ด่วนที่สุด”
“ได้ งั้นเธอรอก่อนฉันจะไปตอนนี้แหละ” เหยาเหม่ยยิ้มอย่างดีใจแล้วพูดกับเธอว่า “พนันกันมั้ย ฉันว่าแกท้อง”
10นาทีผ่านไป ตอนไป๋มู่ชิงเห็นว่าขึ้นสองขีดสีแดงเธอขาอ่อนจนทรุดไปกับพื้นอีกครั้ง
เธอท้อง เธอท้องจริงๆ!
เป็นไปได้ยังไง? เธอกินยาทุกครั้งที่หนานกงเฉินให้เธอ หนานกงเฉินซื้อยาที่ไม่ได้มาตรฐานงั้นเหรอ?
“ดูสีหน้าดีใจของแกสิ” เหยาเหม่ยานวดขมับเบาๆให้เธอพร้อมยิ้มดีใจ “ตอนนี้เธอเป็นคนท้องแล้วนะ ที่พื้นเย็นมากรีบลุกขึ้นเถอะ”
ตอนนี้สมองของเธอตีกันวุ่นไปหมดมีแต่ความกังวลความสงสัย ไม่มีแม้แต่ความดีใจ ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงดึงสติกลับมาแล้วจับแขนเหยาเหม่ยไว้แน่น จ้องมองเธอพร้อมเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เสี่ยวเหม่ย อย่างบอกเรื่องนี้กับคนอื่นได้ไหม?
“คนในตระกูลหนานกงก็ไม่ได้?”
“ไม่ได้!” ไป๋มู่ชิงเน้นเสียง
เหยาเหม่ยเข้าใจดีว่าทำไมเธอถึงไม่อยากให้บอก เพราะไป๋ยิ่งอันเอาแต่จ้องหาโอกาสทำลายเธอ แต่แม้กระทั่งคนในตระกูลหนานกงก็บอกไม่ได้? นี่สิทำให้เธองงว่าทำไม
แต่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดของไป๋มู่ชิง เธอก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ แค่ตอบไปว่า ‘อืม’ เฉยๆ
เสียงโทรศัพท์ของไป๋มู่ชิงดังขึ้น เธอล้วงโทรศัพท์ออกมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย
เธอรีบปรับน้ำเสียงให้ปกติแล้วกดรับสาย
เสียงของซูวยาหยงดังออกจากโทรศัพท์ “มู่ชิง เธออยู่ไหนเหรอ? ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ เธอมาที่โรงแรมหยางกวงหน่อยได้ไหม?”
เธอได้ยินเสียงที่อ่อนโยนที่ต่างจากแต่ก่อนแล้วยังแฝงด้วยเสียงหัวเราะ แม่เลี้ยงที่ไม่เคยดีกับเธอแต่กลับมาพูดดีด้วย ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
“ขอโทษนะคะคุณหญิงไป๋ ตอนนี้หนูไม่ค่อยสะดวกออกไปค่ะ”
“เธออย่ามาโกหกฉันเลย คนรับใช้บ้านหนานกงบอกฉันว่าวันนี้เธอไม่ได้อยู่บ้าน” น้ำเสียงของซูวยาหยงก็ยังยิ้มไม่เปลี่ยน “ความจริงไม่ใช่ฉันหรอกที่จะคุยกับเธอ แม่กับน้องชายเธอต่างหากที่อยากคุยกับเธอ”
“ห้องไหนของโรงแรมหยางกวง” ไป๋มู่ชิงรีบถามกลับไป
พอพูดถึงน้องชายที่น่าสงสารของเธอ ไป๋มู่ชิงไม่สนหรอกว่าไปโรงแรมหยางกวงจะดีจะร้ายแค่ไหน
พอรู้ที่อยู่อย่างละเอียดแล้ว ไป๋มู่ชิงก็รีบเดินทางไปโรงแรมหยางกวงทั้งที แล้วขึ้นไปห้องพิเศษที่ชั้นสาม

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset