เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 81 การเปลี่ยนแปลงของเขา

“คือว่า……ฉันไปก่อนนะ พวกเธอค่อยๆคุยกันนะ ”เหยาเหม่ยทิ้งท้ายไว้แบบนี้ และเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย
หลังจากที่หนานกงเฉินเห็นเธอเดินออกไปจากห้องผู้ป่วย เพียงแค่หัวเขาผ่านเข้ามาก็รีบกวาดตามองหาไป๋มู่ชิง
“คือว่า……”ไป๋มู่ชิงมองเขา ค่อยๆเปิดปากถามเขาว่า“คุณถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?ฉัน……ทำไมถึงไม่รู้เลยล่ะ?”
“เพราะเธอมัวแต่พูดให้รายสามีไง แน่นอนว่ายังไงก็ต้องไม่รู้”
“ไม่ใช่……”ไป๋มู่ชิงก้มหน้าไปด้วยความรู้สึกผิด
งั้นก็ดี ดูจากปฏิกิริยาของเขาแล้วเหมือนกับไม่ได้ยินที่เหยาเหม่ยพูด และเขาก็ไม่พบว่าเธอตั้งท้อง
“แท้ที่จริงมาแต่งงานกับฉัน ต้องทำให้เธอเก็บความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมไว้ในใจเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”หนานกงเฉินได้พูดหยอกเล่นกับเธอ
“คุณรู้ก็ดีแล้ว”ไป๋มู่ชิงพูดด้วยเสียงเบาๆ
ถึงแม้เสียงของเธอจะเบา แต่ว่ายังไงหนานกงเฉินก็ได้ยิน เขาไม่รู้จะต้องพูดว่าอะไรเลยพูดไปว่า“ฉันรู้สึกว่าเพื่อนเธอพูดถูกแล้ว ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่เธอต้องเจอ ดังนั้นถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นธรรมขนาดไหนก็ต้องอดทนเอาไว้”
“ฉันก็พยายามทนมานานแล้ว”ไป๋มิงพูดออกมาแบบนี้
ปฏิกิริยาของเธอทำให้หนานกงเฉินพอใจมาก เขาเลยเอาขวดเก็บความร้อนที่อยู่ในมือวางไว้บนโต๊ะและพูดว่า“นี่เป็นซุปไก่ที่พี่เหอทำมาให้ รีบกินตอนที่มันยังร้อนอยู่”
“ขอบคุณนะ”ไป๋มู่ชิงก็เปิดผ้าห่มออกเพื่อจะได้ลงมาจากเตียง
หนานกงเฉินเห็นเธอมีท่าทีที่ลำบาก พูดกับเธอว่า“เธอจะทำอะไร?”
“ฉัน……อยากเข้าห้องน้ำ”
“เรื่องเยอะจริงๆเลย”หนานกงเฉินก็ลังเลไปพักหนึ่งก็เดินไปอุ้มเธอไปเข้าห้องน้ำ หลังจากนั้นเอาตัวเธอไปวางไว้ที่บนชักโครก
ไป๋มู่ชิงที่อยู่ตรงนั้นเห็นว่าเขายังอยู่ตรงนั้นอยู่ เลยถามเขาไปว่า“ทำไมคุณยังไม่ไปอีกล่ะ?”
“รีบเข้าสิ เดียวฉันรอ”
“หมายความว่ายังไงกันนะ?คุณจะเข้าห้องน้ำกับฉัน?ไม่ได้……ฉันจะเข้าห้องน้ำกับคนอื่นได้ยังไง”หน้าของไป๋มู่ชิงก็ยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิมอีก
หนานกงเฉินจนปัญญา ทำได้แต่เดินออกไปจากห้องน้ำ
เขายืนอยู่รอเธออยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ แต่ผ่านไปแล้วห้านาทีเธอก็ยังไม่ออกมาสักที เขาเลยตะโกนเข้าไปถามว่า“เสร็จหรือยัง?”
“คนดี……”ไป่มู่ชิงยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเกิดขึ้นในห้องน้ำและยังมาพร้อมกับเสียงร้องเจ็บปวดเบาๆของไป๋มู่ชิง
หนานกงเฉินตกใจมาก คิดแล้วคิดอีกในที่สุดก็ได้เปิดประตูเข้าไป
ในห้องน้ำ ครึ่งตัวของไป่มู่ชิงเปียกอยู่ตรงพื้น ลื่นล้มไปทั้งอายทั้งเจ็บ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
หนานกงเฉินเห็นเธอว่าเธอไม่เป็นอะไร หลังจากถอนหายใจอย่างโล่งใจเขาก็ได้สังเกตเห็นว่าเธอไม่มีแรงพูด“นี่ไงชะตากรรมของคนที่ไม่ฟัง ได้เข้าห้องน้ำไหม?”
