บทที่ 220 เรียกเธอว่าพี่สะใภ้
บริเวณหน้าต่างบนชั้นสามสิบห้าในโรงแรม ลี่เฉินซียืนเงียบเหมือนรูปปั้นหิน สายตาจดจ้องภาพบรรยากาศกลางคืนที่แสนศรีวิไลข้างนอกนิ่งๆ
เวลาเที่ยงคืน
จู่ๆลู่ส้าวหลิงก็ได้รับโทรศัพท์ว่าให้เขามาที่บาร์Goodnight เมื่อมาถึงก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า บนโต๊ะมีขวดเหล้าที่หมดไปแล้ววางอยู่เกลื่อน จานผลไม้และจานของว่างไม่ถูกแตะต้องเลยสักนิด อีกคนเอาแต่ดื่มเหล้าแก้วแล้วแก้วเล่า
เมื่อเห็นสภาพนี้ ลู่ส้าวหลิงก็กุมขมับอย่างปวดหัว พร้อมจับจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นๆ จากนั้นก็สูดหายเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้าไปแย่งแก้วเหล้าในมือของลี่เฉินซีมา “พอได้แล้ว!นายดื่มไปเท่าไหร่แล้วเนี่ย?”
ลี่เฉินซีเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองดื่มไปเท่าไหร่ แต่วันนี้พิเศษตรงที่ ไม่ว่าเขาจะดื่มมากแค่ไหน ก็ไม่รู้สึกเมา
สติของเขายังอยู่ครบ ทุกถ้อยคำที่ผู้หญิงคนนั้นใช้ภาษามือสื่อสารออกมา ยังคงสะท้อนอยู่ในหัว เสมือนเธอยังคงอยู่ใกล้ๆเสมอ
ทุกถ้อยคำล้วนแล้วแต่เหมือนมีดคมๆ ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของเขา
ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีวันนี้วันที่มีผู้หญิงทำทุกวิถีทางเพื่อไปจากเขา และผู้หญิงคนนั้น ก็คือภรรยาของเขา
“ส้าวหลิง นายว่า ฉันเหมือนปีศาจไหม?”
ลี่เฉินซีช้อนดวงตาวาววับขึ้นมา มองเขาอย่างพร่ามัว
ลู่ส้าวหลิงอึ้งไปนิด เขานั่งลงครุ่นคิดสักพัก ก็หลุดหัวเราะออกมา “ก็นายเป็นปีศาจไง!เพิ่งรู้เหรอ?”
“………”
“ใครว่ามาล่ะ?” เขาเอ่ยถาม
ลี่เฉินซีไม่คิดจะตอบ เขาแค่ยกแก้วกรอกปากตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็โยนแก้วทิ้ง แล้วนั่งสูบบุหรี่อยู่บนโซฟา
โครงหล่อเหลาปกคลุมไปด้วยควันบุหรี่มัวๆ จึงช่วยปกปิดความสับสนวุ่นวายในดวงตาของเขาได้เป็นอย่างดี ลู่ส้าวหลิงมองมาที่เขา ราวกับอ่านใจเขาออก จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “นายมีปัญหากับซูย้าวสินะ!”
ที่เรียกเขามาก็เพราะเรื่องนี้จริงๆด้วย
มีแค่ลู่ส้าวหลิงเท่านั้นที่พูดคุยกับเขาได้
“ใครใช้ให้นายโกรธเธออย่างไม่มีเหตุผลล่ะ แถมยังทำสงครามเย็นใส่กันอีก ลี่เฉินซี นายคิดว่านายเป็นใคร? ต่อให้นายจะสูงส่งแค่ไหน เก่งกล้ามากเท่าไหร่ แต่นายก็คือสามีของเธอ คือผัวของเธอ นายเป็นผู้ชายของเธอ เธอเป็นผู้หญิงของนาย สิ่งที่จำเป็นก็คือความรักความเอาใจใส่ ปฏิบัติต่อกันอย่างอบอุ่นอ่อนโยน ไม่ใช่เอะอะก็ทะเลาะกันด้วยการทำสงครามเย็น จนถึงขั้น……”
ลู่ส้าวหลิงลากเสียงยาว ไม่ได้พูดต่อให้จบ ตรงกันข้ามกลับรินเหล้าให้ตัวเอง จากนั้นก็ดื่มเป็นเพื่อนเขา
นัยน์ตาของลี่เฉินซีทอแววลึกล้ำ “พูดต่อสิ ถึงขั้นอะไร?”
“คืออะไรนายไม่รู้เหรอ? อย่ามาแกล้งเลอะเลือนหน่อยเลย!” ลู่ส้าวหลิงหาวออกมา นี่มันก็เที่ยงคืนแล้ว เขาเกือบจะได้นอนแล้ว แต่กลับถูกไอ้หมอเรียกปลุกมาที่นี่ซะงั้น
ลี่เฉินซีพ่นควันออกมาอีกครั้งเขาคีบบุหรี่เอาไว้อย่างเฉื่อยๆ ไม่พูดอะไรออกมา
“ฉันก็เคยผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วน! แต่ว่า ฉันไม่เหมือนนาย ยังไงซะฉันก็ไม่ได้แต่งงาน ต่อให้จะรู้สึกหรือไม่รู้สึกกับใคร ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย” เขาเริ่มวิเคราะห์ตัวเองอย่างไม่มีอะไรทำ
ลี่เฉินซีกวาดตามองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ไร้ซึ่งประกายอบอุ่นใดๆ
ลู่ส้าวหลิงเองก็ขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว จึงยกแก้วขึ้นมาดื่มอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบอีกแก้วขึ้นมาพร้อมกับลุกขึ้นเดินลงไปยังลานเต้นข้างล่าง เมื่อเห็นนักเต้นสาวๆกำลังวาดลวดลายอยู่บนแท่งเหล็ก ริมฝีปากก็ยกยิ้มร้ายๆออกมา
ยืนชมการแสดงอยู่สักพัก ลู่ส้าวหลิงก็รู้สึกง่วงไม่ไหว เลยกลับมาลากลี่เฉินซี “กลับเถอะ ง่วงแล้ว ค้างโรงแรมแถวนี้ไปก่อนแล้วกัน!”
ลี่เฉินซีเองก็ดื่มไปเยอะพอสมควร ถึงแม้สติการรับรู้จะยังชัดเจน แต่ร่างกายกลับโซเซอย่างเลี่ยงไม่ได้ จึงต้องยอมเดินตามอีกฝ่ายออกไป
เมื่อมาถึงโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ ลู่ส้าวหลิงก็บอกให้พนักงานเอายาแก้แฮงค์กับน้ำผึ้งเข้ามาให้ เมื่อเห็นว่าลี่เฉินซีดื่มมันลงไปแล้ว เขาถึงได้เดินไปยังอีกห้อง
เพราะว่าไม่ได้พักผ่อนมาทั้งคืน ดังนั้นเมื่อลู่ส้าวหลิงกลับเข้ามาในห้อง ก็เข้าไปแช่น้ำอุ่นในห้องน้ำ เมื่อเดินออกมา ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขาเช็ดผมไปพลาง สวมใส่ชุดคลุมไปพลาง จากนั้นก็เดินไปยังห้องข้างๆ
เขาเคาะประตู “เฉินซี?”
ภายในห้องเงียบสนิท ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
ลู่ส้าวหลิงขมวดคิ้ว พร้อมกับเคาะห้องต่อ ไม่ทันไร ก็พบว่าห้องไม่ได้ล็อก เขาจึงเปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน ภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของลี่เฉินซี มีแค่เสื้อตัวนอกกับผ้าเช็ดตัวที่ใช้แล้ววางอยู่บนเตียง
ดูเหมือน เขาอาบน้ำเสร็จ ก็ออกไปเลย
กุญแจรถยังวางอยู่บนโต๊ะ คงยังไปไหนได้ไม่ไกล ลู่ส้าวหลิงสูดลมหายใจ แล้วเดินลงไปชั้นล่าง
บริเวณข้างนอกโรงแรม ลี่เฉินซีกำลังยืนนิ่งๆอยู่ข้างถนน ข้างๆมีต้นไม้ใหญ่ ร่างกายของเขาสูงตระหง่าน ในมือคีบบุหรี่เอาไว้ แสงไฟวูบวาบของมัน กลืนไปกับท้องฟ้ายามค่ำคืน
เงียบสงบ ราวกับภาพวาด
ใบหน้าหล่อเหล่าก้มลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังโฟกัสสายตาไว้ตรงไหน เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เช่นคิดถึงใครบางคน
ก้นบุหรี่ตกลงข้างปลายเท้าของเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ลู่ส้าวหลิงจ้องเขาอยู่สักพัก พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างลังเล เมื่อเห็นแผ่นหลังโดดเดี่ยวของเขา ก็อดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้
บนถนนยามค่ำคืน มีลมโชยมาเป็นระยะ พอให้เย็นสบาย
“ถ้านายคิดถึงเธอ ก็ไปหาเธอซะสิ ทำไมต้องทรมานตัวเองด้วย?”
สุดท้ายลู่ส้าวหลิงก็ทนมองไม่ไหว จึงเดินเข้ามาหา
ลี่เฉินซีหันมากวาดสายตามองเขานิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ไม่นาน ก็ควรที่จะมีความสุขให้คุ้มซะ ทำไมต้องทำให้ตัวเองเศร้าเพราะเรื่องบางเรื่องด้วย”
หลายคนพูดว่าเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ ไม่ว่าคนนอกจะแนะนำยังไง แต่คนที่สามารถแก้ปมได้ ก็มีแค่คนที่ผูกปมนั้นขึ้นมาเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าลู่ส้าวหลิงไม่รู้ เพียงแต่ว่าพอเห็นเขาเป็นอย่างนี้แล้ว มันก็มีแต่เศร้า มีแต่ปลงตกเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไร ลู่ส้าวหลิงก็ถอนหายใจออกมา จู่ๆก็มองมาที่เขาอย่างนึกสนุกอะไรขึ้นมาได้ “นี่ เฉินซี รู้ไหมว่าท่าทางของนายตอนนี้เหมือนอะไร?”
สายตาของลี่เฉินซีเรียบนิ่ง เขาไม่คิดจะสนใจอะไรเลยทั้งนั้น
“เหมือนแม่หม้ายขี้เหวี่ยงถูกทิ้งเลย!”
การเปรียบเทียบนี่มัน…….
แม่หม้าย?
เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ยังมาว่าเขาเป็นแม่หม้ายอีกเหรอ?
สายตาของลี่เฉินซีพลันทอแววเย็นชา ระหว่างหัวคิ้วปรากฏอารมณ์ไม่พอใจ แต่ก็ยังคงเงียบ จะถือซะว่าลู่ส้าวหลิงพูดจาไร้สาระไปทั่วแล้วกัน
ลู่ส้าวหลิงรู้สึกว่าการเปรียบเทียบของตัวเองยิ่งดูสมจริงขึ้น แถมยังใกล้เคียงสุดๆด้วย ต่อมา เมื่อมองใบหน้าด้านข้างของเขา จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “เฉินซี นายอย่าหาว่าฉันพูดมากเลยนะ แต่ว่ากับซูย้าวน่ะ นายคิดยังไงกันแน่?”
มือที่คีบบุหรี่ของลี่เฉินซี พลันชะงักนิ่ง
“นายเคยคิดถึงอนาคตของพวกนายไหม? คิดแค่ว่าคงไม่หย่ากัน แค่นี้เหรอ? กับหานฉ่ายหลิงนายก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวรักเดี๋ยวห่วง คอยตามดูแลไม่ห่าง แต่กลับปล่อยซูย้าวเลี้ยงลูกอยู่บ้าน?”
ลู่ส้าวหลิงหาคำมาเปรียบเปรยอีกครั้ง “นายคิดจะเก็บธงสีแดงไว้ในบ้าน แล้วปล่อยให้ธงหลากสีโบกสะบัดอยู่ข้างนอกเหรอ?”
“……”
ใบหน้าหล่อของลี่เฉินซีขุ่นมัวลง
เขาเคยคิดอะไรแบบนี้ตอนไหน! อีกอย่าง เรื่องมันชักจะเละเทะไปกันใหญ่แล้ว!
“งั้นที่ซูย้าวโกรธก็ถูกแล้วนี่?” ลู่ส้าวหลิงพูด
เมื่อพูดออกมาแบบนี้ สีหน้าของลี่เฉินซีก็ค่อยๆอ่อนลง พอลองมาคิดดีๆ เธออาจจะโกรธเพราะเรื่องพวกนี้…….
“พูดตามตรงนะ ถึงฉันจะเป็นเพื่อนนาย แต่พอเห็นนายกับซูย้าวหลายปีมานี้ ฉันก็สงสารเธอจริงๆ!”
ลี่เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นแล้วมองมาทางเขา จากนั้นก็เอ่ยพูดขึ้นมาว่า “พี่สะใภ้”
ลู่ส้าวหลิงงงตาแตก จากนั้นเสียงเย็นๆของลี่เฉินซีก็ดังขึ้นมาอีกหนว่า “เรียกเธอว่าพี่สะใภ้”
“นายให้ฉันเรียกว่าพี่สะใภ้? เธอเด็กกว่าฉันตั้งหลายปีนะ!” ลู่ส้าวหลิงบ่นยังไม่ทันจบ ก็เห็นลี่เฉินซีเหลือบตามองมานิ่งๆ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยแววคาดโทษ ลู่ส้าวหลิงจึงถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ทำได้แค่เปลี่ยนคำพูดใหม่ตามคำสั่ง “ได้ๆ พี่สะใภ้ก็พี่สะใภ้…..”
แต่ลู่ส้าวหลิงรู้จักซูย้าวมาตั้งแต่เด็กๆ. ถึงจะไม่ได้สนิทกันมาก. แต่ก็ถือว่ารู้จักกันมาหลายปี เขาเรียกเธอว่า “ซูย้าว”จนติดปากไปแล้ว จู่ๆให้มาเปลี่ยน เขาเรียกไม่ถนัดเลย!