บทที่ 217 บังเอิญจริงๆเลยนะ
ห้องทำงานชั้นบนสุดของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป มีระยะห่างจากพื้นดินหนึ่งร้อยเมตร เมื่อมองลงไปข้างล่าง ผู้คนต่างก็เหมือนแมลงตัวเล็กๆ ส่วนรถราก็เหมือนกล่องไม้ขีดไฟ
ลี่เฉินซียืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับสอดมือทั้งข้างไว้ในกระเป๋ากางเกง ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาจ้องมองไปยังที่ใดสักแห่งข้างนอก ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
เมื่อหวางอี้เข้ามาส่งเอกสาร แล้วเห็นเจ้านายยืนนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่ตรงนั้น ก็ถอนหายใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้ วันนี้ลีเฉินซีเอาแต่ใจลอยแบบนี้อยู่ทั้งวัน
คนมีตาก็ดูออกทั้งนั้น ว่าเขากับซูย้าวกำลังโกรธกัน
หลังจากกลับมาจากต่างประเทศก็ผ่านไปแล้วเกือบเดือน ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงนิ่งใส่กัน ไม่มีใครยอมใคร ถึงขั้นไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน เพราะแบบนี้ เลยไม่ยอมลงให้กันสักที
เวลาก็เดินผ่านไปเรื่อยๆ ไม่รู้เลยว่าสงครามเย็นระหว่างทั้งสองจะยังดำเนินไปถึงตอนไหน
หวางอี้วางเอกสารไว้บนโต๊ะ พร้อมกันนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ข้างหลังลี่เฉินซี จากนั้นก็เอ่ยพูดเสียงเบาว่า “ประธานลี่ รายงานของฝ่ายการเงินออกมาแล้วนะครับ รบกวนคุณช่วยดูด้วย”
เพราะเป็นช่วงปลายเดือน จึงมีรายงานจากฝ่ายต่างๆเยอะมาก ไม่ใช่แค่มีมากจนกองเท่าภูเขา แต่ทุกๆฉบับล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับงบประมาณของบริษัท จึงไม่สามารถมองข้ามได้
เขาพยักหน้า ในตอนที่เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน ในหัวก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาจำได้ว่าเมื่อก่อน ผู้หญิงคนนั้นจะคอยช่วยจัดการรายงานพวกนี้ให้ ถึงขั้นทุ่มเทสร้างโปรแกรมซอฟต์แวร์ให้บริษัท เพื่อเป็นการป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นทางด้านการเงินหรือป้องกันคนหัวแหลมมาฉวยโอกาส
เพียงแค่คีย์รายงานเหล่านี้เข้าไปในซอฟต์แวร์ ก็จะเห็นส่วนผิดส่วนถูกอย่างชัดเจน
สิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นสร้างขึ้นมา เป็นอะไรที่อัจฉริยะมากๆ
แต่ว่าทำไมต้องเอาแต่คิดถึงผู้หญิงคนนั้นไม่หยุดเลยล่ะ? ลี่เฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาหนวดขมับ
หวางอี้ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นท่าทางของเจ้านาย ก็รีบไปบอกให้เลขาชงกาแฟมาให้ทันที
ทว่าลี่เฉินซีกลับไม่สนใจกาแฟร้อนๆตรงหน้าเลยสักนิด เพียงแค่ดื่มไปคำเดียว จากนั้นก็เปิดอ่านเอกสาร เขาพยายามตั้งใจตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมีเรื่องในใจ ขนาดอยู่ในเวลางาน ยังดูฟุ้งซ่านอย่างเห็นได้ชัด
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของหวางอี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี ขมวดคิ้วลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็พูดออกมาว่า “ประธานลี่ ร่างกายของคุณอานฟื้นฟูได้ดีมาก เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเมื่อวานนี่เองครับ”
“คุณอาน?” ลี่เฉินซีเหม่อลอยไปชั่วขณะ จู่ๆก็พูดชื่อนี้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“แม่ยายของคุณนั่นแหละครับ แม่ของคุณผู้หญิงไง” หวางอี้อธิบาย
เมื่อพูดถึงซูย้าว ใบหน้าหล่อคมของลี่เฉินซีก็พลันอึมครึมลง
หวางอี้รู้ตัวว่าพูดมากเกินไป จึงรีบปิดปากเงียบ
ผ่านไปสักพัก เมื่อเห็นเขาไม่พูด ลี่เฉินซีก็เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับส่งเสียงออกมาว่า “ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ?”
“……”
หวางอี้พูดอะไรไม่ออก แต่ก็ไม่สามารถขัดคำสั่งเจ้านายได้ จึงต้องรีบพูดว่า “คุณผู้หญิงให้คุณอานเข้าพักรักษาตัวที่บ้านพักคนชราท่ายคาง ที่นั่นคือศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพร่างกายที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้ จากที่ได้ยินมาสิ่งอำนวยความสะดวกดีมาก สภาพแวดล้อมก็สวยงาม แถมยังสามารถไปใช้สปาออนเซ็นได้ทุกวันแล้วก็……”
“พอแล้ว!”
พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกลี่เฉินซีตัดบทอย่างเย็นชา หวางอี้จึงหุบปากฉับโดยอัตโนมัติ
เขาตรวจดูเอกสารพวกนั้น เซ็นเสร็จก็ส่งให้หวางอี้
จากนั้น ร่างกายสูงใหญ่เหมือนภูเขาหิมะก็เอนหลังพิงเก้าอี้ นัยน์ตาดำมืดทอประกายคมปลาบ ลุ่มลึกจนไม่อาจคาดเดาได้
เมื่อหวางอี้กำลังถือเอกสารออกไปข้างนอก เสียงโทรศัพท์ของคนข้างหลังก็ดังขึ้นมา
ลี่เฉินซีหยิบโทรศัพท์ แล้วกดรับด้วยเสียงทุ้มลึก “มีอะไร? ฉ่ายหลิง”
……
ณ บ้านพักคนชราท่ายคาง เมื่อซูย้าวจัดการเรื่องของแม่เสร็จ ก็อยู่ค้างด้วยหนึ่งคืน เธอรู้สึกว่าทุกอย่างดีมาก จึงสบายใจไปหลายเปราะ
หลังจากทานข้าวเที่ยงกับแม่เสร็จ ก็ถูกอานโล๋เร่งรัดให้รีบกลับไปในเมือง เทียบกันแล้ว อานโล๋เป็นห่วงหลานชายและเรื่องแต่งงานของลูกสาวของเธอมากกว่า
ก่อนจะไป อานโล๋ยังพูดอีกว่า “แกกับลี่เฉินซีก็ควรคุยกันดีๆนะ อย่าเอาแต่เป็นแบบนี้ เดี๋ยวก็ย้ายออก เดี๋ยวก็จะหย่ากัน ถ้ามันไปต่อไม่ได้จริงๆ ก็รีบๆทำให้มันถูกพิธีเถอะ!”
ซูย้าวเหยียดยิ้มฝาดเฝื่อนออกมา เมื่อแม่เอ่ยเร่งให้รีบกลับเธอจึงเดินถือกระเป๋าออกไป
เมื่อกลับเข้ามาในเมือง โม่หว่านหว่านก็ส่งรูปที่เธอพาเจิ้งเอ๋อไปสวนสนุกมาพอดี ในรูปทั้งสองดูสนุกสนานเป็นอย่างมาก
ตอนที่ขับรถผ่านโรงพยาบาลเซนเดอร์ ถึงเพิ่งนึกเรื่องที่สูตินรีแพทย์เอ่ยเตือนเธอก่อนหน้านี้ ว่าต้องมาตรวจครรภ์ตามกำหนด เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยที่อาจจะเกิดขึ้น เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก ก็จอดรถลงแถวๆโรงพยาบาล
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ โรลซ์-รอยซ์คันสีดำก็ขับมาจอดที่ลานจอดรถเหมือนกัน จากนั้นร่างกายสะโอดสะองของหานฉ่ายหลิงก็ลงมาจากรถ
สายตากวาดมองเฟอรารี่คันสีแดงท่ามกลางรถคันอื่นๆอย่างไม่ใส่ใจ รถยนต์มีราคาที่หายากขนาดนี้ ไหนจะป้ายทะเบียนรถอีก ถ้าไม่ใช่รถของนังใบ้นั่น แล้วจะเป็นใครไปได้อีก
ถึงแม้เบื้องหน้าอีกฝ่ายจะออกมาจากตระกูลลี่แล้ว แต่กระนั้นก็ยังคงขับรถที่ลี่เฉินซีซื้อให้อยู่ดี นังใบ้นี่ ปากอย่างใจอย่างจริงๆ คนชั้นต่ำมีดีแค่เปลือกนอกเท่านั้นแหละ!
หานฉ่ายหลิงกระตุกริมฝีปากอย่างเหยียดหยาม จากนั้นก็คล้องแขนลี่เฉินซีเอาไว้ เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆรองเท้าส้นสูงก็พลิก จนร่างกายโงนเงน โชคดีที่มีคนจับเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงหกล้มไปแล้ว
เธอมองส้นรองเท้าที่หักไปอย่างทำอะไรไม่ถูก “ทำยังไงดี? รองเท้าฉัน…..”
เมื่อลี่เฉินซีเห็นรองเท้าของเธอ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เหยียดแขนออกไปอุ้มอีกคนขึ้นมาในท่าเจ้าหญิง
เขาอุ้มเธอเดินเข้าไปในโรงพยาบาลอย่างสุภาพบุรุษ
แม้ว่าจะเป็นช่วงบ่าย แต่ผู้ป่วยที่มาหาหมอที่โรงพยาบาลเซ็นเดอร์ ก็ยังคงเยอะเหมือนเดิม เนื่องจากหานฉ่ายหลิงแค่เป็นหวัดธรรมดาทั่วไป จึงไม่ต้องไปที่แผนกฉุกเฉิน เธอนั่งรออยู่บนเก้าอี้ไม่ใกล้ไม่ไกล ส่วนลี่เฉินซีไปเข้าแถวลงทะเบียน
รออยู่ประมาณสิบนาที กว่าจะลงทะเบียนเสร็จจากนั้นเขาก็เดินถือบัตรผู้ป่วยนอกเข้ามาหา “ไปกันเถอะ!”
หานฉ่ายหลิงกำลังจะลุกขึ้น แต่เพราะส้นรองเท้าหัก จึงทรงตัวไม่ค่อยอยู่เท่าไหร่ ร่างกายของเธอโงนเงนอีกครั้ง และแขนยาวของเขาก็ประคองเอาไว้ได้ทันเหมือนเคย เขาโอบเอวบางเพื่อประคองเธอ ท่าแบบนี้ยิ่งทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทว่าเมื่อหันหลังมา ก็เจอกับซูย้าวที่กำลังลงมาชั้นล่างพอดี
แผนกสูตินารีอยู่ชั้นบน เธอจึงเลือกเดินลงบันได แทนการใช้ลิฟต์ จึงต้องมาเห็นภาพนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
วินาทีนั้น เธอก็นิ่งไป พร้อมกับหลุบตาลงอย่างอึดอัด
“ซูย้าว บังเอิญจังเลยนะ!” หานฉ่ายหลิงทักทายพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ทั้งยังเดินเข้าไปใกล้ๆเธอ
เมื่อเห็นท่าทางซับซ้อนของซูย้าว เธอจึงรีบอธิบายว่า “วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย เฉินซีว่างพอดี ก็เลยพาฉันมาโรงพยาบาลน่ะ!”
ซูย้าวมองมาที่เธอ ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
เมื่อหานฉ่ายหลิงเห็นการกระทำที่ใกล้ชิดระหว่างตัวเองกับลี่เฉินซี ก็รีบพูดขึ้นมาอีกว่า “รองเท้าไม่รู้ว่าเป็นอะไร อยู่ๆส้นก็หักน่ะ โชคดีที่เฉินซีอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รู้ว่าต้องทำยังไงแล้ว!”
ซูย้าวมองมาที่เธอ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นนิ่งๆอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร เธอพยักหน้าให้ทั้งสองคนเล็กน้อยพอเป็นมารยาท ถึงได้เดินผ่านพวกเขาไป
ทำเหมือนระหว่างเธอกับผู้ชายคนนี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆต่อกันอีกแล้ว
เหมือนเป็นคนแปลกหน้า
ถ้านี่คือสิ่งที่เขารอคอยมาตลอด แบบนั้น วันนี้ก็คงสมหวังแล้วล่ะ
ถึงแม้จะเจ็บราวกับโดนมีดบาด แต่ก็ต้องหลงเหลือศักดิ์ศรีสุดท้ายไว้ ดังนั้นซูย้าวจึงเดินออกมาอย่างแน่วแน่ ไม่ยอมหยุดเด็ดขาด
ลี่เฉินซีพยุงหานฉ่ายหลิงมาถึงหน้าแผนกอายุรกรรมเมื่อพาเธอเข้ามารอหมอข้างใน ร่างกายสูงใหญ่ก็เดินออกไปข้างนอก
“เฉินซี คุณจะไปไหน?”
เสียงของหานฉ่ายหลิงดังขึ้นมาจากข้างหลัง แต่เขากลับทำเป็นไม่ได้ยิน เดินก้าวยาวๆลงบันไดไป
บริเวณลานจอดรถ ซูย้าวเพิ่งเดินมาถึงรถ ยังไม่ทันจะได้หยิบกุญแจออกมา ข้อมือบอบบางก็ถูกกำรวบเอาไว้
เธอตกใจ เมื่อหันไปมอง ก็สบเข้ากับดวงตาดำมืดของลี่เฉินซี