บทที่ 207 อย่าให้พวกเขาได้เจอกัน
หลังจากผ่านขั้นตอนการสื่อสารที่สลับซับซ้อนแล้ว ในท้ายที่สุดซัวฉ่ายลี่ก็ถูกนำตัวมาที่โรงพยาบาล
เพราะว่าเธอเองก็มีความต้องการที่จะพบอานโล๋สักครั้ง
ตำรวจเฝ้าอยู่นอกห้องผู้ป่วย กุญแจมือของซัวฉ่ายลี่ไม่สามารถไขออกได้
อานโล๋ก็ฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว สภาพตอนนี้ดูดีกว่าก่อนหน้านั้นมาก และไม่จำเป็นต้องใช้หน้ากากออกซิเจนช่วย ทำให้ซูย้าวถึงกับเบาใจลงไปไม่น้อย
ซัวฉ่ายลี่ต้องการที่จะคุยกับอานโล๋เป็นการส่วนตัว และรับปากว่าจะไม่ทำร้ายเธอ อานโล๋ก็ต้องการเช่นนั้นเช่นกัน ซูย้าวไม่อยากจะขัดใจคุณแม่ ถึงได้ตามหลินโม่ป่ายออกไป
ทั้งคู่ทานอาหารอยู่ด้านล่างตึก ทานได้เพียงครึ่ง หลินโม่ป่ายก็ได้รับโทรศัพท์และต้องรีบไปทำการผ่าตัดฉุกเฉินทันที จึงได้ขอตัวไปก่อน
ซูย้าวทานคนเดียวก็รู้สึกทานไม่อร่อย จึงได้จ่ายเงินแล้วก็กลับไปที่โรงพยาบาล
กำลังมาถึงหน้าประตูห้องผู้ป่วย ซูย้าวเหมือนจะได้ยินคำสนทนาที่อยู่ด้านใน เสียงบางเบา ไม่สูงไม่ต่ำเกินไป ทำให้เธอที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยินได้อย่างชัดเจน
ตำรวจมองเธอแล้วพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านั้นนางพยาบาลได้มาหยอดน้ำเกลือและทำความสะอาดแผลให้กับอานโล๋ ดังนั้นจึงทำให้การสนทนาของพวกเขาถูกขัดจังหวะไป”
ตำรวจกล่าวต่ออีกว่า “คุณเป็นญาติผู้ป่วย ถ้าหากอยากจะยืนอยู่ที่นี่ พวกเราก็จะไม่ห้าม”
ซูย้าวทำท่าขอบคุณ
“อานโล๋ ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉัน เพราะว่าฉันทำให้ป๋อลอนตาย และทำให้ซูย้าวเป็นใบ้ และหลายปีมานี้ก็เป็นฉันที่กักขังหน่วงเหนี่ยวเธอ เธอโกรธฉันมันก็เป็นเรื่องสมควร สมควรที่สุด…..”
เป็นน้ำเสียงของซัวฉ่ายลี่
ซูย้าวยืนอยู่ข้างๆประตู เธอไม่ใช่คนที่ชอบแอบฟัง และยิ่งไม่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ทว่าในเวลานี้ร่างกายของอานโล๋อ่อนแอ ถ้าหากว่าซัวฉ่ายลี่เกิดทำอะไรขึ้นมา เธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะดี
“พวกเราเป็นเพื่อนสมัยเรียนด้วยกัน ตั้งแต่มัธยมต้นยันมัธยมปลายยันไปถึงมหาวิทยาลัย ตอนนั้นพวกเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้กลับกลายเป็นเช่นนี้”
ซัวฉ่ายลี่เหมือนกำลังคุยกับตัวเอง น้ำเสียงของอานโล๋ที่อ่อนกำลัง จนคนที่อยู่ด้านนอกแทบจะไม่ได้ยิน
ฉันยอมรับ ว่าทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน ตอนนั้นที่เธอคบอยู่กับซูป๋อลอน ฉันก็ชอบเขาเข้าแล้ว เขาเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมขนาดนั้น ก็เหมาะสมที่จะคู่ควรกับตระกูลซัวของฉัน ผู้หญิงที่เขาควรจะแต่งงานด้วยก็ควรจะเป็นฉันต่างหาก! ทำไมเขาต้องชอบเธอด้วย”
เห็นได้ชัดว่าเป็นความเกลียดชังที่ฝังลึก และเป็นคำพูดที่รุนแรง แต่ทว่าน้ำเสียงของซัวฉ่ายลี่กลับเรียบสงบ สงบจนราวกับว่ากำลังพูดพึมพำกับตัวเอง
“อานโล๋ เธออย่ามองฉันแบบนี้ เธอมองฉันแบบนี้ทำให้ฉันรู้สึกผิด เมื่อยิ่งรู้สึกผิด ก็ยิ่งทำให้ฉันอยากฆ่าเธอและลูกสาวเธอให้ตาย!”
น้ำเสียงของซัวฉ่ายลี่สั่นเครือเล็กน้อย อาจเป็นเพราะหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต ภาพความจำต่างๆที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้า เรื่องราวต่างๆยังคงติดตาติดใจ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว
“ตอนนั้นฉันอุตส่าห์ได้แต่งงานกับป๋อลอนแล้ว คืนเข้าหอแท้ๆเขากลับบอกว่าฉันเป็นผู้หญิงชั่วช้า ใช้วิธีสกปรกเพื่อได้แต่งงาน! ฉันก็รักเขาเช่นกัน ทำไมต้องพูดเช่นนี้กับฉันด้วย”
ซัวฉ่ายลี่ทอดถอนใจ มองไปทางผู้หญิงที่อ่อนแอที่นอนอยู่บนเตียง แล้วก็ยิ้มอย่างเย็นชา “เธอก็รู้ ว่าหนวนหนวนความจริงแล้วยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉัน อายุไม่ถึงสามขวบต้องมาลาจากไป วันที่เขาเสียชีวิตคือวันที่เธอกำลังให้กำเนิดซูย้าว ซูป๋อลอนเพื่อเธอแล้วไม่สนใจแม้กระทั่งลูกชายของตัวเอง!”
“ฉันต้องทนเห็นลูกชายนอนอยู่บนเตียงอย่างทุกข์ทรมาน เจ็บปวดจนดึงมือของฉันแล้วเรียกอย่างซ้ำๆ ‘แม่ หนูเจ็บ ช่วยๆหนูด้วย……’ เธอรู้ไหมความรู้สึกของฉันไหม”
“ฉันอุ้มลูกชายและนั่งอย่างนั้นทั้งคืนท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย ฉันร้องไห้ถามสวรรค์ว่าทำไมถึงไม่ฆ่าฉันให้ตายไปเลย ทำไมต้องพรากลูกชายของฉัน ทำไม๊! ฉันนั่งรอจนกว่าป๋อลอนกลับมา แต่เมื่อเขากลับมาแล้ว ประโยคแรกที่เขากลับพูดออกมานั้น ——หย่ากันเถอะ! อานโล๋คลอดลูกสาวให้ผม
ซัวฉ่ายลี่ร้องไห้ เมื่อนึกถึงลูกชายที่จากไป นึกถึงเรื่องราวทั้งหมดในตอนนั้น ร้องไห้น้ำตาไหลไม่หยุดหย่อน “ ช่างแดกดันมาก ฉันเพิ่งจะเสียลูกชายไป แต่เธอกลับได้ลูกสาว”
“เขารับลูกสาวของเธอกลับมาอยู่ที่บ้าน ให้ความรักความเอ็นดูราวกับไข่ในหิน แต่สำหรับลูกชายของฉัน เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาแท้ๆ เขากลับเย็นชาดุจน้ำแข็ง!”
“หยวนๆไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาก็จริง แต่ว่าลูกชายของฉันเป็นลูกแท้ๆของเขานะ ทำไมเขาต้องทำกับฉันแบบนี้ !”
ด้านนอกประตู ดวงตาของซูย้าวที่สงบนิ่งมาตลอดประกายแสงแห่งความตกใจ เขาถอยหลังสองสามก้าว สีหน้าเปลี่ยนไปฉับพลัน
รู้แต่เพียงว่าระหว่างคุณแม่กับซัวฉ่ายลี่ นั้นมีความแค้นต่อกันมานาน แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่า แท้ที่จริงแล้วยังมีเรื่องราวเกิดขึ้นอีกมากมายเช่นนี้……
เกิดความเงียบอยู่ครู่หนึ่งในห้อง สักพัก เสียงของซัวฉ่ายลี่ก็โมโหดังขึ้น
“อานโล๋ฉันทำลายชีวิตเธอทั้งชีวิต เธอก็ทำร้ายฉันทั้งชีวิต ไม่ว่าจะเธอจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ลูกชายของฉันต้องมาด่วนจากไปก็เพราะเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เพราะลูกสาวของเธอ บางทีลูกชายของฉันอาจจะยังไม่ตายก็ได้!”
ซัวฉ่ายลี่เช็ดน้ำตาตัวเอง เมื่อคิดถึงลูกชายที่จากไป จิตใจก็ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวจนไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้อีก “ฉันเกลียดเธอ แล้วยิ่งเกลียดลูกสาวของเธอ ไม่สามารถฆ่าลูกสาวของเธอ คือความเสียใจที่สุดในชีวิตของฉัน!”
อันที่จริง เธอเองก็เข้าใจดี
ทั้งสามคนตกอยู่ในสภาพที่ความแค้นฝังลึกเข้าไปในจิตใจมาตลอดทั้งชีวิต เพราะเกิดจากคนใดคนหนึ่งไม่ยอมปล่อยมือ
ถ้าหากซัวฉ่ายลี่ยอมปล่อยมือตั้งแต่แรก ยอมให้ซูป๋อลอนกับอานโล๋อยู่ด้วยกัน บางทีเธอก็อาจจะไม่เป็นแบบนี้ และครอบครัวของพวกเขาทั้งสามคนก็คงจะมีความสุข
เมื่อความดึงดันฝังลึกจนเกินไป อยากจะปล่อยมือ คงจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น
ที่ระเบียงทางเดิน แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างบานเล็ก แต่ทว่าบริเวณที่ถูกแสงแดดสาดส่องนั้นกลับไม่สามารถให้แสงสว่างแก่ดวงตาของซูย้าวที่มืดมนได้
“ซูย้าว”
ด้านหลังมีเสียงของหลินโม่ป่ายดังขึ้น เขากุมมือของเธอ “ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ”
เห็นว่าสีหน้าของเธอไม่ค่อยสู้ดี เขาที่เพิ่งจะทำการผ่าตัดเสร็จ แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่ทันได้เปลี่ยนก็รีบมาหาเธอทันที
ซูย้าวส่ายหน้า และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเงียบ ไม่พูดไม่จา
หลินโม่ป่ายมองออกว่าสภาพของเธอไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
สายตาของชายหนุ่มจ้องมองอยู่ที่เธอ แววตาที่อบอุ่นที่ไม่สามารถเดาอารมณ์ได้ เดินก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ทำให้ช่วงระยะห่างของทั้งคู่ใกล้ชิดกันขึ้น ท่อนแขนที่เรียวยาวดึงเธอเข้ามากอดอยู่ในทรวงอกของเขา
“ซูย้าว ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
บนใบหน้าของหลินโม่ป่ายเผยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาราวกับเด็ก “ไม่เป็นไร ผมก็แค่อยากจะกอดคุณไว้”
ซูย้าวก็ดูเหมือนกับรับรู้อะไรบางอย่าง จึงไม่พูดไม่จา แล้วอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างเงียบๆ
โดยที่ไม่รู้ว่าด้านหลังที่ไม่ไกลจากไปนั้น ลี่เฉินซีได้หยุดชะงักเท้าก้าวเดินขึ้น แววตาเศร้าหมองจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวที่กอดกันกลมเกลียวด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ตอนที่คดีของซัวฉ่ายลี่บริษัทซูซื่อถูกเปิดโปงนั้น เขาก็อยู่ในที่ชั้นศาลมองดูคำให้การของเธอ
ในที่สุดเธอก็ยอมรับเรื่องจริงที่ว่าสิบกว่าปีก่อนเธอถูกทำร้ายจนเป็นใบ้จริงๆ
มองดูเธอใช้ภาษามือเล่าเรื่องราวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ใบหน้าที่หล่อเหลาและเย็นชาของลี่เฉินซีได้ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย
“เดิมทีเขาอยากจะมาพบเธอ เมื่อคดีความสิ้นสุดลง และคดีถูกตัดสินเรียบร้อย แต่ทว่ากลับมีสายโทรศัพท์เข้ามาเสียก่อน
เป็นคุณหมอที่โทรเข้ามา
อาการป่วยของหานฉ่ายหลิงกำเริบ สถานการณ์ไม่ค่อยจะสู้ดี
เมื่อวางโทรศัพท์ลง เขาก็ชำเลืองไปมองเธอแวบหนึ่งอย่างลึกซึ้ง และแล้วเขาก็หันหลังจากไป
ตอนนี้ เขาปลีกตัวมาหา แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากลับเป็นภาพเธอกอดกันเกลียวกับชายหนุ่มคนอื่น
ดูแล้ว ในโลกของเธอเหมือนจะไม่ต้องการเขาอีกต่อไปแล้ว ใช่ไหม
ลี่เฉินซียิ้มเศร้า แล้วก็เดินจากไป
ด้านล่างตึก หานฉ่ายหลิงนั่งอยู่ในรถคันสีดำที่จอดอยู่ข้างทาง กำลังใช้โทรศัพท์ติดต่อกับใครบางคน
“พวกเขาเจอกันหรือยัง”เธอมองดูชายหนุ่มที่เดินออกมาจากโรงพยาบาล แล้วก็ถามขึ้นด้วยความร้อนรน
ในโทรศัพท์มีเสียงของหญิงสาวดังออกมา “วางใจเถิดคุณหาน ฉันคอยเฝ้าดูอยู่ตลอด ประธานลี่แค่เพียงแวะมาดูเท่านั้น ยังไม่ได้เจอกับซูย้าว”
“อืม คอยเฝ้าดูให้ดี อย่าให้พวกเขาได้เจอกันเด็ดขาด!” หานฉ่ายหลิงกล่าวกำชับ
ขอเพียงกีดกันให้พวกเขาอย่าเพิ่งพบเจอกัน ยืดเวลาออกไปสักสองสามวัน เธอย่อมมีแผนการของเธอ เมื่อถึงเวลานั้น การแต่งงานของพวกเขาก็จะสิ้นสุดลง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาแบบแอปริคอทที่สวยงามของหานฉ่ายหลิงก็ประกายแสงแห่งความเจ้าเล่ห์ คอยดูเถอะ ซูย้าว ยังมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นรออยู่ด้านหลัง!