“ได้เข้าแล้ว……”ไป๋มู่ชิงก็เขินอยู่ที่ตัวเองนั้นอยู่ตรงพื้น ที่จริงแล้วเสียงดังเมื่อกี้นี้เป็นเสียงของชักโครกที่แตกลงมา เธอเพียงแค่เจ็บแผลเลยไปนั่งอยู่ตรงพื้น นอกจากแผลนั้นส่วนอื่นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
หนานกงเฉินพยุงตัวเธอขึ้นมาจากพื้น ออกมาจากห้องน้ำอุ้มเธอไปที่เตียง หลังจากนั้นก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าได้หยิบเอาชุดคนไข้ออกมา
กางเกงเธอเปียกไปครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่เปลี่ยนก็คงจะไม่ได้ แต่ว่าหนานกงเฉินอยู่ตรงนั้น เธอรู้สึกอาย ได้แต่ทำหน้าตาเฉยเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรและพูดว่า“ไม่ต้องเปลี่ยนแล้ว เดี๋ยวก็แห้งแล้ว”
“ถ้ารอจนมันแห้งเธอก็คงเป็นหวัดไปแล้ว และก็จะต้องได้อยู่โรงพยาบาลอีกหลายวัน คุณหนูไป๋ฉันยุงนะ จะมีเวลาเยอะขนาดนั้นมาดูแลเธอได้ยังไง?”ตอนที่หนานกงเฉินกำลังพูดอยู่ก็ผลักเธอลงไปนอนอยู่ที่เตียง ได้เอามือเอื้อมไปดึงกางเกงของเธอออก
ไป๋มู่ชิงตกใจมาก เธอทั้งร้องทั้งดิ้นและพูดว่า“หนานกงเฉินคุณกำลังจะทำอะไร?เดี๋ยวฉันทำเอง!ออกไปเลยนะ……!
แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้ต่อต้านเขา หนานกงเฉินก็ได้ถอดกางเกงของเธอออกแล้ว
คุณพระช่วย ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้ก็เอาแต่ใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน ทำตัวให้มันดีๆหน่อยได้ไหม?
ดิ้นไปก็ไม่มีประโยชน์ เธอก็ได้แต่ตามน้ำไป
ขาของเธอเรียวยาว ขาวผ่องชวนให้มอง หนานกงเฉินเห็นก็ยอมรับว่าใจเต้น ถ้าเธอไม่ได้ป่วยอยู่ เขาก็คงจะไม่ปล่อยเธอไว้หรอก
เขาเห็นว่าทั้งใบหน้าของไป๋มู่ชิงแดงมาก ตั้งใจล้อเธอว่า“อย่าทำเหมือนกับฉันไม่เคยเห็น อย่าแกล้งทำตัวไร้เดียงสาหน่อยเลย”
หน้าของไป๋มู่ชิงไม่เพียงแค่แดงและยังร้อนขึ้นมาอีกด้วย
จริงๆแล้วเธอถูกเขามองมาเยอะไม่น้อย แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเปลี่ยนกางเกงให้เธอ จะให้ไม่เขินได้อย่างไรกันล่ะ?
เพื่อที่จะซ่อนความเคอะเขินของตัวเองไว้ เธอเลยตั้งใจพูดออกมาอย่างใจเย็นว่า“ฝีมือในการช่วยผู้หญิงถอดกางเกงดูช่ำชองดีนะ”
หนานกงเฉินหยุดดึงกางเกงและมองไปที่เธอ ไป๋มู่ชิงเห็นก็ปิดปากตัวเองทันที มองตาเขาด้วยตาปริบๆ
“ฉันยังมีวิธีที่ดีกว่านี้นะ เธออยากลองไหมล่ะ?หนานกงเฉินจ้องเธอแล้วพูดออกมา พอพูดจบเขาก็ยังพยายามจะถอดกางเกงของเธอออก
ไป๋มู่ชิงรีบดึงกางเกงของตัวเอง ส่ายหัวแล้วพูดว่า“ไม่ต้อง คุณไปลองกับคนอื่นเถอะ”
“ใจกว้างขนาดนั้นเลยเหรอ?”หนานกงเฉินวางมือทั้งสองข้างตัวเธอ ไปกระซิบข้างหูเธอว่า“ถึงแม้ว่าเธอจะมีเรื่องมากมาย นิสัยก็ไม่ดี แต่สุดท้ายแล้วยังพอจะรับได้อยู่ ฉันชอบผู้หญิงแบบเธอนะรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ มีมารยาท”
ไป๋มู่ชิงโดนเขาแหย่จนรู้สึกว่าเริ่มจะทนไม่ไหว ทั้งหันหนีและยังพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดีว่า“คุณ……หยุดใส่ความฉันได้แล้ว”
เขาชมเธอขนาดนี้ งั้นหลังจากนี้ถ้าเขาอยากจะอยากไปหาผู้หญิงคนไหนเธอคงจะไม่สามารถออกพูดอะไรได้แล้วใช่ไหม?ถ้าพูดไปก็คงไม่มีมารยาท
เรื่องแบบนี้เธอกับผู้หญิงคนอื่นก็เหมือนกันนั้นแหละยังไงก็ยอมรับไม่ได้หรอก
หนานกงเฉินเอามือของเขาลูบไปที่หน้าของเธอ พูดออกมาอย่างไม่น่ายินดีว่า“ต้องขอบคุณเธอที่ทำให้คุณชายคนนี้มีผู้หญิงเข้ามาเยอะแยะมากมายขนาดนี้”
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาหมายถึงตัวเธอเองนั้นทำให้เรื่องราวของเขาเผยแพร่ออกไป เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขารู้สึกแสลงใจมาก เอาล่ะ เป็นความผิดของเธอเอง เธอเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเอง
ถ้ารู้ว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้เธอจะไม่เอากับไป๋ยิ่งอันหรอก และคงจะไม่มาติดอยู่กับเรื่องที่สลับตัวกับไป๋ยิ่งอันหรอก
คิดถึงเรื่องราวหลังจากสามเดือนนั้นมา ในใจของไป๋มู่ชิงยังคงรู้สึกเศร้า เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าไม่เข้มแข็งเลย
“ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว”เธอพูดด้วยความรู้สึกผิด
หนานกงเฉินไม่รู้จะพูดว่าไง เลยพูดไปว่า“ขอโทษ นี่เป็นวิธีการแสดงออกของเธอเหรอ?แกล้งแค่นี้ก็ไม่สนุกแล้ว
เขาชอบที่จะเห็นเธอถูกกลั่นแกล้ง และยังทำให้สับสน มันรู้สึกสนุกมากเลย
พอมองเขา ไป๋มู่ชิงเลยรีบพุ่งเข้าไปจับคอของเขา กดหัวของเขาลง จูบไปบนริมฝีปากของเขาและพูดว่า“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หวังว่าหลังจากนี้คุณจะมีความสุขนะ”
ไม่ว่าเขาจะมีผู้หญิงกี่คนก็ไม่เกี่ยวกับเธอแล้ว แต่ถ้าหนึ่งในนั้นเป็นไป๋ยิ่งอันไม่ว่าอย่างไงเธอคงทนไม่ได้ ไม่กล้าที่จะคิดจริงๆว่าถ้าถึงตอนนั้นแล้วพวกเขาจะใช้ชีวิตกันแบบไหน
หนานกงเฉินโดนเธอจูบไปสักพัก ตกใจอยู่ไม่น้อย สังเกตเห็นว่าเธอต่างไปจากเดิมมาก เลยพูดว่า“นี่มันอะไรกันอีกล่ะ?”
“เพื่อเป็นภรรยาที่ดียังไงกันล่ะ”ไป๋มู่ชิงยิ้มออกมา
“วิธีนี้มันไม่เหมาะกับเธอ”หนานกงเฉินก้มหน้าไปจูบที่ริมฝีปากของเธอ ครั้งนี้กลายเป็นเขาที่เป็นฝ่ายกระทำ
ไป๋มู่ชิงคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะจูบเธอ มือทั้งสองก็ไปอยู่ที่หน้าอกของเธอ เธอกลัวมากว่าเขาจะกดเธอลงไป จริงๆแล้วเธออยากจะผลักเขาออกไป แต่ในใจของเธอนั้นกลับเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากทำแบบนั้นแล้ว
ราวกับว่า……เขาไม่ได้จูบเธอแบบนี้มานานแล้ว ยังคงหลงใหลในความรู้สึกนี้
หลังจากเขาจูบที่ริมฝีปากของเธอนานพอสมควร ก็ค่อยๆไปจูบที่คอของเธอ
“คุณชายเฉิน……”เธออดไม่ได้ที่พูดออกมาว่า“คุณเจอเธอแล้วหรือยัง?”
