ไป๋มู่ชิงโผล่หน้ามาในงานแค่แวบเดียว ก็หายตัวไป แขกอีกมากมายที่ไม่ได้เห็นหน้าเธอ
ทำให้หนุ่มๆ สาวๆ ในงานเริ่มวิจารณ์ขึ้น ต่างสงสัยว่าหนานกงเฉินแต่งงานแล้ว ทำไมไม่เห็นเขาพาภรรยามาร่วมงาน
และยังมีสาวๆ บางคนที่ขี้นินทา โยงเรื่องราวสมมติฐานกลับไปยังจุดเริ่มต้น ภรรยาป้ายแดงของหนานกงเฉินยังมีชีวิตอยู่ไหม หรือว่าตายไปแล้วตามข่าวลือว่า
คำวิจารณ์ของคนอื่นๆ ใช่ว่าหนานกงเฉินจะไม่รู้สึก เพียงแต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโต้ตอบเท่านั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง นายกฯเฝิงเริ่มรู้สึกได้ แม้เขาเองก็ไม่พอใจกับเสียงวิจารณ์เหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ คิดไปตรองมา เขาก็คิดหาวิธีจัดการกับปัญหานี้ได้
ในตอนที่เขาขึ้นพูดบนเวที เขาจงใจกล่าวขอบคุณคู่สามีภรรยาหนานกงเฉินที่มาร่วมงาน และยังเชิญพวกเขาทั้งสองขึ้นมาตัดเค้กพร้อมเขา
เสียงปรบมือดังขึ้นจากแขกที่อยู่ล่างเวที สายตาต่างจับจ้องไปยังหนานกงเฉินที่นั่งอยู่แถวแรก
หนานกงเฉินไม่คิดว่า ท่านนายกฯเฝิงจะมาไม้นี้ คิ้วขมวดเข้าหากัน เกิดความรู้สึกกระอักกระอสนขึ้นในใจ เขาเองก็ไม่เห็นภรรยาเขามาทั้งคืนแล้ว แล้วตอนนี้จะไปตามหาเธอที่ไหน?
ตอนแรกเขาไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยถูกวิจารณ์ เรื่องจริงหรือเท็จก็ไม่มีใครตัดสินได้ แต่ตอนนี้ ท่านนายกฯเฝิงเชิญขึ้นไปบนเวทีด้วยความหวังดี คนทั้งงานก็เห็นสภาพที่เขาอยู่ตัวคนเดียว
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นตามเสียงปรบมือ เดินไปยังเวที
นายกฯเฝิงเห็นเขาเดินขึ้นมาคนเดียว สีหน้าเปลี่ยนไป แอบกระซิบข้างตัวเขา: “คุณชายเฉิน ภรรยาของคุณล่ะ?”
“เธอไม่ค่อยสบาย จึงกลับไปก่อนแล้ว” หนานกงเฉินตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ห๊า?” นายกฯเฝิงชะงักไป ทำไมไม่มีใครมาแจ้งว่านายหญิงน้อยหนานกงกลับไปก่อนแล้ว? นี่ความหวังดีของเขากลับเป็นการทำร้ายเขาแทนสินะ
“ขอบพระคุณท่านนายกฯเฝิงที่รักและเอ็นดู ขอให้ท่านมีโชคลาภวาสนาดั่งมหาสมุทร”
นายกฯเฝิงยิ้มด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ในใจรู้สึกผิดจนอยากเอาหัวโขกกำแพง จึงหยิบไมค์ขึ้นมากล่าวกับแขกในงาน: “ทุกท่าน นายหญิงน้อยหนานกงไม่ค่อยสบายจึงกลับไปก่อนแล้ว อย่างนั้นวันนี้ให้คุณชายเฉินช่วยผมตัดเค้กก็แล้วกัน”
พอพูดจบ เสียงวิจารณ์ดังขึ้นจากล่างเวทีทันที
หนานกงเฉินเกือบจะได้ยินทั้งหมด มีคนพูดว่า: “เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงคนนั้นตายไปแล้วแน่ๆ ถูกตระกูลหนานกงกำจัดไปอย่างลับๆ เหมือนผู้หญิงคนก่อนๆ”
“พระเจ้า น่าสงสารจัง” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
สีหน้าของหนานกงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็คืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว ตัดเค้กกับนายกฯเฝิงด้วยรอยยิ้ม
เขาที่แสดงสีหน้าว่าไม่แคร์ ในใจกลับแค้นไป๋มู่ชิงอย่างสุดๆ ผู้หญิงคนนั้นกล้ามากเกินไป กล้าหนีออกไประหว่างงานเลี้ยง?
เธอไม่รู้หรอว่าคนนอกต่างจ้องจับผิดเธออยู่ รอหัวเราะเยาะเธอ? เธอไม่เข้าใจหรอว่าการมางานเลี้ยงครั้งนี้มีความหมายกับเขาและเธอขนาดไหน?
หลังลงจากเวที เขาเดินออกไปที่ระเบียง กดโทรหาเลขาเหยียนและพูดรอดไรฟัน: “ไปสืบให้ผมหน่อยว่าผู้หญิงคนนั้นไปตายที่ไหนแล้ว?”
“ผู้หญิงคนไหนคะ?” เลขาเหยียนไหวตัวไม่ทันในตอนแรก
“จะมีผู้หญิงคนไหนที่กล้าขัดคำสั่งผมอีก?” หนานกงเฉินพูดด้วยความโกรธแค้น
ใช่ นอกจากเธอ มีผู้หญิงคนไหนที่กล้าไม่เห็นเขาในสายตา ทิ้งเขาไปเสพสุขคนเดียว? ช่วงนี้เขาคงดีกับเธอมากเกินไป โอ๋เธอจนไม่สนใจกฏไม่สนใจสวรรค์แล้ว
ห้ามตามใจผู้หญิง ตามใจมากไปก็จะเหลิงได้ง่าย ประโยคนี้พูดไว้ไม่ผิดจริงๆ
เลขาเหยียนกำลังจะวางสาย หนานกงเฉินหยุดเธอไว้อย่างกระทันหัน: “รอเดี๋ยว”
“มีเรื่องอะไรเพิ่มเติมคะ? คุณชายเฉิน”
“ลองเช็คดูด้วยว่าหลินอันหนานอยู่ที่ไหน” เขากล่าว
ในงานเลี้ยงวันนี้ไม่เห็นหลินอันหนานในฮอลล์จัดงาน นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ เขาเลยโยงทั้งสองเข้าด้วยกันตามสัญชาตญาณ
ออกจากงานเลี้ยงช่วงสี่ทุ่มกว่า ได้รับสายจากเลขาเหยียนพอดี แจ้งว่าไป๋มู่ชิงอยู่ริมแม่น้ำ
คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย แล้วถามต่อว่า: “กับใคร?”
“เห็นนายหญิงน้อยอยู่คนเดียวค่ะ” เลขาเหยียนถามต่อ: “คุณชายเฉิน จะให้ดิฉันพาเธอไปส่งที่งานไหมคะ”
ได้ยินว่าไป๋มู่ชิงอยู่ริมแม่น้ำคนเดียว ความโกรธในใจก็ลดลงไปส่วนหนึ่ง ขอแค่ไม่ได้อยู่กับหลินอันหนาน เธอก็ยังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อ
“ไม่เป็นไร ผมไปเอง” พูดจบก็ก้าวขาไปยังลานจอดรถ
ให้เสี่ยวหลินกลับบ้าน ส่วนตนขับรถไปยังริมแม่น้ำด้วยตัวเอง
ถนนเส้นติดแม่น้ำแม้จะยาวมาก แต่คนที่เดินอยู่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เนื่องจากว่าดึกมากแล้วหนานกงเฉินเห็นเงาของเธอที่อยู่ไกลออกไป
เขาหยุดรถแล้วจอดไว้ข้างทาง ลดหน้าต่างลง
ผู้หญิงคนนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม อากาศหนาวขนาดนี้เธอไม่สวมแม้แต่เสื้อคลุมแล้วยังมาเดินตากลมริมแม่น้ำอีก เธอไม่รู้สึกว่าหนาวบ้างเลยหรือยังไง?
เสื้อคลุมของเธอถอดไว้บนรถก่อนเข้างานเลี้ยง ตอนนี้ถูกโยนไปอยู่ท้ายรถ แต่หนานกงเฉินที่กำลังโกรธอยู่ไม่ได้ถือเสื้อคลุมของเธอลงจากรถไปด้วย แต่เขาลงจากรถคนเดียว ปิดประตูสุดแรงก้าวขายาวๆ ตรงไปหาเธอ
ไป๋มู่ชิงที่จมอยู่ในความแค้นและความเศร้าโศกเสียใจไม่รู้สึกถึงความหนาวเลยสักนิด และไม่รู้สึกว่ามีคนกำลังใกล้เข้ามา ตั้งแต่ออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วมาที่นี่ น้ำตาบนใบหน้าก็แห้งไปหลายระรอกแล้ว
เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าคืนนี้เธอออกมาจากงานเลี้ยง ลืมไปแล้วว่าตัวเองยังอยู่ในชุดราตรีที่เซ็กซี่
หนานกงเฉินมายืนอยู่หลังเธอ ตะโกนใส่เธอโดยไม่ปิดบังอารมณ์โกรธ: “ไป๋ยิ่งอัน! เมื่อไหร่ที่เธอจะเรียนรู้เการป็นคนที่ปกติสักที?”
ไป๋มู่ชิงตัวแข็ง หนานกงเฉิน! เขามาที่นี่ได้ยังไง?
จริงสิ วันนี้เป็นครั้งแรกที่หนานกงเฉินออกงานสังคม เธอกลับทิ้งเขาไว้ในงานคนเดียว คิดถึงจุดนี้ ไป๋มู่ชิงรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ แต่เทียบกับข่าวการตายของเสี่ยวลี่ เธอให้ความสำคัญกับอย่างหลังมากกว่า
เธอเช็ดน้ำตาที่นองหน้าอยู่ แล้วหันกลับไปหาเขาอย่างรู้สึกผิด
หนานกงเฉินเห็นเธอไม่ตอบโต้เขา ความโกรธในใจทวีความรุนแรงขึ้นอีก กัดฟันกรอดๆ แล้วพูดว่า: “เธอดูภาพยนตร์มากไปหรือเปล่า ผู้หญิงธรรมดาๆ ทุกคนที่ใช้วิธีโง่ๆ ด้วยความไม่มีมารยาท ไม่มีความรู้แต่กลับคิดว่าตัวเองน่ารักมาทำให้ผู้ชายที่มีฐานะหวั่นไหว? ผมจะบอกเธอไว้นะ นั่นเป็นแค่ภาพยนตร์เท่านั้น ในความเป็นจริง ไม่มีผู้ชายคนไหนที่ชอบผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอหรอก หากเธอยังมียางอายอยู่บ้าง ก็หยุดเล่นเกมส์เด็กๆ ไร้สาระพวกนี้สักที เพราะไม่ว่าเธอจะเสแสร้งยังไง ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากรอยประทับไร้ยางอายบนตัวเธอที่แต่งเข้าตระกูลหนานกงเพราะเงินหรอก!”
“ผมขอสั่งให้เธอ มานี่เดี๋ยวนี้!” หนานกงเฉินกล่าว
ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ด้านล่างของรั้วกั้นข้างแม่น้ำ หนานกงเฉินและเธอมีระยะห่างกัน3-4เมตร เท่ากับทางที่ให้คนผ่านได้พอดี
เมื่อเห็นเธอไม่มีทีท่าจะขยับ หนานกงเฉินถูกเธอยุจนโกรธมากจริงๆ ก้าวขายาวๆ ไม่กี่ก้าวก็ถึงตัว ใช้ฝ่ามือขนาดใหญ่ดึงแขนเธอขึ้น: “ผมบอกให้เธอขึ้นมา ไม่ได้ยินหรอ?”
เขาใช้แรงมหาศาล ไป๋มู่ชิงถูกยกขึ้นจากพื้น
ใต้แสงไฟข้างถนนที่มืดสลัว หนานกงเฉินเห็นใบหน้าขาวซีดที่แทบจะจมน้ำตาของเธอ
สีหน้าของเธอซีดเผือก แขนเย็น รองเท้าก็ไม่รู้หายไปไหน แม้จะรู้ว่าที่อาจจะเป็นวิธีการเรียกร้องความสนใจของเธอ แต่เขาก็ยังชะงักไปเล็กน้อย และถามเธอว่า: “เธอเป็นอะไร?”
