เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – ตอนที่ 93 เราหย่ากันเถอะ

“หนานกงเฉิน……คุณอย่าทำแบบนี้นะ……”เธอจ้องมองเขาด้วยความกังวลใจพร้อมเอ่ยเสียงสั่น “นายเอากลับไปแขวนไว้ที่เดิม ฟังฉันอธิบายนะ……”
“ได้ คุณพูดมาสิ”หนานกงเฉินเอาถุงยากลับไปแขวนไว้ที่เดิม “ผมอยากรู้ว่าคุณท้องได้ยังไง แต่ผมขอเตือนคุณก่อนนะ ไม่ว่าคุณจะท้องได้ยังไงเด็กคนนี้เก็บไว้ไม่ได้!”
ใจของไป๋มู่ชิงตกวูบ นี่เป็นผลลัพธ์ที่เธอกลัวที่สุด!
“คุณชายคะ ฉันขอร้องล่ะอย่าทำแบบนี้เลย……”
“อย่าทำแบบนี้?” หนานกงเฉินก้มลงมาใช้มือจับคางเธอไว้ “ผมเคยเตือนคุณแล้วว่าชาตินี้คุณอย่าคิดที่จะมีลูก แต่เธอกลับทำสวนทางคำพูดผม มันผิดที่ผมเหรอ?”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “เธอคิดว่าคลอดลูกออกมาแล้วก็จะรักษาฐานะในตระกูลหนานกงไว้ได้เหรอ? ผมบอกคุณตรงๆเลยว่าไม่มีทาง!”
“ไม่ใช่นะ”
“ไม่ใช่? แล้วมันเป็นยังไง? หรือว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกผม? เลยไม่กล้าพูดออกมาสักที?”
“เปล่า นี่เป็นลูกคุณ แต่ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย” ไป๋มู่ชิงเอ่ยพร้อมน้ำตา “ฉันก็ไม่อยากมีหรอก คุณย่าอยากได้เหลน แกเลยลงมือกับยาไป ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากมีลูก ฉันเลยไม่บอกคุณตอนที่รู้ตัวว่าตัวเองท้อง ฉันก็เคยคิดที่จะทำแท้งแถมยังจองคิวแล้วด้วย แต่ไม่คิดว่าครั้งนั้นจะเจอคุณหน้าลิฟต์……”
เจอกันครั้งก่อนที่โรงพยาบาลหงเอินหนานกงเฉินจำได้ ตอนนั้นเธอโกหกเขาไปว่าไปตรวจร่างกาย
เขาคาดไม่ถึงเลยว่าคุณย่าจะเลือกลงมือกับยา ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงกัน? คุณย่าอยากได้เหลนขนาดนั้นเลยเหรอ!
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ มีโอกาสเยอะแยะทำไมเธอไม่ไปทำ?” เขาเอ่ยอย่างเสียดสี “ถ้าเธอทำตามที่ผมบอก ก็ไม่มีเด็กคนนี้ตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“หลังจากนั้น……” ไป๋มู่ชิงหลับตาลงแล้วน้ำตาก็ไหล่ออกมาตามหางตาเธอ “หลังจากนั้นก็เป็นครั้งที่ฉันมากับแม่ พอเข้าไปในห้องผ่าตัดแล้ว แต่ฉันก็ทำใจไม่ได้ที่จะฆ่าลูกตัวเอง คุณชาย คุณไม่เคยท้อง คุณไม่เข้าใจความรู้สึกระหว่างฉันกับลูกหรอก……”
“ความรู้สึกบ้าบออะไร” หนานกงเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น “นั่นก็เป็นลูกของผมเหมือนกัน ผมยังทำใจได้ ต้องกำจัดมันก่อนจะลืมตาดูโลก เพราะฉะนั้น……”
มองไปที่ใบหน้าเลือดเย็นนั้น ไป๋มู่ชิงทำใจแล้ว เธอรู้ดีไม่ว่าจะพูดกับเขายังไงก็ไม่ได้ผล ก็อย่างที่เขาพูดไม่ว่าจะคนนอกหรือลูกตัวเองเขาก็พร้อมจะตัดใจทำลายได้ เขามันสัตว์เลือดเย็นชัดๆ!