นี่เป็นอีกหนึ่งประโยคที่ทำลายบรรยากาศมาก แต่นี่ก็เป็นคำถามที่เธออยากจะถามมาโดยตลอด
ในวินาทีนั้นหนานกงเฉินก็หยุดจูบเธอ และกระซิบข้างหูเธอเบาๆว่า“ยังไม่เจอ”
เธอก็ยังถามอีกว่า“งั้นทำไม่คุณถึงตัดสินใจที่จะปล่อยวางแล้วล่ะ?”
เธอรู้ว่าหนานกงเฉินก็คงอาจจะไม่ชอบที่เธอถามคำถามพวกนี้ แต่ว่าคำตอบสำคัญกับเธอมาก เธออยากรู้มากจริงๆ เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นมันกวนใจเธอมาก ดังนั้นเธอเลยใส่ใจเป็นพิเศษ
“เธอสอนฉันเองไม่ใช่เหรอ ไม่คุ้มค่าที่จะต้องทิ้งตัวเองไปเพื่อคนที่ทิ้งเราไป”หนานกงเฉินยิ้มอย่างเย็นชา
ก็จริง เขาคงคิดดีแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะกลัวเขา งั้นก็ให้เธอไปเถอะให้เธอไปหาผู้ชายที่ปกติแข็งแรงดีสักคน แต่ในเมื่อเลือกที่จะปล่อยวางแล้ว ก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องไปรบกวนเธออีก
“ในที่สุดคุณก็คิดได้ใช่ไหม?”ไป๋มู่ชิงยิ้มมุมปาก
“ใช่”หนานกงเฉินหันตัวลงไปนั่ง หยิบบุหรี่และไฟแช็กออกมา ในชั่วพริบตาก็มีควันบุหรี่ลอยมา
จำได้ว่าเขาสูบบุหรี่แต่ว่าสูบน้อยมาก นี่เหมือนกับเป็นครั้งแรกที่เขาสูบบุหรี่เพราะผู้หญิงคนนี้ ครั้งที่เขาสุบบุหรี่เพราะเธอจริงๆ ยิ่งกว่านั้นเขาก็พกกล่องบุหรี่ติดตัวไว้ตลอด
ในควันบุหรี่ เขามีสีหน้าที่เศร้ามากปิดเท่าไหร่ก็ปิดไม่มิด
ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเตียง ชี้ไปตรงที่หัวเตียงเขียนไว้ว่า‘ห้ามสูบบุหรี่’หลังจากนั้นก็ไปหยิบบุหรี่ออกจากมือของเขา
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นห้องผู้ป่วยธรรมดา มีแค่เธอคนเดียวแต่คุณหมอก็พูดไว้ว่าห้ามเขาสูบบุหรี่ เพื่อสุขภาพของเขาเอง ถึงแม้จะคิดถึงเธอยังไงก็ห้ามสูบ
“ฉันขอโทษ ฉันลืมไปแล้ว”หนานกงเฉินพูดออกมาด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างมาก
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมาแล้วพูดว่า“แท้ที่จริงแล้วตอนที่มีเรื่องเครียดไม่เห็นจำเป็นต้องสูบบุหรี่เลย ยังสามมารถ……”
“กินเหล้า?”หนานกงเฉินมองเธอด้วยความสงสัย พูดแทรกมาทันที
“แน่นอนว่าไม่ใช่”ตอนนั้นไป๋มู่ชิงคิดไม่ออกว่ามีวิธีอะไรบ้าง เลยชี้ที่ตนเองแล้วพูดว่า“งั้นทำเหมือนกับฉันก่อนหน้านี้ ด่าฉันมาได้เลย ยังไงแล้วฉันฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่แล้ว”
หนานกงเฉินเลิกคิ้วขึ้นและจ้องเธอด้วยความโมโห
ไป๋มู่ชิงเอามือมาบังปากของตัวเองและพูดอีกว่า“ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเข้าหูซ้ายแล้วทะลุหูขวาตลอดหรอก บางครั้งก็เข้าไปอยู่ในใจบ้าง ฮ่าฮ่า……”
“ดังนั้น……เมื่อวานตอนเช้าที่ฉันด่าคุณไปขนาดนั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วใช้แค่ไอศกรีมอันเดียวก็เอาคุณอยู่แล้วใช่ไหม?เพราะคิดเอาคำพูดของฉันเป็นคำพูดไร้สาระมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ?เมื่อวานก็คุณโกรธฉันจริงๆ”พอคิดถึงเรื่องเมื่อวานที่เขาพูดกับตัวเองว่าไป๋มู่ชิงโกรธ แต่ตัวเองกลับโดนง้อด้วยไอศกรีมแค่อันเดียวก็หายแล้ว ข้อนี้ยังต้องรอการพิสูจน์
ที่จริงแล้วเธอไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น สามารถทำให้เขาสถบออกมา เพียงแค่เธอรู้ว่าในตอนไหนเขารู้สึกกลุ้มใจ จะได้ระบายอารมณ์ออกมา พอหลังจากที่ได้ระบายออกมาแล้วจะได้รู้สึกดีขึ้น
ถ้าเขายังเลือกที่จะกินเหล้าสูบบุหรี่มาทำร้ายตัวเองนั้น เธอยอมโดนเขาทำร้ายเลยดีกว่า
“ดื่มซุปไก่ก่อนเถอะ”ทันใดนั้นหนานกงฉินได้ลุกจากเตียงไปนั่งที่โซฟาแทน
เห็นว่าเธออืดอาดยืดยาด เขาเลยกอดอกจ้องถามเธอว่า“ทำไม?อยากให้ฉันป้อนเธอเหรอ?”
“ถ้าหากว่าเธอยอมก็คงจะดี”ไป๋มู่ชิงคัดค้านไปอย่างช้าๆว่า“ตอนแรกที่คุณป่วย ฉันทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อที่จะดูแลคุณ ตอนนี้กลับเป็นฉันที่ป่วย คุณควรตอบแทนฉันเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“นี่เธอกำลังพูดถึงความเท่าเทียมกันกับฉันเหรอ?”มีคนย้อนถาม
ไป๋มู่ชิงหมดคำจะพูด แต่ยังไงก็รู้อยู่แล้วว่าเขาจะเป็นแบบนี้ ให้เขาป้อนข้าว?เป็นความคิดที่โง่เขลามาก
เดิมทีเธอแค่พูดไปงั้น ไม่ได้หวังให้เขาต้องมาป้อนซุปไก่ให้กับเธอ เธอก็ขึ้นไปที่โต๊ะบนเตียงอย่ายากลำบากและเอาซุปไก่ที่อยู่ในขวดเก็บความร้อนเทออกมา
อย่างไรก็ตามยังเหลือซุปอีกนิดหน่อย เธอค่อยๆดื่มเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย แต่หนานกงเฉินนั่งจ้องอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอ จ้องจนเธอรู้สึกอึดอัด
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ๆนั้น จู่ๆหนานกงเฉินถามว่า“ได้ยินมาว่าช่วงนี้พี่เหอต้มซุปไก่ให้เธอบ่อยๆเหรอ?”
ช้อนที่อยู่ที่มือขวาของไป๋มู่ชิงก็สั่นเล็กน้อย ทำไมอยู่ดีๆเขาถึงถามแบบนี้กันนะ?ไม่ใช่ว่าสังเกตเห็นอะไรแล้วนะ?
ยิ่งกว่านั้นเธอยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเขา และยังคงก้มหน้าก้มตาตอบว่า“ใช่แล้ว”
“ทำไมกันล่ะ?”
“เพราะย่าบอกกับฉันว่าตอนที่ตั้งท้องคงจะผอมเกินไป ดังนั้น……”
“ฮ่า โง่จริงๆเลย!”หนานกงเฉินก็หัวเราะเยาะ
เขามองไม่ออกว่าเธอตั้งท้องอยู่ ไป๋มู่ชิงแอบโล่งใจ ก้มหน้าก้มตากินซุปไก่ไปสองคำแล้วหันมามองเขา ที่จริงแล้วเธออยากถามเขาว่า ไม่อยากมีลูกใช่ไหม? แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะถามออกไป
ถ้าหากคำตอบยังเป็นเหมือนกันกับเมื่อก่อน งั้นคงได้แต่ทรมานตัวเองอีกครั้ง ไม่มีความหมายตั้งแต่แรก
ถึงแม้ว่าท่าทีของเขาที่มีต่อเธอได้เปลี่ยนไปแล้วก็ตาม แต่ว่ายังไงก็ไม่มีความหวังที่เลยเหรอที่จะเปลี่ยนว่าอยากจะมีลูก?ยังไงก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ได้หรอก!
ไป๋มู่ชิงแค่แผลถลอก เดิมทีก็ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาลอยู่แล้ว แต่ว่าคุณผู้หญิงกังวล เลยจำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการ อีกสองวันถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้
ดีที่เวลาสองวันนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในสุดเธอก็จะได้ออกจากห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อโรคแล้ว
เรื่องที่ทำให้เธอยิ่งดีใจนั้นคือหนานกงเฉินมารับเธอออกจากโรงพยาบาลด้วยตัวเขาเอง
ถึงแม้ว่านี่อาจจะถูกคุณผู้หญิงบังคับมาแต่แค่ได้เห็นเขามารับก็ดีใจมากแล้ว
“เก็บของเสร็จแล้วใช่ไหม”หนานกงเฉินถาม
“เสร็จหมดแล้วเรียบร้อย”เสี่ยวลวี่ที่อยู่ข้างได้ตอบแทน
“งั้นก็ไปกันเถอะ”หนานกงเฉินมองไปยังไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงมองเขา พูดแสดงสีหน้าที่ผิดหวังออกมาว่า“ทำไมถึงไม่ซื้อช่อดอกไม้มาอวยพรหน่อยล่ะ?”
โดยทั่วไปแล้วถ้ามารับคนออกจากโรงพยาบาลไม่ใช่ว่าต้องให้ช่อดอกไม่หรอกเหรอ?แม้แต่เรื่องง่ายๆขนาดนี้ยังไม่กล้าทำเลย!หนานกงเฉินพูดอะไรไม่ออก เขาเลิกคิ้วพูดว่า“เธอแพ้เกสรดอกไม้ไม่ใช่เหรอ?
“ฉันแค่แพ้ดอกลิลลี่ อย่างอื่นก็ไม่ได้แพ้”
“ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง”หนานกงเฉินเอาแต่พูดคำนี้และได้จากไปจากห้องผู้ป่วย ไป๋มู่ชิงเรียกเขาอย่างรีบร้อนว่า“รอเดี๋ยว”
“อะไรกันอีกล่ะ?”หนานกงเฉินหันมาเห็นเธอที่ยังนั่งอยู่บนเตียงไม่ได้ออกไปจากห้องผู้ป่วย อดไม่ได้ที่จะอยากถามเขาเสียงดัง ไป๋มู่ชิงกลับชี้ไปที่เข่าของตนเอง ทำหน้าอย่างไร้เดียงสาพูดว่า“คุณหมอบอกว่าฉันยังเดินไม่ได้ เพราะจะทำให้แผลฉีกขาดง่าย”
เสี่ยวลวี่ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ก็ชำเลืองดูเธออย่างน่าสงสัย ก็เห็นกันอยู่ว่าคุณหมอไม่เคยพูดแบบนั้น!
เดิมทีคิดว่าคุณชายใหญ่จะโกรธจนสะบัดแขนออกไป คิดไม่ถึงว่าเขากลับลังเลอยู่แค่ครู่เดียวก็เดินเข้าไปประคองไป่มู่ชิง
“แบกฉันหน่อยสิ”ไป๋มู่ชิงทำหน้าตาไร้เดียงสามาก
หลังจากที่หนานกงเฉินลังเลอีกครั้ง ก็ได้หันตัวก้มลงไปแบกเธอ
ไป๋มู่ชิงแอบดีใจอยู่ เธอเอนตัวลงไปใช้มือสองข้างกอดไหล่และเกาะอยู่ที่หลังของเขา หลังจากนั้นเธอยิ้มและพูดว่า“โอเคได้แล้ว”
หนานกงเฉินยืนขึ้น จับขาทั้งสองข้างของเธอไว้และเดินออกประตูของห้องผู้ป่วยไป
เสี่ยวลวี่ที่อยู่ข้างๆตะลึงไปเลย นึกไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะให้คุณชายใหญ่แบกเธอ?แต่ที่ทำให้เธอตะลึงที่สุดคือความไม่ถึงเหมือนกันว่าคุณชายใหญ่ก็ตอบรับไป
เธอก็ตกใจไปอยู่พักหนึ่ง ถึงจะค่อยรีบเดินยกของตามไป
ไป๋มู่ชิงนอนอยู่บนหลังของหนานกงเฉิน รู้สึกดีใจ โดนเฉพาะอย่างยิ่งเสี่ยวลวี่มองไม่เห็น ขนาดตัวเธอเองยังคิดไม่ถึงว่าหนานกงเฉินจะยอมแบกเธอลงไป ถึงอย่างไรก็อยู่ท่ามกลางคนเยอะแยะ
เธอก็พูดออกมาว่า ก็แค่อยากจะทดสอบหน่อย นึกไม่ถึงเลยว่าผลจะออกมาไม่เหมือนกับที่คาดการณ์ไว้ขนาดนี้
เดินไปตามทางเดินยาว ฝีเท้าของหนานกงเฉินยังคงเหมือนเดิม เห็นได้ชัดเจนเลยว่าน้ำหนักของเธอเบา ไม่ได้เป็นภาระให้เขาเลย
รู้สึกว่าไป๋มู่ชิงที่อยู่บนหลังของเขาหัวเราะไปตลอดทาง เขาหันไปเล็กน้อยและขมวดคิ้วพูดกับเธอว่า“เธอหัวเราะอะไร?”
“เปล่า ไม่ได้หัวเราะอะไร”ไป๋มู่ชิงก็รีบหุบยิ้มไป
เธอค่อยๆกอดแขนที่อยู่บนไหล่ของเขาแน่นขึ้น หน้าเธอแนบกับหูของเขา จนทำให้ตัวเองรู้สึกได้ถึงลมหายใจและกลิ่นตัวของเขาได้อย่างชัดเจน
เขาเป็นแสงอาทิตย์ให้เธอมาโดยตลอด สว่างมากและยังห่างไกลกันมากอีกด้วย
แต่ว่าวันนี้ เธออยู่ในอ้อมแขนของเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นของเธอ
ท่าทางแบบนี้ของหนานกงเฉินยิ่งทำให้เธอตกหลุมรัก เธอรู้สึกว่าถ้าตัวเองยังอยู่แบบนี้ต่อไปยังไงก็ต้องตกหลุมรักเขา เธอรู้ดีว่าที่ที่เธอไปตกหลุมรักเขาคือการทำร้ายตัวเอง แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะอยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆเขา รู้สึกถึงนิสัยที่ไม่เหมือนใครของเขา
ไม่นาน ทั้งสองคนก็ถึงที่ลานจอดรถชั้นหนึ่ง
ไป่มู่ชิงได้กวาดตาไปรอบๆ ถามจากจิตสำนึกของเธอว่า“ทำไมคุณถึงเอารถมาจอดไว้ที่นี่ล่ะ?”
ทำไมถึงต้องมาจอดที่แผนกผู้ป่วนนอกที่อยู่ชั้นล่างด้วยล่ะ จอดที่ประตูใหญ่ออกจดี ที่นี่ห่างจากประตูใหญ่อย่างน้อยประมาณสองสามร้อยเมตรเลยนะ
“หมายความว่ายังไง?คิดว่าฉันยังเหนื่อยไม่พอเหรอ?”
“ไม่ใช่”ไป๋มู่ชิงก็ส่ายหัวทันที
“ยังไม่รีบปล่อยมือของเธอออีก ”
“โอ้”ไป๋มู่ชิงพึ่งจะรู้ตัวเองว่าตัวเธอกอดคอเขาไว้ตั้งนานแล้ว ก็รีบปล่อยเขาทันที
หนานกงเฉินเอื้อมมือไปเปิดประตู ได้อุ้มเอาตัวเธอเข้าไปในรถโดยตรง เขาก็ไปขึ้นรถจากอีกฝั่งหนึ่ง
พึ่งจะส่งไป๋มู่ชิงกลับบ้านตระกูลหนานกงได้ไม่นาน หนานกงเฉินก็ต้องออกไปทำงานแล้ว
พี่เหอเห็นรถของหนานกงเฉินค่อยๆขับออกไป หัวเราะและพูดว่า“คุณผู้หญิง คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายใหญ่จะเชื่อฟังท่าน ไปรับนายหญิงน้อยกลับมาด้วยตัวเอง”
คุณผู้หญิงได้มองออกไปข้างนอกประตูใหญ่ และหันกลับว่าพูดกับพี่เหอว่า“เธอพูดว่าอยู่ดีๆเขาก็เปลี่ยนไป เชื่อฟังขึ้น ไม่ใช่ว่าเขากำลังเล่นตลกอะไรกับฉันใช่ไหม?อย่างเช่น……ไปแอบคบกับผู้หญิงสกุลจูคนนั้น?”
“อาจจะไม่ใช่หรอกค่ะ”พี่เหอคิดแล้วคิดอีก“ตอนเช้าของวันนี้ฉันถามเลขาเหยียน เธอบอกฉันว่าช่วงวันสองวันมานี้คุณชายใหญ่ทำแต่งาน พอเลิกงานก็ไปอยู่เป็นเพื่อนนายหญิงน้อย และก็ไม่ได้ไปหาผู้หญิงคนไหนเลย”
“เป็นไปไม่ได้หรอก……”คุณผู้หญิงพูดเบาๆ
พี่เหอหัวเราะแล้วหัวเราะอีก“คุณผู้หญิง ฉันดูแล้วว่าเหมือนคุณชายใหญ่กับนายหญิงน้อยจะไปเมืองหยานมาแล้วหนึ่งรอบ ความสัมพันธ์เลยดีขนาดนี้ น่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเชื่อฟังคำพูดของท่าน?”
“แต่ว่าสองวันก่อนก็พึ่งจะไปหาผู้หญิงคนนั้นมา”
“งั้น……”พี่เหอก็อธิบายต่อไม่ถูกแล้ว
เรื่องนี้คุณผู้หญิงก็ต้องคิดให้ดีๆ เธอใช้เวลาคิดแล้วสักพักแล้วพูดกับพี่เหอว่า“ไปหาคนมาจับตาดูเขาไว้ ถ้าเกิดว่าเจอเขากับผู้หญิงคนนั้นให้บอกฉันทันที”
“ได้ค่ะคุณผู้หญิง”พี่เหอก็เห็นดีเห็นงาม
หลังจากวันที่ออกโรงพยาบาลมา ไป่มู่ชิงก็สนใจกับเบาแสของหนานกงเฉิน พบว่าในชีวิตประจำวัน จากการกระทำและที่เคยเป็นมาก็ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น และในที่สุดก็ไว้ใจอย่างสบายใจแล้ว
ถึงแม้ว่าไม่รู้ว่าในใจของหนานกงเฉินคิดอะไรอยู่ แต่หลังจากพบว่าเขาไม่ได้อยู่กับผู้หญิงคนนั้น ก็สรุปได้ว่าสามารถวางใจได้แล้ว ดูแล้วเขาก็ไม่ได้หลอกเธอ แต่ผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในใจเขากำลังจะถูกทิ้งไว้แล้ว
ถึงแม้ว่าในที่สุดหนานกงเฉินไม่ได้เป็นของเธอ แต่พอได้เห็นว่าปล่อยวางเธอแล้ว ปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ เธอก็คงจะดีใจแทนเขา
ตั้งแต่หลังจากแต่งงานเข้ามาในตระกูลหนากง เธอแทบจะไม่ได้กลับบ้านเลย เพราะว่าเดิมทีก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรหลงเหลืออยู่กับตระกูลนั้นอยู่แล้ว
แม้แต่วันนี้ซูวยาหยงก็ได้ข้อร้องอยากจะเจอกับเธอ เธอแค่นัดกันเจอกันในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ไม่ยอมกลับไปที่ตระกูลไป๋
ที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจคือ ในห้องรับรองที่ร้านกาแฟนั้นไม่เพียงแต่มีซูวยาหยงแต่แม้แต่ไป๋ยิ่งอันก็ยังอยู่ด้วย สรุปว่าเธอก็ไม่ได้เจอกับพี่สาวมาตั้งนานแล้ว ที่เจอกันวันนี้ก็พบว่าเธอก็มีความเปลี่ยนแปลงไปอยู่บ้าง
ไฝที่หาตาหายไป ไว้ผมยาว มองดูแล้วเธอก็พยายามมากอยู่พอสมควรเพื่อจะได้มาเข้ามาใช้ชีวิตที่แสนจะสุขสบาย
พอเห็นเธอเข้ามา ทันใดนั้นไป่ยิ่งอันก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เดินเข้ามาจับแขนแล้วพูดจาอย่างยิ้มแย้มว่า“แม่คะ ดูสิ พวกเราสองคนเหมือนกันหรือเปล่า?”
ซูวยาหยงสังเกตทั้งสองพี่น้อง พยักหน้าอย่าพอใจว่า“ใช่ เหมือนมาก”
ไป่มู่ชิงได้ดึงแขนของเธอกลับมาเพราะรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่ชินที่จะต้องมาเจอกับญาติที่รู้สึกแปลกกว่าคนแปลกหน้าอีก
ไป่มู่อันรู้สึกถึงความแปลกของเธอ ได้จ้องและเหน็บแนมเธอว่า“คุณหนูไป๋ ตอนแรกที่เธอไปทำศัลยกรรมให้เหมือนฉัน ทำไมถึงไม่ให้ฉันดูในหน้าที่น่ารังเกียจนี้ล่ะ?”
“ไม่ใช่หรืออย่าไงไรกัน อย่าลืมล่ะว่าหน้านี้คือหน้าพี่สาวของเธอ”ซูวยาหยงก็จิบน้ำและทำสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก
ไป๋มู่ชิงฝืนยิ้ม ใช่แล้ว หน้าแบบนี้คือหน้าของไป่มู่อัน สามีของเธอคือสามีของไป๋ยิ่งอัน ทั้งหมดที่เกี่ยวกับเธอก็คือ……เธอยังไงล่ะคุณหนูไป๋
“เธอยิ้มอะไร?”ไป๋ยิ่งอันโมโหจนถึงที่สุด
“ไม่มีอะไร”ไป๋มู่ชิงหุบยิ้ม สังเกตเห็นสองแม่ลูก“วันนี้พวกเธอเรียกฉันออกมา ไม่ใช่เพราะแค่ให้ฉันมาดูว่าพวกเราเหมือนกันขนาดไหนหรอกใช่ไหม?”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset