บทที่ 216 ใช้เงินจัดการ
ตอนที่กลับมาจากโรงพยาบาล ก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว
ร่างกายของอานโล๋ฟื้นฟูค่อนข้างโอเค เพียงแต่อาจจะง่วงซึมมากว่าปกติ อีกอย่างยังดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวาเท่าไหร่ด้วย ซูย้าวเลยค่อนข้างกังวล
อีกไม่กี่วัน แม่ก็จะออกโรงพยาบาลได้แล้ว หลินโม่ป่ายจึงแนะนำสถานพักฟื้นที่ตั้งอยู่แถบๆชานเมืองให้ ที่นั่นติดภูเขาและอยู่ข้างแม่น้ำสภาพแวดล้อมจึงดีเป็นอย่างมาก แถมยังมีออนเซ็นที่สามารถไปแช่ได้ตลอดเวลา ไม่เพียงเท่านี้ ที่นั่นยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์ดีๆอีกมากมาย
อานโล๋ดูค่อนข้างถูกใจที่นั่น จึงตอบตกลงอย่างดีอกดีใจ เตรียมพร้อมเดินสำรวจสถานที่จริงในวันพรุ่งนี้
ไม่ใช่ว่าซูย้าวไม่อยากให้แม่กลับไปอยู่ที่บ้าน เพียงแต่ว่าอานโล๋ต้องคอยรักษาอาการ จึงไม่สามารถอยู่ห่างการดูแลของคุณหมอในชั่วคราว ถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนอยู่ที่บ้าน เธอเองก็คงไม่รู้ว่าต้องรับมือยังไง
นอกจากนี้แล้ว สุขภาพจิตใจของอานโล๋ก็ยังถือว่าไม่ค่อยแข็งแรง แค่ได้ยินเสียงอะไรนิดๆหน่อยๆ ต่อให้เป็นเสียงเดิน ก็นอนหลับไม่สนิทแล้ว หนักเข้าหน่อยก็ต้องพึ่งยาระงับประสาท
ถ้าต้องกลับไปอยู่บ้าน คงไม่เหมาะจริงๆ
ซูย้าวโบกรถจากโรงพยาบาลไปที่อพาร์ทเม้นท์ของโม่หว่านหว่าน เพราะต้องดูแลเจิ้งเอ๋อให้ ช่วงนี้อีกฝ่ายเลยลาหยุดไปหลายวัน จึงถูกหักเงินเดือน
ทันทีที่เห็นโม่หว่านหว่าน เธอก็รีบพูดขอโทษ ด้วยภาษามือว่า “ฉันจะคืนเงินให้ เธอรับไปก่อนนะ ถึงแม้จะชดใช้ค่าเสียหายให้ไม่ได้ทั้งหมด แต่ฉันก็จะพยายามเอามาคืนเธอ……..”
โม่หว่านหว่านปาดเหงื่ออย่างหมดคำจะพูด “ให้ตาย เธอเห็นฉันเป็นใคร? เธอโอนเข้าบัญชีฉันเลยสิงั้น ฉันจะได้ลาออกจากงานมาเลี้ยงลูกให้เธอเต็มที่!และเธอก็ต้องจ่ายเงินเดือนให้ฉันด้วย”
เธอยิ้มออกมา แถมพยักหน้าเห็นด้วยจริงๆ
โม่หว่านหว่านเองก็ไม่อยากล้อเธอเล่นแล้ว จึงพูดว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ประธานเพ้ยมาถามฉันด้วยตัวเองแล้ว เงินเดือนที่ขาดหายไป เดือนหน้าเขาจะชดเชยให้จนครบ ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ซูย้าวนิ่งไปเล็กน้อย เพ้ยส้าวหลี่เหรอ?
การทำอะไรแบบนี้ ก็สมกับเป็นเพ้ยส้าวหลี่จริงๆนั่นแหละ เพียงแต่เมื่อเอ่ยถึงคนคนนั้น ในใจก็แอบรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
บางทีเธออาจจะคิดมากเกินไป
ซูย้าวแค่มารับเจิ้งเอ๋อกลับไป โม่หว่านหว่านยังมีเรื่องต้องทำ ดังนั้นเธอจึงไม่อยู่ต่อ
เธออุ้มลูกขึ้นรถโดยสาร เมื่อถึงป้าย เธอก็เดินอุ้มลูกกลับบ้าน เพราะระยะทางไม่ห่างจากอพาร์ทเม้นท์เท่าไหร่นัก
เจิ้งเอ๋อปีนลงจากอ้อมกอดของเธอ แล้วเดินเตาะแตะไปตามถนน เธอจูงมือเล็กๆของเด็กน้อยเอาไว้ ทั้งสองแม่ลูกเดินไปบนถนนพร้อมๆกัน เมื่อก้มหน้ามองลูกชายของตัวเอง ก็รู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก
ในตอนที่เดินผ่านซูเปอร์มาเก็ต เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าของใช้ที่บ้านหมด ดังนั้นจึงพาลูกเดินเข้าไปเลือกซื้อของ
หลังจากเลือกซื้อของเสร็จ ก็มาเข้าแถวจ่ายเงิน
ตอนนี้เป็นช่วงเลิกงานพอดี คนมาซื้อของกลับบ้านจึงค่อนข้างเยอะ คนต่อแถวก็ยาว ซูย้าวอุ้มลูกต่อแถวท่ามกลางฝูงคน คนที่อยู่ข้างหน้าเธอเป็นผู้ชายอายุราวๆสี่สิบปี รูปร่างผอมแห้ง สวมชุดออกกำลังกาย เมื่อหันกลับมาเห็นเจ้าเด็กน้อยในอ้อมกอดของเธอ ก็ดูสนอกสนใจ
“หนูน้อย ชื่ออะไรล่ะเรา?” จู่ๆผู้ชายคนนั้นก็เอ่ยพูดขึ้นมา
พูดตามตรง ท่าทางของคนคนนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ ตรงกันข้ามกลับ……ดูน่ากลัวแปลกๆ
ดวงตาตี่ๆ เป็นประกายวาวโรจน์ราวกับหมาป่าดุร้าย รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าซูบผอมและริมฝีปากบางดูฝืนๆชอบกล
ถ้าเป็นไปได้ ซูย้าวอยากให้เจิ้งเอ๋อทำเป็นไม่สนใจไปซะ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะเจิ้งเอ๋อยังเป็นเด็กที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา จะไปสังเกตเห็นรายละเอียดพวกนี้ได้ยังไง
เด็กน้อยยื่นมือออกไปจับนิ้วมือของผู้ชายคนนั้นเอาไว้อย่างเป็นมิตร พร้อมกับส่งเสียงอ้อแอ้ออกมา “ลี่เจิ้ง”
“ไอ้หยา ชื่อเพราะนะนี่!หน้าตาก็น่ารักน่าชัง!” ชายมีอายุลูบหน้าเล็กๆของเด็กน้อย เจิ้งเอ๋อจึงหัวเราะคิกคักออกมา
หลังจากคุยกันได้สักพัก ก็ถึงคิวของเขา เขาซื้อของไม่เยอะ ทว่าพอคิดราคาออกมากลับไม่ธรรมดา ของไม่กี่ชิ้นแต่ราคาเป็นห้าร้อยกว่าเลยทีเดียว
เขาค้นกระเป๋าอยู่นาน จึงพบว่ามีเงินไม่พอ
พนักงานมองผู้คนที่ต่อแถวเหยียดยาวอยู่ข้างหลัง จากนั้นก็พูดออกมาอย่างอดรำคาญไม่ได้ว่า “ไม่อย่างนั้นเอาออกสองชิ้นไหมคะ? คุณลูกค้าคิดเห็นว่ายังไง?”
ชายมีอายุมีท่าทีลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “ไอ้หยา แต่ของพวกนี้เป็นของโปรดหลานฉันทั้งนั้นเลยนะ!รอฉันสักแป๊บได้ไหม ฉันจะกลับไปถอนเงินที่บ้าน อยู่ใกล้ๆนี่เอง!”
พนักงานเองก็อยากจะรอ แต่กลับรู้สึกยุ่งยาก ในตอนนี้เอง อยู่ดีๆเสียงพูดไม่ชัดของเจิ้งเอ๋อก็ดังขึ้นมา “แมะมีเงิน แมะมี…”
ซูย้าวถอนหายใจ เจ้าเด็กคนนี้………
แต่ไม่ว่าจะยังไง เธอก็จำต้องยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา เมื่อเห็นว่าชายมีอายุขาดอีกสองร้อยกว่าๆ เธอจึงหยิบเงินสดออกมาจ่ายเพิ่มให้
เมื่อเธอจ่ายเงินเสร็จ ก็เดินถือถุงสินค้าสองถุงใหญ่ๆออกมา ผู้ชายคนนั้นยืนรอเธออยู่ข้างนอก จากนั้นก็เดินเข้ามาจะช่วยเธอถือของ
“ขอบคุณนะ คุณใจดีมาก แต่เดี๋ยวเงินพวกนี้ฉันจะคืนให้นะ!” ชายคนนั้นเอ่ยพูด
ซูย้าวมีท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด เธอรีบส่ายหน้า เพื่อบ่งบอกว่าไม่เป็นไร
แต่ชายแก่กลับเอาแต่ตื๊อ แถมยังช่วยเธอถือของพร้อมกับเดินตามเธอมาตลอดทางอีกด้วย “ของเยอะมาก เดี๋ยวฉันไปส่งพวกคุณที่บ้านแล้วกัน ! ดูเหมือนเราจะพักอยู่ใกล้ๆกันนะ!”
อีกคนกระตือรือร้นขนาดนี้ เธอจะไปทำอะไรได้?
เพียงแต่ความรู้สึกมันบอกเธอว่า ผู้ชายคนนี้ ไม่ได้ดูออกง่ายขนาดนั้น
สายตาหลุกหลิก รอยยิ้มแกนๆ ไหนจะดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์นั่นอีก ต้องซ่อนอะไรเอาไว้ข้างในแน่ๆ
ซูย้าวเก่งเรื่องอ่านใจคน
เธอต้องอยู่ห่างจากผู้ชายคนนี้
แต่ดูเหมือนเจิ้งเอ๋อจะชอบผู้ชายคนนี้มาก จึงเอาแต่พูดคุยกับเขาอ้อๆแอ้ๆตลอดทาง แถมยังพูดว่า “แมะพูดไม่ได้…….”
ชายมีอายุมองมาที่ซูย้าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเธอยังไม่พูดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ก็อดถามไม่ได้ว่า “คุณหูหนวกเหรอ?”
ซูย้าวนิ่งไป จากนั้นก็ส่ายหน้า วางของลง แล้วใช้ภาษามือสื่อสารส่า “ฉันเป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวก”
น่าเสียดายที่ชายมีอายุอ่านภาษามือไม่ออก จึงพูดออกมาอย่างลำบากใจว่า “ฉันไม่รู้ภาษามือ แต่เหมือนคุณจะได้ยินที่ฉันพูดอยู่ใช่ไหม?” เธอพยักหน้า แล้วเดินต่อ
กว่าจะมาถึงอพาร์ทเม้นท์ก็ใช้เวลาไปนานพอสมควร ซูย้าวแสดงความขอบคุณอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่เขากลับพูดว่า “คุณจ่ายเงินให้ฉันตั้งสองร้อย คนที่ต้องขอบคุณควรเป็นฉันต่างหาก บ้านฉันอยู่ทางด้านหลังนู่น พรุ่งนี้ฉันจะเอาเงินมาคืนแล้วกันนะ!”
ซูย้าวส่ายหน้า เพื่อบอกให้เขาลืมๆเรื่องนี้ไปก็ได้
จนกระทั่งชายคนนั้นเดินจากไป จนไม่เห็นแม้แต่แผ่นหลัง ซูย้าวถึงพาลูกเข้าบ้าน เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงล็อกประตูหน้าต่างทั้งหมด รวมถึงประตูห้องนอนด้วย
เธอมองไม่ผิดแน่ ผู้ชายคนนั้น ดูเผินๆอาจจะดูเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่เบื้องหลังต้องมีเรื่องอะไรซ่อนเอาไว้แน่ๆ!
ไม่ใช่คนดีอย่างแน่นอน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูย้าวกำลังจะออกจากบ้าน แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่า จะเห็นผู้ชายคนเมื่อวานมายืนรอเธอตรงทางเข้าอยู่ก่อนแล้ว
เขายังคงแต่งตัวเหมือนเมื่อวาน ทั้งยังถือถุงเล็กๆอยู่ในมือ เมื่อเห็นเธอ ก็หยิบธนบัตรออกมาสองร้อย “เมื่อวานต้องขอบคุณจริงๆนะ!”
เขาหยอกเจิ้งเอ๋อแป๊บๆ ก็พูดขอบคุณอีกครั้งแล้วหมุนตัวเดินออกไป
เมื่อเห็นแบบนี้ ใจที่เครียดเกร็งของซูย้าว ก็พลันผ่อนคลายลง บางทีเธออาจจะคิดมากไปเองก็ได้!
ผู้คนบนโลกนี้ จะมีสักกี่คนกันที่ไม่มีความลับอะไรในใจเลย? เธอไม่ใช่ตำรวจไขคดี ไม่ได้มีเวลาว่างมาระแวงอะไรขนาดนั้น ขอแค่อีกฝ่ายไม่ทำร้ายเธอและเจิ้งเอ๋อก็พอแล้ว
ทางด้านชายมีอายุเมื่อเดินออกมาพ้นสายตาของสองแม่ลูก ก็ตรงขึ้นรถตู้ทันที จานั้นก็หยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบ เมื่อสายตาแหลมคมทอดมองหญิงสาวกับลูกน้อยกำลังเดินอยู่ไกลๆ แววตาก็เปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นมาในทันที
“พี่มังกร ผู้หญิงคนนั้นเชื่อพี่หรือยัง?” ชายหนุ่มวัยละอ่อนที่นั่งประจำคนขับเอ่ยถาม
ชายมีอายุส่งเสียงหึออกมา “เชื่อหรือไม่เชื่อมันสำคัญด้วยเหรอ? ยังไงซะก็รู้เวลาพักกับเวลาทำงานของเธอแล้ว แค่ตีสนิทกับเด็กนั่นอีกหน่อยก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว!”
“นั่นสิเนอะ!”
“เราใช้เงินจัดการไปก่อน ช่วงนี้ทำอะไรก็ให้ว่องหน่อยแล้วกัน อย่าให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นเด็ดขาด แล้วก็อย่าให้นังใบ้นั่นจับได้ซะก่อนล่ะ เข้าใจไหม?”
ชายหนุ่มวัยรุ่นในรถทั้งสองคนพยักหน้า “ครับ!”