บทที่ 107 ใครให้ความกล้ากับเธอ
กลางคืนเวลาประมาณสองทุ่ม พอได้ยินเสียงกริ่งประตู ซูย้าวก็รีบลงมาจากตึกไปดู
ที่ห้องรับแขก อานโล๋กำลังอุ้มเจิ้งเอ๋อดูโทรทัศน์อยู่ พอเจ้าตัวเล็กเห็นแม่ลงมา ก็รีบร้อนยกมือน้อย ๆ ทั้งสองข้างขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าอยากอุ้ม
ซูย้าวรีบร้อนจะไปเปิดประตู จึงทำได้เพียงยิ้มแล้วก็ส่ายหน้าให้ลูกชาย จากนั้นก็เดินอ้อมโซฟาไป แล้วก็ตรงไปดูที่ทางเข้า
พอประตูเปิดออก ซูย้าวก็ตกตะลึงไปเลย
ในตอนแรกนึกว่าจะเป็นหลินโม่ป่าย แต่ว่าในตอนนี้วินาทีนี้คนที่ยืนอยู่นอกประตู กลับเป็นลี่เฉินซีไปได้
บนใบหน้าที่หล่อเหลามีความเยือกเย็นกระจายอยู่ทั่วทั้งหน้า ร่างกายที่เย็นยะเยือกและสง่างามสวมใส่ชุดสูทสีน้ำเงินไว้ทั้งตัว ตัดเย็บได้เข้ารูป รีดได้เรียบเนียนจนไม่มีรอยยับปรากฏออกมาแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลยราวกับตัวเขาเองยังไงอย่างงั้น
ทั้งตัวตั้งแต่บนลงล่างปกคลุมไปด้วยความหนาวเย็นจาง ๆ และหลอมรวมเข้ากับความมืดรอบข้าง ดวงตาที่สว่างสดใสจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอยู่อย่างกะพริบไม่กะพริบ และดูไร้ปฏิกิริยาใด ๆ
“เห็นฉันแล้วตกใจมากเหรอ? เธอนึกว่าเป็นใครล่ะ?” น้ำเสียงที่เย็นเรียบของลี่เฉินซีเปิดปากพูดขึ้น ในน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความรู้ทั้งรู้แล้วยังถามอีกเล็กน้อย ซูย้าวสบเข้ากับสายตาของเขา ดวงตาคู่สวยเคลื่อนไหวขึ้นเบา ๆ
สิ่งที่เธอถนัดที่สุด นอกจากการวิเคราะห์และดำเนินการด้านการเงินในรูปแบบต่าง ๆ แล้ว ยังมีอีกอย่างหนึ่งคือ การวิเคราะห์ทางจิตวิทยา
ไม่ว่าจะเป็นการพูดโกหก พูดความจริง ความลับที่แอบซ่อน ความในใจที่ซ่อนไว้ เธอก็สามารถรับรู้ได้ผ่านปฏิกิริยาอันน้อยนิดของผู้คนได้อย่างชัดเจนดี
และในวินาทีนี้ จากสายตาของเขา เธอสามารถมองออกความพึงพอใจเสี้ยวหนึ่ง
ความรู้สึกแบบนั้น เหมือนกับว่าเป็นความดีใจและได้ใจหลังจากที่ได้ทำ‘เรื่องชั่ว’แล้ว เพราะฉะนั้น วินาทีต่อมาซูย้าวก็คิดไปถึง หลินโม่ป่ายคงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า?!
พอคิดได้อย่างนี้ เธอก็ปิดประตูลงทันที แล้วหมุนตัวอยากจะไปเอาโทรศัพท์
ลี่เฉินซียังไม่ทันได้ก้าวขา ที่ทางเข้าก็ดัง‘ปัง’ทีหนึ่งและประตูก็ปิดลงเลย
วินาทีนั้น บนใบหน้าหล่อเหลาปกคลุมไปด้วยเมฆดำ และหมอกครึ้มกระจายไปทั่ว
ซูย้าวใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดกลับมาถึงห้องรับแขก แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ถึงได้เห็นข้อความที่หลินโม่ป่ายส่งมาเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาได้รับหน้าที่ของโรงพยาบาลกะทันหัน จะต้องไปดูงานที่อิหร่าน
ใจที่แกว่งอยู่ดวงหนึ่ง ถือได้ว่าวางลงสักที
ไม่งั้น จากนิสัยและการกระทำของลี่เฉินซีแล้วนั้น เธอกลัวว่าเขาจะทำ……การกระทำที่มันเกินขอบเขตออกมาจริง ๆ
พอวางโทรศัพท์ลง แล้วหมุนตัวกลับไป พอพบว่าผู้ชายที่เป็นราวกับภูเขาน้ำแข็งไม่ได้ตามเข้ามาด้วย แล้วถึงจะเพิ่งนึกถึงการกระทำของตัวเองเมื่อกี้ขึ้นมา แล้วก็รีบร้อนไปถึงที่ทางเข้าอีกครั้ง แล้วเปิดประตูออก ลี่เฉินซียังไม่ได้จากไป
เพียงแต่แค่เอียงตัวพิงขอบประตูข้างหนึ่งไว้ และจุดบุหรี่ไว้ม้วนหนึ่ง นิ้วมือเรียวยาวราวกับหยกคีบเอาไว้ ประกายไฟเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวดับ แล้วอยู่ท่ามกลางค่ำคืนที่ค่อนข้างเย็น ดูงดงามราวกับภาพวาด
ซูย้าวเปิดประตูออก และเปลี่ยนรองเท้าแล้วก้าวเดินออกไป
ได้พักผ่อนเย็นสบายกับเขาท่ามกลางค่ำคืนที่มืดนั้น ในใจมีความซับซ้อนอยู่อย่างหนึ่ง แล้วคอยวิ่งวนอยู่อย่างไร้สุ้มเสียง
เมื่อก่อนไม่ว่าจะเวลาไหน เธอในตอนที่อายุยังน้อยอยู่ แม้แต่เงยหน้าขึ้นมามองเขามากขึ้นหน่อยก็ไม่กล้า การแอบชอบเล็ก ๆ ได้แต่แอบซ่อนเอาไว้อยู่ในใจ
เธอชอบเขา
ยิ่งรักเขามากกว่า รักมาสิบกว่าปี
แอบเฝ้าติดตามเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา ราศี กรุปเลือด ของที่ชอบ ไอดอลที่ชื่นชอบ และคติประจำใจ……
อย่างกับความชื่นชอบที่กลุ่มคลั่งไคล้ศิลปินมีต่อไอดอล มันจะมีเรื่องที่ไร้ขอบเขตบางอย่าง แต่ว่าสำหรับจิตใจที่อายุยังน้อยของเธอนั้น กลับเป็นสิ่งที่สวยงาม
มีคนพูดว่า จงอย่ารักใครตอนที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดตลอดกาล รักคนคนหนึ่ง เพราะว่าเป็นการเริ่มต้นของความรู้สึก คนคนนั้นจะกลายเป็นคนที่คุณรักที่สุด พอไม่ได้ครอบครอง ก็จะลืมไม่ลง
แล้วต้องคอยแอบซ่อนเอาไว้ในในใจ ผ่านพ้นไปอย่างยากลำบาก และตัดใจได้ยาก
แต่ตอนที่ซูย้าวตกหลุมรักเขานั้น ยังเป็นแค่เด็กแปดเก้าขวบคนหนึ่งเอง เมื่อเทียบกันแล้ว ความรู้สึกนี้ เธอจะมีทางลืมลงได้ยังไง จะทนตัดใจทิ้งได้ยังไง ……
ซูย้าวที่ตกไปสู่ความคิดของตัวเองทั้งสิ้น จึงไม่ได้สังเกตถึงชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเลยสักนิด แล้วการที่อยู่ ๆ ลี่เฉินซีก็ออกเสียง ก็ทำให้เธอตกใจจนสะดุ้งเลยจริง ๆ
“บ้านหลังนี้เธอเป็นคนซื้อเหรอ?” น้ำเสียงที่ขรึมต่ำ คำพูดก็เย็นชาเช่นเดิม
ซูย้าวพยักหน้า แล้วเก็บความคิดที่ว้าวุ่นเข้ามา สายตามองไปที่ขอบฟ้า ดวงตาโตที่แวววาวเต็มไปด้วยความผิดหวังที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน
“ทางด้านบริษัทซูซื่อ มีแผนการว่ายังไงบ้าง?” เขาเปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงยังคงขรึมเย็นเหมือนเก่า
เธอส่ายหน้า ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไรมาก สถานการณ์ของบริษัทซูซื่อ ไม่ว่าจะดีหรือว่าร้าย ก็ยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะต้องไปเก็บความเละเทะให้ ตอนนี้ทำได้แค่ปล่อยทิ้งไว้ก่อน
แวว ตาของลี่เฉินซีขรึมลง “ได้ยินมาว่าเธอรับแม่กลับมาแล้ว และอยู่ด้วยกันเหรอ?”
ซูย้าวเงยหน้าขึ้นมา แล้วสบเข้ากับสายตาที่ดำราวกับหมึกของเขา แล้วก็พยักหน้าลง
“เจิ้งเอ๋อล่ะ?” เขาถามขึ้นอีก
เธอเคลื่อนสายตาไปทางลิฟต์ของอพาท์เม้นท์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าลูกอยู่ข้างใน
“ที่นี่เงื่อนไขถือได้ว่าพอใช้ได้ การเดินทางก็ถือว่าพอสะดวก เพียงแต่ว่าให้เจิ้งเอ๋ออยู่ที่นี่ คงจะต้องลำบากแล้ว!” ลี่เฉินซีจ้องมองรอบด้าน แล้วพูดความในใจออกมา
ซูย้าวกระตุกริมฝีปากล่างออกอย่างไม่รู้ตัว สำหรับบุตรแห่งสวรรค์ ที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดมาพูดแล้วนั้น อพาร์ทเม้นท์สองชั้นที่ระดับสูงแบบนี้ ก็ไม่เข้าตาทั้งนั้น เหมือนอย่างกับที่อยู่อาศัยของคนทั่วไป แต่ว่าสำหรับเธอมาพูดแล้วนั้น ขอแค่มีคนในครอบครัวอยู่ด้วย ก็คือสวรรค์แล้ว
ดวงตาเย็นชาของเขาจับโดนรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งบนใบหน้าของเธอ ปฏิเสธไม่ได้ว่าแฝงไว้ด้วยความขบขำอยู่เล็กน้อย แล้วสายตาก็หรี่ขึ้นเล็กน้อย “เธอรู้สึกว่าที่นี่ดีมากเลยเหรอ?”
ซูย้าวรีบพยักหน้าขึ้นโดยเร็ว อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าซื้อบ้านอาจจะทุลักทุเลไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ตั้ง หรือว่าคุณภาพ รวมทั้งสไตล์การตกแต่งของบ้าน ก็ล้วนพึงพอใจอย่างมาก เธอรู้สึกว่าคุณภาพสินค้าเกินราคามากแล้ว
ลี่เฉินซีกลับยิ้มขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาที่เย็นชามีรอยยิ้มจาง ๆ อยู่ เต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้งที่ไม่ชัดเจน
ในตอนวินาทีที่รอยยิ้มหายไปนั้น คำพูดอีกคำหนึ่งของเขาก็พูดออกจากปากแล้ว “ทำไมถึงได้พาลูกออกมา?”
ซูย้าวเคยคิดแล้วว่าเขาจะต้องถาม และเคยคิดว่าอาจจะอยู่ในช่วงเวลาในช่วงเวลาหนึ่ง ที่อยู่ ๆ เขาก็มาถึง และมาสอบถามตัวเอง
เพียงแต่ว่าไม่เคยคิดว่า ทั้งสองคนก็จะเป็นเหมือนกับเมื่อกี้ ที่พูดคุยกันอย่างราบเรียบและเป็นธรรมชาติ อย่างกับเพื่อนเก่าที่รู้จัก
กันมาหลายสิบปี
เธอหรี่ดวงตาลง ขนตาที่ยาว ๆ บดบังความซับซ้อนในดวงตาไว้
แล้วอยู่ ๆ เขาก็ยื่นมือมาเชยคางของเธอขึ้น จับหน้าเธอเงยขึ้น แล้วบังคับให้ซูย้าวสบตากับตัวเอง “พูดไม่ได้ ก็ใช้ภาษามือ ทำไมถึงได้พาลูกออกมา?”
ซูย้าวจ้องมองเขา หัวคิ้วก็ขมวดขึ้น
แล้วก็เอามือของเขาออกอย่างไม่ชอบใจ เธอยังคงไม่มีความอยากจะอธิบายอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ถอยหลังไปหลายก้าว ในแววตาสิ่งที่เยอะยิ่งกว่าคือ ความผิดหวัง ความไม่พอใจ และแม้กระทั่งความโกรธเคือง
เธอไม่มีทางลืมได้ลงตลอดไป ว่าตัวเองอุ้มลูกไปที่บริษัทของเขา และรอเขาไปทั้งวัน แล้วสิ่งที่ได้เห็นก็คือภาพที่เขากับหานฉ่ายหลิงเดินเคียงคู่กันไป
และก็ยังมีความมานะบากบั่นของหลายวันมานี้ ยอมทำให้เสียเวลาของโครงการCCUที่ได้มาอย่างยากเย็นไป แต่ก็ยังจะไปแบ่งเบาเพื่อบริษัทHSอีก ลี่เฉินซีนะลี่เฉินซี แล้วยังจะยืนยันว่าคุณไม่รักหานฉ่ายหลิงยังไงอีก?
เธอเอาแต่ยึกยักไม่ยอมหยุดจนทำให้เขาหมดความอดทนแล้ว ลี่เฉินซีเดินหน้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว แล้วคว้าทีหนึ่งก็จับข้อมือเล็กของซูย้าวไว้ แล้วใช้แรงกระชากทีหนึ่ง ก็ดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง และจับคางที่แหลมของเธอไว้ แล้วพูดขึ้นเสียงเย็นว่า “ซูย้าว ใครให้ความกล้ากับเธอ ถึงได้อุ้มลูกชายของฉัน แล้วก็ออกมาจากบ้านของฉันเลยเหรอ? หืม?”
นั่นก็เป็นลูกของเธอด้วยเหมือนกันนะ!
ไม่อยากจะโต้เถียงกับเขา ซูย้าวเพียงแต่แค่ใช้แรงขัดขืนอยู่เท่านั้น และอยากจะหลบหนีจากการกักขังของเขา แต่กลับไม่มีทางขยับเขยื้อนเลย
แล้วสิ่งที่มาแทนที่ กลับยังโดนเขากดตัวไว้กับต้นไม้ใหญ่ในสวนอีกตามแรงของเขา ลี่เฉินซีหายใจหอบอย่างหงุดหงิด สีหน้าได้เย็นชาจนกลายน้ำแข็งไปตั้งนานแล้ว ค่อย ๆ เอียงหัวมาเล็กน้อย และโน้มตัวอยู่ข้างหูของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขรึมต่ำว่า “เธอกลัวว่า……ฉันจะหย่ากับเธอใช่ไหม?”