ไป๋มู่ชิงก็ไม่แน่ใจว่าน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาที่เสียใจเรื่องเสี่ยวลี่ หรือเพราะคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ จริงๆ แล้วหนานกงเฉินพูดถูก เธอแต่งงานเพื่อนเงินจริงๆ ไม่มีสิทธิ์จะได้รับความโปรดปรานจากเขา เธอก็ไม่ควรเสียใจเพราะคำพูดของเขาถึงจะถูก
เธอตั้งใจว่าจะเช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วกลับบ้านตระกูลหนานกงด้วยกันแต่ขณะที่เงยหน้าขึ้น เธอไม่สามารถบังคับตัวเองไม่ให้สะอื้นไห้ได้พร้อมพูดว่า: “เสี่ยวลี่ตายแล้ว……”
สายตาของหนานกงเฉินประหลาดใจครู่หนึ่ง เสี่ยวลี่ตายแล้ว? เป็นไปได้ยังไง?
หลายวันก่อนตอนอยู่เมืองหยาน ยังได้ยินเธอบอกเขาด้วยความดีใจว่า การผ่าตัดของเสี่ยวลี่ราบรื่นมาก และยังไม่มีอาการอันตรายหรือผลกระทบหลังผ่าตัดด้วย
สำหรับเด็กคนนั้นแล้ว เขาไม่ได้ติดตามเขาเท่าไหร่ แต่เขารู้ว่าตลอดมาไป๋มู่ชิงดูแลเขาเหมือนน้องชายแท้ๆ คนหนึ่ง นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอร้องไห้เสียใจขนาดนี้หรอ?
“ฉันไม่ควรเสนอให้เขาผ่าตัดเลย เขาตายเพราะฉัน……” แม้จะรู้ว่าหนานกงเฉินไม่มีกะจิตกะใจมาสนใจเรื่องของเสี่ยวลี่ ไป๋มู่ชิงก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้กับเขา เพราะว่าหนานกงเฉินเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ข้างกายเธอ นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีคนไหนที่จะทนฟังเธอระบายได้อีก
“ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจว่าตัวเองอยู่ในงานเลี้ยง ทิ้งให้ผมอยู่ในงานคนเดียว?” มือใหญ่ๆ ของหนานกงเฉินยังคงล็อคแขนเธอไว้ แม้ว่าน้ำเสียงจะอ่อนลงมาบ้าง แต่ก็ยังคงความไม่พอใจอยู่
ไป๋มู่ชิงหยุดสะอื้นไห้ ก้มหน้ารับการสั่งสอนจากเขา
“เธอรู้ไหมว่าคนอื่นๆ วิจารณ์ยังไงบ้าง? เมื่อทุกคนไม่เห็นเธอ ต่างก็เดากันไปว่าเธอถูกผมฆ่าตายไปแล้ว” เมื่อพูดถึงตรงนี้หนานกงเฉินก็อดไม้ได้ที่จะโกรธ
ตอนแรกเขาตั้งใจจะพาเธอไปให้ทุกคนเห็นหน้า จะได้เลิกล้มสิ่งที่พวกชาวบ้านคาดเดากันสักที สุดท้ายเธอกลับมาเล่นบทหายตัว?
“ขอโทษ” ไป๋มู่ชิงสูดน้ำมูกเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด: “เมื่อกี้พอฉันทราบข่าวการตายของเสี่ยวลี่ก็บ้าไปแล้ว จึงออกจากฮอลล์ที่จัดงานไป ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคุณเลย”
เธอรู้ว่าคำพูดของคนอื่นน่ารังเกียจขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหนานกงเฉิน เธอรู้ดีว่าเมื่อหนานกงเฉินได้ยินเรื่องพวกนั้นจะต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ
ดูเหมือนว่า……มีแต่เธอที่คอยสร้างปัญหา นำพาปัญหามาให้เขา
ก็ไม่แปลกที่เขาจะพูดแบบเมื่อกี้ รู้สึกว่าเธอคอยใช้วิธีของคนที่ไม่ปกติกับเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ
เงียบไปพักหนึ่ง จู่จู่เธอก็เงยหน้าขึ้นจ้องเขาแล้วถามด้วยความกังวล: “แล้วทำยังไงดีล่ะ? พรุ่งนี้คุณจะเป็นพาดหัวข่าวหน้า1 ไหม?”
“ใครจะไปรู้” หนานกงเฉินตอบอย่างไม่พอใจนัก
“ขอโทษค่ะ……” เธอก้มหน้าลงอีกครั้ง เหมือนเด็กที่เพิ่งทำความผิดมา
หนานกงเฉินมองสภาพเธอ จะโกรธแค่ไหนก็ไม่อาจดุเธอได้ลงอีก ก้มหน้ามองขาที่เปลือยเปล่าของเธอ: “รองเท้าเธอล่ะ?”
“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงเก็บนิ้วเท้ากลับไปเล็กน้อย ตอบพึมพำว่า: “ตกน้ำไปเมื่อกี้นี้”
“โตขนาดนี้แล้ว ยังทำรองเท้าหล่นลงน้ำได้อีกหรอ?” หนานกงเฉินกวาดสายตามองเธออย่างตำหนิ: “ดูสภาพเธอตอนนี้สิ เหมือนผู้หญิงไหม?”
ไป๋มู่ชิงถูกเค้าตำหนิขนาดนี้ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดแขนตัวเอง ก้มหน้ามองสภาพตัวเองแล้วพบว่าสภาพตัวเองแย่มากจริงๆ
กระโปรงทั้งยับเยินทั้งมอมแมม รองเท้าก็หายไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ผมเผ้ายุงเหยิงเพราะโดนลมแม่น้ำ
ลมพัดผ่านมา เธอหดตัวเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว เริ่มมีสติมากขึ้นจากอารมณ์ความเศร้าที่เสี่ยวลี่จากไป เธอเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเย็น
อากาศเย็นขนาดนี้ใส่กระโปรงชุดเดียวเดินไปเดินมาริมแม่น้ำ ไม่แปลกที่มีชาวบ้านจะเข้ามาถามเธอว่ามีเรื่องอะไรที่คิดไม่ตกหรือเปล่า
เธอทำให้หนานกงเฉินต้องอับอายอีกแล้ว น่าเศร้าใจจริงๆ!
ในเวลาแบบนี้ ต่อให้หนานกงเฉินโกรธจนบีบคอเธอตาย ก็ไม่เกินไปเลยสักนิด
“ขอโทษค่ะ……” เธอพูดขอโทษครั้งที่สามด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ
ตัวที่เย็นๆ อยู่นั้นรู้สึกอุ่นขึ้นมาทันที ไป๋มู่ชิงชะงักเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ เห็นเสื้อกันลมขนสัตว์แบบลึกบนร่างตัวเอง แล้วมองหนานกงเฉินตรงหน้า
นี่คือเสื้อของเขา!
เขาไม่เพียงไม่โกรธจนบีบคอเธอให้ตาย กลับถอดเสื้อตัวเองออกมาคลุมให้เธอ เรื่องที่ไม่ปกติขนาดนี้อย่าว่าแต่เธอเลย แม้แต่หนานกงเฉินเองก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว
ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพแย่ขนาดนี้ก็สมควรแล้ว เขากลับรู้สึกสงสารเธอตอนเธอสั่น ยังถอดเสื้อตัวเองออกมาคลุมให้เธอ
“รีบไปขึ้นรถ” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่แยแส หมุนตัวเดินนำไปยังรถ
แม้ว่าเขาจะยังคงดูเย็นชา แต่ในใจของไป๋มู่ชิงหลับรู้สึกอบอุ่น กระชับเสื้อกันลม แล้วรีบเดินตามเขาไป
เมื่อขึ้นรถ ไป๋มู่ชิงพูดกับเขาด้วยความตื้นตันใจ: “ขอบคุณค่ะ”
หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ สตาร์ทรถแล้วขับไปยังทางกลับบ้าน
น่าจะเป็นเพราะว่าตากลมริมแม่น้ำนานเกินไป วันรุ่งขึ้นไป๋มู่ชิงเริ่มจามไม่หยุด
หญิงตั้งครรภ์ไม่เหมาะกับการทานยา เธอทำได้เพียงดื่มน้ำเปล่าเรื่อยๆ หวังว่าจะใช้น้ำเปล่าขับพิษออกจากร่างกายแล้วรีบดีขึ้น
กลัวจะถูกคุณย่าตำหนิ เธอแทบไม่กล้าให้ใครรู้เลยว่าเธอเป็นหวัด โกหกว่าตัวเองง่วงมาก เก็บตัวอยู่ในห้องนอน
วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ หนานกงเฉินไม่ได้ไปทำงาน ขณะที่กินอาหารเช้าเขาก็เริ่มสงสัยคุณผู้หญิงไม่ได้โกรธเหมือนที่ผ่านมาที่ไป๋มู่ชิงไม่ได้ลงมากินอาหารเช้า รวมถึงไม่มีคำพูดตำหนิใดๆ เลย
หลังอาหารเช้า ขณะที่หนานกงเฉินกำลังเดินผ่านห้องนอนของไป๋มู่ชิงเขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะผลักประตูแล้วเดินเข้าไป
ตอนแรกไป๋มู่ชิงนั่งวาดรูปอยู่ข้างเตียง พอได้ยินเสียงเปิดประตูรีบโยนดินสอในมือทิ้ง หมุนตัวปีนขึ้นเตียงคลุมผ้าแกล้งหลับ
หนานกงเฉินเปิดประตู เห็นฉากที่กำลังคลุมผ้าและหลับตาพอดี
ขมวดคิ้วด้วยความเคยชิน เขาก้าวไปยืนข้างเตียงของเธอ พูดเสียงเย็น: “หยุดเสแสร้งได้แล้ว ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
ที่แท้ก็เขา? ไป๋มู่ชิงกรอกตามองบนอย่างจนคำพูด พร้อมกันนั้นก็พลิกตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วเดินกลับไปยังที่วาดรูปพร้อมพึมพำว่า: “ทำไมเข้ามาไม่บอกสักคำ ฉันคิดว่าพี่เหอซะอีก……ฮัดชิ่ว……”
เธอจามได้เวลามาก หยิบทิชชูขึ้นบีบจมูกไปมา
“กินยาหรือยัง?” หนานกงเฉินเห็นสภาพเธอตอนนี้ รู้ทันทีว่าเป็นหวัด สวมกระโปรงตากลมเย็นๆ ทั้งคืน ไม่เป็นหวัดก็แปลกแล้ว
“กินแล้ว” ไป๋มู่ชิงตอบแบบขอไปที
“กินยาอะไรเข้าไป เอามาให้ผมดู”
ไป๋มู่ชิงชะงัก เงยหน้าขึ้นจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ ไม่จริงใช่ไหม? เขาเริ่มเป็นห่วงตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่? เป็นห่วงแม้กระทั่งกินยาอะไร?
“อ้อ……” ทำยังไงดี? เธอไม่ได้กินยาสักหน่อย อีกอย่างตู้เก็บยาอยู่ที่ไหนเธอยังไม่รู้เลย
“ไม่ได้กินใช่ไหม?” หนานกงเฉินกอดอก อารมณ์เหมือนกำลังสอบสวน: “คุณหนูไป๋ ยังจำได้ไหมว่าผมเกลียดผู้หญิงประเภทไหนมากที่สุด?”
“ประเภทชอบพูดโกหก” ไป๋มู่ชิงก้มหน้าลง: “ขอโทษค่ะ……ฉันกลืนยาเม็ดไม่ลง ดังนั้น……แต่ว่าฉันดื่มน้ำเปล่าเยอะมากๆ เลยนะ เชื่อว่าจะหายเร็วแน่นอน”
“น้ำเปล่าปริมาณเยอะมากๆ ก็เห็นผลเทียบกับยาไม่ได้หรอก เธอน่าจะรู้ว่าผมเป็นหวัดไม่ได้ หรือว่าเธออยากแพร่เชื้อโรคมาทางผม?” หนานกงเฉินพูดพลางไปที่ตู้ หยิบยาแก้หวัดโยนใส่เธอ”
“ฉัน……เปล่า” ไป๋มู่ชิงเริ่มร้อนใจ
เธอรู้ว่าหนานกงเฉินห้ามเป็นหวัด ถ้าเป็นหวัดอาการจะกำเริบได้ง่าย แต่เธอเป็นหญิงมีครรภ์ อีกอย่างตอนนี้เป็นช่วงสำคัญที่ทารกกำลังเจริญเติบโต กินยาไม่ได้สักหน่อย ทำยังไงดี?
“ก็แค่รีบกินยาไม่ใช่หรอ!” น้ำเสียงของหนานกงเฉินจริงจังขึ้นมากอีกระดับ
“ฉัน……กลืนยาไม่ลงจริงๆ…..ฉันกลัวการกลืนยามากที่สุด……”
“หรือว่าอยากให้ผมป้อนให้?”
“เปล่า” แม้ว่าไป๋มู่ชิงจะตอบแบบนี้ แต่ก็ไม่มีทีท่าจะกินยา หนานกงเฉินจึงก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแย่งยาคืนมามาจากเธอ แล้วเปิดกล่องหยิบยาออกมาสองสามเม็ด
มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำเปล่า อีกข้างกำยาไว้เดินตรงมาทางเธอ
ไป๋มู่ชิงก้าวถอยหนึ่งก้าว แล้วถอยไปอีกก้าว สุดท้ายถูกบีบจนจนมุม เธอส่ายหน้าไม่หยุด น้ำเสียงเปลี่ยนจากต่อต้านเป็นขอร้อง: “ไม่……ฉันไม่กิน……ต่อให้ตายก็จะไม่กิน”
หนานกงเฉินที่เคยชินกับการเผด็จการเคยถูกขัดใจขนาดนี้ที่ไหน รู้สึกไม่พอใจ ความรู้สึกที่อยากจะปราบเธอทวีความรุนแรงมากขึ้น
อีกอย่างเรื่องก็มาขนาดนี้แล้ว ถ้าเขายอมตอนนี้ อนาคตเขาจะมีอำนาจอะไรต่อหน้าผู้หญิงคนนี้อีก?
“ตกลงเธอจะกินหรือไม่กิน?”
“ฉันกินไม่ลงจริงๆ……” ไป๋มู่ชิงกำลังจะร้องไห้ เพราะเธอรู้จักหนานกงเฉินดี อะไรที่เขาตัดสินใจไปแล้วไม่มีใครเปลี่ยนใจเขาได้ ขืนเธอยังต่อต้านเขาจะทำให้เขาโกรธ
หนานกงเฉินโกรธจริงๆ วางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ใช้มือล็อคแขนเธอไว้แล้วออกแรงกระชาก ไป๋มู่ชิงถูกดึงเข้าอ้อมกอดเขาทันที
เขาใช้มือบีบคางของเธอ ใช้กำลังบีบปากเธอให้เปิด มืออีกข้างยัดยาเม็ดเข้าปากเธอ
ปากถูกเปิดแล้วปิดลง ไป๋มู่ชิงรู้สึกถึงเม็ดยาที่ติดอยู่ที่คอครู่หนึ่งแล้วไหลลงไป
ใช่ ลงไปแล้ว
เธอใช้มือบีบคอตัวเอง พยายามไอและจ้องเขาด้วยแววตาตกใจ เขาทำอะไรลงไป? เขาใช้กำลังป้อนยาแก้หวัดลงกระเพาะเธอ? ไอคนสารเลว!
“หนานกงเฉินคุณมันสารเลว! คุณใช้กำลังบังคับให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่ชอบได้ยังไง? คุณคิดว่าตัวเองเป็นใครหรอ? ฉันจะกินยาหรือไม่คุณใช้สิทธิ์อะไรมาตัดสิน?!” เธอพุ่งตัวไปหาเขา ทุบหน้าอกเขาอย่างบ้าคลั่งพร้อมด่าทอไปด้วย ทั้งโกรธทั้งร้อนใจน้ำตาของเธอไหล่ออกมาทันที
หนานกงเฉินยกมือขึ้นจับข้อมือเธอไว้ หัวเราะเย็นๆ: “ไหนบอกว่ากลืนไม่ลงไม่ใช่หรอ?”
“คุณ……ฉันเกลียดคุณ! เกลียดคนสารเลวแบบคุณ!” ไป๋มู่ชิงโกรธจนก้มหน้ากัดหลังมือของเขา หนานกงเฉินเจ็บจนร้องเสียงต่ำ สลัดเธอออกไป
“ฉันไม่กิน! ยังไงฉันก็ไม่กินยา……!” ไป๋มู่ชิงร้องไห้พลางเอามือล้วงคอตัวเอง พยายามล้วงยาให้ออกจากกระเพาะของเธอ
น่าจะใช้แรงล้วงมากเกินไป กระเพาะเริ่มปั่นป่วนเหมือนคลื่นพายุ เธอรีบวิ่งไปที่อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ เธอไม่สามารถอาเจียนอะไรออกจากกระเพาะได้เลย
หนานกงเฉินเห็นเธอทรมานมากๆ แล้ว กลับไม่ยอมหยุดใช้มือล้วงคอตัวเอง รู้สึกโกรธในความดื้อรั้นของเธอ ใช้มือกระชากเธอขึ้นจากอ้างล้างหน้า พูดด้วยความโกรธ: “พอแล้ว!”
ในความโกรธของเขา มีความรู้สึกผิดแฝงอยู่ ใช่ รู้สึกผิด
ตอนแรกเขาแค่อยากให้เธอหายหวัดไวไวด้วยความหวังดี จึงบีบบังคับให้เธอกินยา ไม่คิดว่าเธอจะดื้อขนาดนี้ต่อต้านเขาจนถึงที่สุด
เขาหนานกงเฉินไม่ยอมแพ้ และไม่ใจอ่อน จึงบังคับให้เธอกินยาสำเร็จตามใจหวัง เขาชนะแล้ว แต่กลับไม่มีความรู้สึกดีใจที่ชนะเลยสักนิด
เขาทำให้ไป๋มู่ชิงโกรธในที่สุด เธอขัดขืนไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัว ทั้งสองจึงเกิดการดึงกระชากกันไปมา
ตั้งแต่รู้ว่าไป๋มู่ชิงตั้งครรภ์ คุณผู้หญิงก็ละเอียดอ่อนเรื่องความปลอดภัยของไป๋มู่ชิงอย่างมาก เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นจึงรีบเดินขึ้นมาทันที
พอเธอเข้ามาเห็นสภาพทั้งสองที่กำลังดึงกระชากกัน ตกใจจนตะโกนด้วยความโกรธ: “พวกเธอกำลังทำอะไรน่ะ!”
สองคนที่อยู่ในห้องน้ำเหมือนถูกเสียงตะโกนสาปเข้าให้ หยุดดึงกระชากกันทันที
คุณย่าเห็นสภาพไป๋มู่ชิงที่น้ำตาคลอเป้า เสื้อผ้ายุ้งเหยิง โกรธจนแทบหายใจไม่ทัน อดไม่ได้ที่จะดุต่อ: “ไป๋ยิ่งอันเธอรู้ไหมว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในฐานะอะไร?!”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเธอหมายถึงเรื่องที่ตนกำลังตั้งครรภ์ ท้องอยู่ยังมาตีกันในนี้อีก ก็ไม่แปลกที่เธอจะโกรธขนาดนี้ แต่ว่า……เธอก็ไม่อยากเป็นแบบนี้สักหน่อย เมื่อคิดถึงการกระทำของหนานกงเฉินเมื่อครู่ เธอทั้งน้อยใจทั้งเสียใจจนร้องไห้อีกครั้ง
หนานกงเฉินแอบชำเลืองมองเธอ แล้วพูดกับคุณย่า: “คุณย่าอย่าโกรธเลยนะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร?”
“ใครสนใจกันว่าเจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” คุณผู้หญิงใช้มือตีหัวของหนานกงเฉินเบาๆ อย่างเคยชิน พูดอย่างโกรธๆ: “โตแค่ไหนแล้ว ยังจะตีกันที่นี่อีก บอกกี่ครั้งแล้วว่าระหว่างสามีภรรยาต้องอยู่กันอย่างสันติ”
คุณผู้หญิงพูดจบ แล้วหัันมาพูดกับไป๋มู่ชิง: “เขาตีเธอหรอ? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร
หนานกงเฉินมองคุณผู้หญิงอย่างประหลาดใจ นี่มันยังไงกัน? คุณย่าเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้มากกว่าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่? ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าใครจะผิดหรือถูกเธอก็ไม่สนใจ อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนผิดเสมอ ทำไมวันนี้……
เขามองไป๋มู่ชิงอีกครั้ง ก็แค่ถูกบังคับกินยาแก้หวัดไม่กี่เม็ด จำเป็นต้องร้องไห้ขนาดนี้เลยหรอ?
“เจ้าทำเธอบาดเจ็บตรงไหนกันแน่? ทำไมเธอร้องไห้ขนาดนี้?” คุณผู้หญิงถามหนานกงเฉินอย่างไม่สบายใจ
เมื่อไม่มีความลำเอียงจากคุณผู้หญิงอีก หนานกงเฉินเชื่อฟังมากขึ้นทันที จึงตอบว่า: “ก็แค่……บังคับเธอกินยาแก้หวัดไปสองสามเม็ด……”
เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 77 บังคับเธอกินยา
Posted by ? Views, Released on July 16, 2021
, เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ
Recommended Series
Comment
Facebook Comment