“ถ้ากล้าทำก็ลองดู” เสียงอันเยือกเย็นดังขึ้นจากประตู แล้วคุณหญิงก็เดินเข้ามาพร้อมกับพี่เหอ
พอได้ยินเสียงของคุณหญิง คิ้วของหนานกงเฉินก็ขมวดเป็นปม สีหน้าดูไม่สบอารมณ์เลย
แต่กลับกัน พอเห็นคุณหญิงเดินเข้ามาไป๋มู่ชิงค่อยเห็นความหวังอันน้อยนิด ถึงแม้ทุกคนจะไม่อยากให้ลูกของเธอลืมตาดูโลก คงมีแต่คุณหญิงนี่แหละที่ต่างจากคนอื่น สถานการณ์นี้นอกจากคุณหญิงก็คงไม่มีใครช่วยลูกของเธอได้อีก
“คุณย่าครับ……” หนานกงเฉินหันกลับไปด้วยสีหน้าโมโห “ที่คุณย่าจัดการเรื่องแต่งงานให้ผมรับได้ เพราะมันไม่มีผลกระทบอะไรกับตระกูลหนานกง แต่เรื่องมีลูกคุณย่ายังปิดบังผม คุณย่าทำเกินไปไหมครับ? ในสายตาคุณย่า ผมยังไม่บรรลุนิติภาวะเหรอครับ? ผมยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า!?”
“แกรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า?” คุณหญิงไม่เกรงถึงความโมโหของเขาพร้อมเชิดหน้ามองเขา “ถ้าแกยังเป็นผู้ชายอยู่ เป็นผู้ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้วก็ควรรับผิดชอบ ทั้งบริษัทหนานกงทั้งบ้านนี้ด้วย ในชีวิตคนเราความอกตัญญูที่เลวร้ายที่สุดก็คือการไม่มีลูกหลาน แกยังเหลือความเป็นคนอยู่หรือเปล่าจะเอาอะไรมาดูแลตระกูล? ต้องพึ่งญาติพี่น้องต่างตระกูลงั้นเหรอ?”
“แกบอกฉันมาสิว่าแกจะให้ใครมารับช่วงตระกูลต่อ? พูดมา!” คุณหญิงพูดด้วยน้ำเสียงโมโหจนกระทบไม้เท้าไปด้วย
ปัญหานี้เขาทั้งสองไม่ใช่ทะเลาะกันเป็นครั้งแรก เมื่อทะเลาะทุกครั้งก็ไม่ได้คำตอบสักที เพราะความคิดของหนานกงเฉินไม่เคยเปลี่ยน!
“ถ้าลูกที่คลอดออกมามีร่างกายแบบผมล่ะ? จะอยู่รอดได้สักกี่วันยังไม่รู้เลยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสืบทอดตระกูล” หนานกงเฉินพูด
“แกรู้ได้ยังไงว่าลูกในท้องไป๋ยิ่งอันร่างกายจะไม่แข็งแรง? ไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าเด็กจะรอดหรือไม่รอด?”
“ชีวิตคนทั้งคน จะเอามาลองดูได้ยังไง?” หนานกงเฉินเอ่ยอย่างโมโห”คุณย่า นี่ชีวิตคนเลยนะครับ ไม่ใช่หมาแมวหรือสิ่งของ!”
“แกยังรู้อยู่เหรอว่านี่มันชีวิตคน? ตอนนี้เด็กสี่เดือนแล้วแค่อีกเดือนเดียวก็เลี้ยงรอดแล้ว แกใจดำฆ่าเด็กได้ยังไงกัน? ทำไมไม่นึกว่านั่นก็ชีวิตคนคนหนึ่งเหมือนกัน?”
“คุณย่าครับ ทำก่อนที่มันจะมีความรู้สึกไงครับ ไม่ใช่ว่าให้คลอดออกมาแล้วยังมาโดนโรครุมล้อมแบบผม คุณย่าไม่ใช่ผมไม่เข้าใจความเจ็บปวดที่ผมได้รับหรอกครับ” หนานกงเฉินเดินก้าวไปข้างหน้าจ้องมองไปที่ตาของไป๋มู่ชิงที่เปียกปอน “คุณหนูไป๋ คุณอยากให้ลูกคุณทุกทรมานเหมือนผมเหรอ เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนมอง อยู่คนเดียวโตมาคนเดียว? คุณรับได้เหรอ?”
“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาด้วยสีหน้าคาดหวัง “ฉันเชื่อว่าเขาต้องเป็นเด็กที่ร่างกายแข็งแรง คุณชายคะ ฉันขอร้องขอให้เขาได้มีโอกาสมีชีวิตรอดเถอะ……”
“ไม่ได้! ผมบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!” หนานกงเฉินพูดแทรกเธอด้วยความโกรธ เธอยังกล้าเถียงเขา ทำสวนทางเขาอีก เขาโกรธจนแทบบ้าจนสติจะหลุด เขากระชากถุงยาออกแล้วโยนลงพื้น “เด็กคนนี้เก็บไว้ไม่ได้! ผมบอกว่าไม่ได้ไง!”
“พี่ชายกำลังทำอะไรคะ?” ผู่เหลียนเหยาที่เอาแต่ยืนอยู่หน้าประตูพอเห็นเขาทำอย่างนั้นเลยรีบวิ่งเข้ามาปิดสวิตซ์การไหลของยาแล้วดึงเข็มออกจากหลังมือของไป๋มู่ชิง
ไป๋มู่ชิงตกใจจนร้องไห้ จนขยับถอยไปนั่งกอดเข่าอยู่มุมห้อง
ทำยังไงดี? เธอควรจะทำยังไงดี?
คุณหญิงก็ตกใจกับการกระทำที่บ้าบิ่นของหนานกงเฉินจนอารมณ์ขึ้นเหมือนกัน
“แก……แก……!” แกชี้หน้าหนานกงเฉินไว้ รู้สึกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกแต่ก็กัดฟันพูด “ฉันของเตือนไว้เลยนะหนานกงเฉิน ถ้าเด็กคนนี้ตาย ฉันก็ตายตามไปด้วย……คอยดู……”
ตาทั้งสองข้างของคุณหญิงหลับลงแล้วแกก็เป็นลมล้มลงไป
“คุณย่า!” ผู่เหลียนเหยารีบพุ่งไปพยุงตัวคุณหญิงไว้ พร้อมหันไปพูดกับหนานกงเฉิน “พี่ชาย คุณย่าอายุมากแล้ว พี่อ่อนข้อให้แกหน่อยไม่ได้เหรอคะ?”
เมื่อหนานกงเฉินเห็นว่าคุณหญิงเป็นลมเขาก็เป็นห่วงมากเหมือนกัน รีบเดินไปรับตัวคุณหญิงแทนผู่เหลียนเหยา พร้อมอุ้มคุณหญิงไปห้องฉุกเฉิน
ในห้องพักฟื้นกลับมาเงียบอีกครั้ง ไป๋มู่ชิงก็ยังนั่งอยู่ตรงมุมเตียงเหมือนเดิม เธอทั้งกังวลใจทำอะไรไม่ถูก จากการกระทำของหนานกงเฉิน เธอกลัวว่าถึงจะเป็นคุณหญิงก็ช่วยลูกเธอไว้ไม่ได้
นิสัยหนานกงเฉินก็เป็นแบบนี้แหละ หัวแข็งจนไม่ฟังคนอื่นรวมทั้งคำพูดของคุณหญิงด้วย
ไม่รู้ว่าเธอนั่งทื่อๆอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหน อยู่ดีๆก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไป๋มู่ชิงขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “เชิญค่ะ”
ประตูห้องถูกเปิดออกแล้วเซิ่งซินก็เดินเข้ามา
กับน้องสาวที่ดูอ่อนโยนเรียบร้อยแถมพูดน้อยคนนี้ ไป๋มู่ชิงไม่ค่อยสนิทกับเธอมากนัก นอกจากทักทายกันปกติอย่างมีมารยาทก็ไม่เคยพูดอะไรนอกจากนั้นเลย
พอเห็นเธอเดินเข้ามา ไป๋มู่ชิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอ แค่เอ่ยไปว่า “คุณย่าเป็นยังไงบ้าง?”
“วางใจได้ คุณย่าไม่เป็นอะไรแล้ว” เซิ่งซินนั่งลงข้างเตียงเธอพร้อมมองสำรวจเธอ “พี่เป็นยังไงบ้าง? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ไป๋มู่ชิงส่วยหน้าไปมาก่อนคอจะตกเหมือนเดิม
เซิ่งซินพูดปลอบไป๋มู่ชิงต่อ “อย่ากังวลเลย มีคุณย่าอยู่พี่ชายไม่กล้าทำอะไรหรอก”
“เธอรู้ตั้งนานแล้วเหรอ?” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมองเธอ
เซิ่งซินพยักหน้าเบาๆ “เจอหน้ากันทุกวัน ก็คงมีแต่พี่ชายนั่นแหละที่ไม่มีประสบการณ์กับอะไรแบบนี้เลยดูไม่ออก” ถึงเธอจะไม่เคยท้อง เธอผู้หญิงยังไงก็ต้องมีความรู้ด้านนี้มากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว
“ขอบคุณนะที่ช่วยรักษาความลับไว้” ไป๋มู่ชิงเอ่ยอย่างตื้นตันใจ
เซิ่งซินยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “หนูก็แค่ทำเพื่อตัวเอง คุณย่าไม่ชอบคนปากมาก”
ไม่ว่าจะยังไง ไป๋มู่ชิงก็รู้สึกขอบคุณเธออยู่ดี
“พี่สะใภ้นอนลงพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวหนูไปดูคุณย่าหน่อย” เซิ่งซินตบไปที่เตียงเบาๆ “ถือสักว่าเพื่อลูกในท้อง เอาแต่นั่งขดตัวแบบนี้ไม่ได้หรอก”
พอได้ยินว่าทำเพื่อลูกไป๋มู่ชิงก็ขยับตัวไปนอนลงพร้อมพูดกับเซิ่งซินว่า “ช่วยล็อกประตูห้องให้ด้วยนะ”
“ได้ค่ะ” เซิ่งซินพยักหน้ารับแล้วตอนออกไปก็ล็อกประตูให้จริงๆ
ตึงเครียดมาทั้งคืนไป๋มู่ชิงล้ามากแล้วเธอแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มจากนั้นก็นอนหลับไป
เพิ่งหลับได้ไม่นาน เธอก็ฝันร้ายเหมือนมีงูเห่าล้อมรอบเธอไว้ จนเธอนอนหลับไม่สนิทยิ่งไปกว่าเดิม
ก็ยังคงเป็นฝันร้ายนั้น หนานกงเฉินบีบคอเธอไว้แล้วขู่ให้เธอทำแท้ง แต่ครั้งนี้เธอกลับเลือกที่จะกระโดดลงตึกไป ด้วยสายตาที่เลือดเย็นของหนานกงเฉิน เธอกับลูกกระโดดออกไปนอกหน้าต่างซึ่งล้อมรอบไปด้วยหมอกสีขาวที่กำลังจะไปเธอไปยังอีกโลกหนึ่ง
จากนั้นเธอก็สะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา
นอกหน้าต่างเริ่มมีแสงสว่างส่องเข้ามา เช้าแล้วหนิ
สายตาของไป๋มู่ชิงมองไปที่เงาที่ยืนอยู่หน้าหน้าต่าง ถึงจะมีแสงริบหรี่แต่เธอรู้ว่าเป็นหนานกงเฉินนั่นเอง
แว็บแรกที่เห็นเขาเธอก็ขดตัวขยับถอยให้ไกลเขาให้มากที่สุด
“คุณ……อยู่ที่นี่ได้ยังไง?” เธอมองไปที่สายตาที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายของเขา
หนานกงเฉินเห็นท่าทางที่ตื่นตระหนกของเธอ หลังจากที่เขาได้สงบสติอารมณ์เขาก็ควบคุมตัวเองได้แล้ว แต่ใบหน้าก็ยังเยือกเย็นจนคนอื่นเกรงกลัว
เขาปล่อยมือที่กอดอกลงแล้วเดินตรงมาที่เตียงพักฟื้นของไป๋มู่ชิงพร้อมจ้องเธอ “คุณอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าแม่ผมเสียชีวิตยังไง?”
ไป๋มู่ชิงอึ้งนิ่งไป ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยคำถามนี้ขึ้นมา
เกี่ยวกับพ่อแม่เขา เธอเคยถามเขาแต่เขาเอาแต่หลบหลีกประเด็นนี้ เธอถึงเข้าใจว่าการเสียชีวิตของพ่อแม่เขาเป็นจุดอ่อนในใจเขา เธอไม่ควรที่จะไปกระทบแผลนั้น ตั้งแต่นั้นมาเธอเลยไม่ถามถึงพ่อแม่เขาอีกถึงเธอจะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม
หนานกงเฉินเห็นว่าเธอไม่ตอบเลยพูดต่อว่า “ผมเกิดมาก็ได้เข้าตู้อบ อยู่อย่างนั้นมาเกือบสองเดือนถึงได้ออกมา ผมเพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนก็ต้องกินยาทุกวัน ฉีดยาทุกวันจนไม่เหลือภูมิต้านทานอะไรเลย เป็นแบบนี้จนผมขึ้นประถมก็ยังไม่ดีขึ้น พ่อแม่ผมพาไปหาหมอรักษาทั่วโลกแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นอะไร คุณย่าก็ไปหาหมอดูมาสุดท้ายก็ได้คำตอบว่าผมถูกคำสาปจากผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อชาติก่อน อยากลบล้างคำสาปนี้ก็ต้องหาผู้หญิงที่เป็นคู่ครองให้เจอ ไม่อย่างนั้นคำสาปนี้ก็จะติดตัวลูกหลานสืบทอดไปอีก ที่จริงผมก็ไม่เชื่ออะไรพวกนี้หรอก แต่เมื่อผมเจอคนคนหนึ่ง……ผมไม่เชื่อไม่ได้”
เสียงของเขาอ่อนลงแฝงด้วยความเศร้าหมอง”เมื่อแม่ของผมได้ยินว่าผมจะมีชีวิตไม่รอดอายุสามสิบ เดิมที่ท่านเครียดอยู่แล้วจนเป็นโรคซึมเศร้าสุดท้ายก็ฆ่าตัวตาย พ่อผมก็เสียใจมากจนสติหลุดเหยียบคันเร่งแทนเบรคแล้วก็เสียชีวิตไป”
“เพื่อที่จะรักษาผม คุณย่าก็ช่วยผมตามหาผู้หญิงคนนั้น เพื่อที่ผมจะได้มีเพื่อนแกเลยรับเซิ่งเคอมาอยู่ด้วย ทำให้เขาแยกจากพ่อแม่แต่เด็ก” หนานกงเฉินหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วเอาแต่จ้องเธอ “เธอเข้าใจหรือยัง? ทุกคนมีผมเป็นศูนย์กลางจนพวกเขาต้องสูญเสียกันหมด ถ้าผมไม่เกิดมา พ่อแม่ผมก็จะไม่ตาย ผมก็ไม่ต้องทุกข์ทรมานเจ็บปวดตอนที่โรคมันกำเริบ”
ไป๋มู่ชิงฟังเขาพูดเงียบๆ ในใจก็รู้สึกสงสารกับเสียใจ ดูเหมือนเขาจะยังไม่เปลี่ยนความคิด เขาไม่อยากให้เด็กคนนี้เกิดมา
เธอรู้ถึงความกังวลเขาแล้วก็เข้าใจความคิดเขาด้วย แต่ยังไงเด็กก็มีชีวิตแล้วไม่ใช่เหรอ?
เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหล่อย่างไม่รู้ตัว เธอก็เงียบเหมือนเดิมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไร
สถานการณ์เงียบสงัดไปพักหนึ่งก่อนที่หนานกงเฉินจะมองไปที่เธออีกครั้ง “คุณเคยคิดหรือเปล่า ถ้าวันไหนผมตายไป ในบ้านก็จะเหลือแค่คุณย่า คุณกับผู้คนมากมายที่ต้องหมุนรอบตัวเด็กที่ร่างกายมีปัญหาอีก มองดูเขาทุกข์ทรมานเจ็บปวดอยู่บนเตียง ที่ไม่รู้ว่าเขาจะตายไปหรือเปล่า คุณจะทำใจได้เหรอ? คุณจะดูแลเขาให้โตเป็นผู้ใหญ่ได้เหรอ? คุณจะไม่เป็นโรคซึมเศร้าเหรอ? คุณจะ……”
“หยุดพูดได้แล้ว!” ไป๋มู่ชิงพูดตัดขึ้นอย่างโมโห พร้อมส่ายหน้าพูด “หยุดพูดเถอะ! ขอร้องล่ะ……”
หนานกงเฉินกลับหันไปจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอไว้ “ทำไมล่ะ? แค่ฟังแค่นี้ก็รู้สึกกลัว? ผมสงสัยมากว่าคุณจะเอาความกล้าที่ไหนมาคลอดเด็กคนนี้?” เขากวาดสายตาลงมาที่ท้องของเธอ
ไป๋มู่ชิงก็ยังคงส่ายหน้าไปมาพร้อมร้องไห้ไปด้วย
พอเธอได้ยินในสิ่งที่หนานกงเฉินพูด มันทำให้เธอสับสนว้าวุ่นไปหมด
เธอมีความกล้าที่จะคลอดเด็กคนนี้ ไม่กลัวว่าจะเหนื่อยหรือว่าจะตาย แต่……เธอกลัวเด็กคนนี้จะเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหมือนหนานกงเฉิน
“คุณหญิงคะ เรากลับกันเถอะ” พี่เหอมองเข้าไปในห้องที่ทั้งสองอยู่พร้อมพยุงตัวคุณหญิงไว้
คุณหญิงพยักหน้าตอบรับ ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาแล้วหันหลังเดินจากห้องไป๋มู่ชิงไป
พอกลับมาถึงห้องพักฟื้น พี่เหอก็พยุงตัวคุณหญิงให้เอนลงกับหมอนบนหัวเตียงพร้อมเทน้ำอย่างเป็นห่วง “คุณหญิงไม่ได้นอนทั้งคืน รีบพักผ่อนเถอะค่ะ”
“ฉันนอนไม่หลับ” คุณหญิงยิ้มอย่างขมขื่น ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วหันไปมองพี่เหอ “หรือว่าฉันทำผิดไปจริงๆ? หรือว่าฉันไม่ควรทำให้ยิ่งอันท้อง?”
เมื่อกี้ที่ไปห้องไป๋มู่ชิง แกไม่มีความรู้สึกผิดเลยจนกระทั่งได้ยินสิ่งที่หนานกงเฉินพูดกับไป๋มู่ชิง แกถึงคิดได้
หนานกงเฉินเจ็บปวดแค่ไหนแกรู้ดี แม่ของหนานกงเฉินทุกข์ทรมานแค่ไหนแกรู้ดีแกก็ไม่เคยลืม ตลอดเวลาที่ผ่านมาแกคิดถึงแต่ทายาทที่จะสืบทอดตระกูล ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของหนานกงเฉินกับลูกเลย
“คุณหญิงไม่ผิดหรอกค่ะ” พี่เหอพูดปลอบอย่างอ่อนโยน “คุณควรจะเชื่อมั่นในความคิดที่ว่าเด็กต้องแข็งแรง จะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ คุณชายยังลำบากมากตอนเด็กแต่ก็โตมาได้ขนาดนี้ ร่างกายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้แค่กำเริบเป็นบางครั้งบางคราว ดูเหมือนคนปกติทั่วไป”
คุณหญิงพยักหน้า “ขอให้มันเป็นจริงอย่างนั้น ขอให้เฉินมีชีวิตดีต่อไปด้วยเถอะ”
“แน่นอนค่ะ คุณหญิงวางใจนอนเถอะค่ะ”
อยู่ๆคุณหญิงก็ถามขึ้น “ใช่สิ คุณหวังบอกเธอหรือยังว่าเรื่องที่ให้ไปถามหาคนคืบหน้ายังไงบ้าง?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ พี่เหอก็ไม่รู้จะพูดยังไง “ดิฉันถามเมื่อวานแล้วค่ะ คุณหวังบอกว่าคุณชายไม่ให้ความร่วมมือเลยยังหาไม่เจอค่ะ”
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?” คุณหญิงดูเป็นกังวลใจมาก “เฉินก็จะสามสิบแล้ว ถ้าคำทำนายนั้นเป็นจริง……”
“ไม่หรอกค่ะคุณหญิง”
“ใครจะรู้ล่ะว่าไม่?”
พอพี่เหอคิดไปคิดมาก็ถอนหายใจ “นี่ยังไงก็ต้องให้คุณชายให้ความร่วมมือ แต่ดูเหมือนคุณชายจะไม่อยากหาต่อไปแล้ว”
“ฉันถึงกังวลนี่ไง!”
“คุณหญิงว่าอาจจะเป็นเพราะคุณหญิงน้อยหรือเปล่าคะ?” พี่เหอลังเลแล้วเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนว่าช่วงนี้คุณชายกับคุณหญิงน้อยความรู้สึกพัฒนาขึ้นมาก คุณชายไม่กลับไปอยู่ที่คอนโดแล้วแถมยังกลับบ้านเร็วกว่าแต่ก่อนเยอะเลย”
พอได้ยินพี่เหอพูดอย่างนี้ คุณหญิงก็เริ่มนึกย้อนไปด้วย
แต่ก่อนแกเอาแต่นึกถึงเหลนเลยบังคับให้ทั้งสองใกล้ชิดกัน เลยลืมไปว่าหนานกงเฉินก็อาจจะหลงรักผู้หญิงที่นอกจากคุณหนูจู แกคิดว่านอกจากจูจูแล้วเขาจะไม่สนใจผู้หญิงอื่นอีก
“ฉันวางแผนพลาดอีกแล้ว” คุณหญิงพูดไปถอนหายใจไป
“คุณหญิงอย่าโทษตัวเองสิคะ สถานการณ์แบบนี้คุณหญิงก็ต้องเลือกทายาทก่อนสิคะ”
“สำหรับฉัน เฉินสำคัญกว่า……”คุณหญิงเริ่มแสบจมูก น้ำตาก็เริ่มไหลออกมา แกรับทิชชู่ที่พี่เหอยื่นให้แล้วเอามาเช็ดน้ำตา”ทำไมเฉินไม่นึกถึงตัวเองบ้างล่ะ?”
“คุณหญิงอย่ากังวลไปเลยค่ะ รอให้อารมณ์ของคุณชายดีหน่อยค่อยคุยกับแกใหม่ก็ได้ค่ะ”
คุณหญิงพยักหน้าตอบรับโดยที่ไม่หวังว่ามันจะได้ผลเลย
แกไม่ใช่ไม่เคยคุยกับหนานกงเฉิน แต่ทุกครั้งก็แยกกันอย่างไม่ดีมากนัก อาจจะเป็นเพราะผิดพลาดมาหลายครั้ง เขาเลยไม่หวังอะไรแล้ว
ไป๋มู่ชิงนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลสองวัน ร่างกายก็ดีขึ้นมากแล้ว
แต่อารมณ์ไม่ดีขึ้นเลยยังตึงเหมือนเดิม
จำได้ว่าเมื่อวานตอนเช้าก่อนที่หนานกงเฉินจะเดินออกจากห้องพักฟื้นเธอ ทิ้งคำพูดให้เธอว่าให้เวลาเธอคิดสองวัน คิดพิจารณาดีแล้วค่อยมาบอกเขา
จากนั้นเขาก็เดินออกไปแล้วไม่มาให้เห็นหน้าเลย
หนานกงเฉินอยากให้เธอยอมแพ้กับเรื่องลูก แล้วคิดว่าเธอต้องยอมแน่ๆ สองวันนี้มาเธอยิ่งกดดันตัวเอง ไม่เคยทุกข์ทรมานขนาดนี้มาก่อน
20นาทีผ่านไป หนานกงเฉินเดินเข้ามา
เดินมายืนตรงหน้าเธอแล้วจ้องเธอพร้อมถามด้วยน้ำเสียงปกติ “ได้คำตอบหรือยัง?”
ไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ข้างเตียงเหมือนกำลังรอเขาอยู่ เธอมองไปที่เขาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนเขา “หนานกงเฉิน เราหย่ากันเถอะ”
ใช่ นี่คือคำตอบที่ได้จากการคิดพิจารณาสองวันนี้ของเธอ
สีหน้าของหนานกงเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ปกติอีกต่อไปแล้วถามอย่างเย็นชาว่า “คุณพูดว่าอะไรนะ?”
“ฉันบอกว่าฉันอยากหย่า” ไป๋มู่ชิงย้ำอีกรอบ
ถึงแม้แต่ก่อนเธอยังเหลือเยื่อใยกับเขา แต่เมื่อรู้ว่าเขาเป็นคนที่ทำให้คุณย่าเธอตาย เธอเลยไม่มีความคิดนั่นอีก เธอจะอยู่ร่วมกับฆาตกรไม่ได้ ไม่งั้นคุณย่าบนฟ้าคงไม่ให้อภัยเธอแน่
แต่กับลูก ไม่ว่าจะแข็งแรงหรือไม่เธอก็จะเก็บไว้ ไม่ว่าอีกหน่อยจะต้องเสียเวลาเสียแรงแค่ไหนเธอก็ยอม แค่ตอนนี้จะไม่ยอมทำแท้งแน่ๆ
หนานกงเฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันพูดออกมาว่า “ได้ ถ้าคุณทำแท้ง ผมจะหย่ากับคุณทันที”
ไป๋มู่ชิงอึ้งนิ่งไป เขาจะให้เธอทำแท้งถึงจะยอมหย่า? จำเป็นต้องใจดำขนาดนี้เลยเหรอ?
“ฉันไม่มีวันทำแท้ง” เธอเอ่ย
“คุณต้องทำ” หนานกงเฉินพูดอย่างเยือกเย็น
“หนานกงเฉิน! คุณจะบังคับฉันแบบนี้เหรอ?” ไป๋มู่ชิงเริ่มโมโห แล้วลุกขึ้นยืนจ้องเขา “ถ้าคุณไม่อยากได้ลูกคุณก็ไม่ต้องรับไว้ ฉันจะคลอดแล้วเลี้ยงเขาเอง คุณคิดตลอดไม่ใช่เหรอว่าฉันจะใช้ลูกมาแย่งสมบัติตระกูลหนานกง? ตอนนี้ฉันเลยตัดสินใจจะหย่ากับคุณ สมบัติตระกูลหนานกงฉันไม่เอาสักบาท ฉันแค่จะให้ลูกคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ทำไมคุณยังไม่ปล่อยฉันไปอีก? ทำไมต้องบีบบังคับฉันด้วย?”
“เพราะนี่ก็เป็นลูกฉันเหมือนกัน ผมมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ!”
“ตัดสินใจ? การตัดสินใจของคุณก็คือการฆ่าลูก คุณเอาแต่พูดว่าไม่อยากให้ลูกเกิดมาทุกข์ทรมาน แต่คุณเคยคิดบ้างมั้ยว่าลูกอาจจะไม่มีโรคก็ได้ ลูกอาจจะอยากออกมาลืมตาดูโลกก็ได้? ทำไมคุณถึงเห็นแก่ตัวขนาดนี้ เพื่อที่คุณจะได้อยู่รอดแต่ต้องฆ่าลูกงั้นเหรอ? คุณ……”
“พอแล้ว!” หนานกงเฉินพูดตัดเธอ “ผมจะพูดอีกรอบ ถ้าคุณจะหย่าคุณต้องทำแท้งก่อน ถึงแม้จะไม่อยากหย่ายังไงก็ต้องทำแท้ง นี่เป็นทางเลือกของคุณ!”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset