บทที่ 244 คลาดกันฉิวเฉียด
รถยนต์คันหนึ่งได้แล่นอยู่บนทางด่วนที่มุ่งเข้าสู่ตัวเมือง
ตลอดเส้นทางที่แสนเบื่อหน่าย คนขับรถเป็นคนที่ชอบคุยสนทนา เมื่อเห็นอานโล๋ที่โดยสารอยู่ด้านข้างคนขับ จึงได้ถามขึ้น “คุณผู้หญิงท่านนี้ดูท่าทางจะรีบร้อนมากเลยนะครับ”
อานโล๋พยักหน้า แต่ว่าอยู่บนเส้นทางด่วน ต่อให้รีบร้อนเพียงใด ก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน จึงได้พูดขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะ คุณขับตามความเร็วปกติเลย ฉันแค่ไปบ้านลูกสาวที่อยู่ในเมืองเท่านั้น”
“ดูแล้วคุณยังสาวอยู่เลย ลูกสาวกำลังเรียนอยู่เหรอครับ”
อานโล๋ถึงกับปล่อยขำออกมา “ไม่ใช่ค่ะ เธอแต่งงานแล้วค่ะ!”
“โอ้ จริงเหรอครับ ดูไม่ออกเลยนะครับ! คุณดูยังดูสาวมากๆ!” คนขับรถถึงกับอุทานขึ้น
อานโล๋ก็ยังไม่แก่จริงๆ อายุแค่สี่สิบกว่าเท่านั้นเอง ถึงแม้ว่าจะผ่านเรื่องราวที่ทรมานต่างๆนานามามากมาย แต่โดยเนื้อแท้ก็เป็นคนที่สวยโดยธรรมชาติ และก็ยังดูอ่อนเยาว์ ถ้าหากแต่งหน้าเติมจมูกหน่อย ก็ยังคงดูสวยงดงามมีเสน่ห์แบบสาววัยกลางคน
แต่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการเรียน ก็เหมือนกับเป็นการจี้จุดความเจ็บปวดที่อยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเธอ เพราะซูย้าวตอนที่เรียนอยู่ชั้นมหาวิทยาลัยได้ปีเดียวก็ถูกซัวฉ่ายลี่บังคับให้ออกจากการเรียนด้วยเหตุผลต่างๆนานา
จากนั้นใช้คำสั่งเสียของท่านย่าบังคับให้เธอแต่งงานกับลี่เฉินซี
แต่ท่ว่าซูย้าวเป็นคนเก่ง ฉลาด และมีไอคิวสูง เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพียงปีเดียว ก็สามารถเก็บคะแนนเรียนของทุกวิชาทั้งสี่ปีทั้งหมดได้ อีกทั้งยังสอบปริญญาเอกหลายใบได้ในเพียงเวลาอันสั้น
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจของอานโล๋ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ เพียงแต่การที่ไม่สามารถมอบชีวิตที่ดีที่สุดให้กับลูกสาวในวัยเยาว์ได้ ถือเป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหัวใจของคนเป็นแม่
คุยสนทนาเรื่องทั่วไปกับคนขับคนอยู่สักพัก และก็เหมือนว่าอารมณ์ดีขึ้นแล้วเล็กน้อย เธอจึงได้พูดขึ้นอีกว่า “ลูกสาวของฉันตั้งครรภ์แล้ว ฉันก็เลยอยากจะไปเยี่ยมเยือนสักหน่อย……”
และถือโอกาสไปถามเรื่องราวเกี่ยวกับการหย่าและคดีการลักพาตัว พักนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ไม่รู้ว่าซูย้าวจะสามารถรับมือได้ไหม
เธอเป็นเพียงคนท้อง ทั้งถูกตำรวจสงสัยและซักถาม ทั้งยังต้องต่อสู้กับคดีฟ้องร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกเนื่องจากปัญหาการหย่าร้าง อีกทั้งยังต้องดูแลร่างกายเพื่อลูกที่อยู่ในท้องอีก ช่าง…..ทรมานเธอจริงๆ!
คนขับรถเป็นชายวัยกลางคน พูดแต่เรื่องที่ทำให้คนรู้สึกดีจนหัวเราะเฮฮา การสนทนากันระหว่างทางจึงค่อนข้างคุยกันถูกปากถูกคอ อานโล๋เองที่หัวใจสับสนกระวนกระวาย ก็ถึงกับโล่งใจลงไปไม่น้อย
หลังลงจากทางด่วนแล้ว ระยะทางที่ห่างจากคอนโดฯของซูย้าว ก็ไม่ไกลแล้ว
ในเวลานี้ ที่สำนักงานฝ่ายกฎหมาย ซูย้าวและหลินเวยก็ได้เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นในการชั้นศาลในอีกสองวันข้างหน้า
มีสิ่งเดียวที่ยังไม่สามารถแก้ได้ ก็คือการผู้ต้องสงสัยของซูย้าวในคดีลักพาตัว แต่โชคดีที่ทางตำรวจยังไม่ได้ให้การสรุปที่ชัดเจน เธอจึงยังเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยเท่านั้นและยังไม่ถูกตัดสินว่าเป็นผู้กระทำความผิดจริง
อย่างนั้นเรื่องราวยังสามารถพลิกแพลงได้
หลินเวยมีความมั่นใจเป็นอย่างสูง และเธอมีประสบการณ์มากกว่าสิบปี และเธอก็ไม่เคยแพ้คดี คดีในครั้งนี้ก็ไม่มีทางแพ้เช่นกัน
ซูย้าวได้แสดงการขอบคุณให้กับเธอ และก็เป็นเวลาช่วงอาหารกลางวันพอดี หลินเวยคิดที่อยากจะไปทานอาหารที่ด้านล่างตึกพร้อมกันกับเธอ
เป็นช่วงเวลานี้พอดีที่โทรศัพท์ของซูย้าวได้สั่นขึ้น เป็นข้อความเด้งเข้ามา
“ย้าว ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” เป็นข้อความจากโม่หว่านหว่าน
ถ้าหากไม่ใช่เรื่องด่วนอันใด โดยปกติแล้วเธอจะไม่เป็นเช่นนี้
ซูย้าวรีบตอบกลับทันควันถึงที่อยู่ของเธอ จากนั้นโม่หว่านหว่านได้ก็ตอบกลับมาหนึ่งประโยคว่า “รออยู่ตรงนั้น ฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้ มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัว ฉันได้ยินประธานเพ้ยบอกมีข้อมูลใหม่ และค่อนข้างส่งผลร้ายกับเธอมาก!”
เมื่อเห็นข้อความในโทรศัพท์ ซูย้าวถึงกับร้องอุทานในใจ
ส่งผลร้ายกับเธออย่างนั้นหรือ
เรื่องคดีลักพาตัว เธอไม่ได้เป็นคนทำ ทั้งหมดทั้งหมดเป็นเพราะถูกคนอื่นปรักปรำใส่ร้ายทั้งนั้น แล้วจะส่งผลร้ายอย่างไรกับเธอ
หลินเวยก็ได้เห็นข้อความในวีแชทแล้ว จึงได้พูดขึ้น “อย่างนั้นพวกเรารอหว่านหว่านก่อนนะ! เป็นเรื่องที่ส่งผลร้ายกับเธอ หรือว่าจะพบหลักฐานใหม่ ในเวลาแบบนี้ แล้วจะเกี่ยวข้องกับบริษัทลี่ซื่อไหม”
บริษัทลี่ซื่อ?
หรือว่าจะเป็นลี่เฉินซี
คิ้วของซูย้าวขมวดขึ้น เขาได้มาพบเธอจริงๆ ฟังจากน้ำเสียงและคำพูดคำจาแล้ว เขามีความต้องการที่จะปกป้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกจริง เพียงแต่การใช้กลอุบายแบบนี้ ไม่ใช่วิธีของเขาอย่างแน่นอน
เธอบอกว่าเท่าที่รู้จักลี่เฉินซีมา เขายังไม่ถึงขั้นใช้วิธีสกปรกเช่นนี้
เห็นใบหน้าของเธอที่แบกรับเรื่องหนักใจ หลินเวยได้แต่ปลอบใจอยู่ข้างๆ “ไม่เป็นไร พวกเรารอหว่านหว่านมาก่อน ฟังเรื่องราวดูก่อน ฉันยังอยู่ทั้งคน และจะต้องช่วยเธอเรียกร้องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกให้คืนกลับมาอย่างแน่นอน!”
หลินเวยเก่งกาจทั้งด้านพลังและความสามารถ ซูย้าวมั่นใจว่าเธอสามารถทำได้
เพียงแต่ว่าต่อให้เก่งกาจมั่นใจมากแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้กับคนที่มีจิตใจจงใจใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้อย่ามีอะไรเกิดขึ้นเป็นดีที่สุด!
ในเวลาขณะเดียวกัน รถยนต์ที่ยังคงวิ่งอยู่ระหว่างทาง อานโล๋กับคนขับรถกำลังคุยกันถึงเรื่องครอบครัวทางบ้าน ด้วยวัยนี้แล้วไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยเกี่ยวกับลูกหลานของตัวเอง
คนขับรถได้ถามขึ้นว่า “คุณดูรีบร้อนมากเลย จะโทรศัพท์ก่อนไหม”
อานโล๋ยิ้มเบาๆ “ไม่ต้องค่ะ ฉันเข้าใจลูกสาวของฉันดี ไม่เป็นไร ฉันรู้รหัสทางเข้า ฉันสามารถรอเธอที่คอนโดฯได้”
กำลังคิดว่าจะทำอาหารเตรียมพร้อมไว้ให้ลูกสาวด้วย ไม่รู้ว่าลูกสาวคนนี้ได้ดูแลตัวเองบ้างหรือเปล่า กำลังท้องกำลังไส้ คงไม่ค่อยได้ทานอาหารดีๆแน่ๆเลย
อานโล๋เห็นซูปเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ข้างทาง จึงพูดขึ้นว่า “พี่ชาย จะสามารถจอดที่นี่สักพักได้ไหม ฉันขอเข้าไปซื้อผักซื้อปลาสักหน่อย” คนขับรถเป็นคนที่ค่อนข้างใจดี เขาจึงตอบตกลง
อานโล๋ใช้เวลาให้เร็วที่สุดในการเลือกซื้อสิ่งของจำพวกผักสด ผลไม้ เนื้อสัตว์ และไก่กระดูกดำอีกหนึ่งตัว เพื่อจะใช้ตุ๋นซุปให้กับซูย้าวในคืนนี้
จากนั้นก็ขึ้นรถอีกครั้ง ระยะทางจากนี้ไปคอนโดฯใช้เวลาไม่น่าเกินยี่สิบนาที อานโล๋หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาเตรียมพร้อมไว้เพื่อจะจ่ายค่าโดยสาร
ทางฝั่งสำนักงานฝ่ายกฎหมาย การรอคอยที่ยาวนาน ไม่รู้ทำไมซูย้าวถึงรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี ว้าวุ่นใจแบบอธิบายไม่ถูก เหมือนกับว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
และหนังตาซ้ายยังกระตุกตลอดเวลาอีก ให้ความรู้สึกลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
ประตูห้องได้ถูกผลักออกด้วยตำรวจหลายนาย มีตำรวจหญิงคนหนึ่งได้เดินมาข้างหน้า เมื่อเห็นซูย้าวกับหลินเวย จึงได้พูดขึ้น “ท่านใดคือคุณซูย้าวคะ”
ซูย้าวใช้มือชี้มาทางตัวเอง
ตำรวจหญิงก้าวไปข้างหน้าและแสดงหมายจับออกมา “เนื่องจากคุณคือผู้ต้องสงสัยในคดีลักพาตัว ตอนนี้ได้หลักฐานมาเพิ่มเติม จึงขอเชิญตัวคุณไปให้ปากคำเพิ่มเติมกับพวกเราหน่อยค่ะ”
เมื่อพูดจบ ก็ได้หยิบกุญแจมือออกมา
หลินเวยจึงได้ก้าวมาข้างหน้าเพื่อขัดขวางการกระทำของตำรวจหญิง “ต่อให้ทางตำรวจจะได้หลักฐานมาใหม่ ซูย้าวก็ยังเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย ยังไม่ได้ถูกตัดสินว่ามีความผิด การใช้กุญแจมือแบบนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้องนะคะ!”
“……”
ตำรวจหญิงได้แต่เงียบอย่างจนปัญญา ทำได้เพียงเก็บกุญแจมือกลับอีกครั้ง และพาซูย้าวมุ่งเดินออกไปด้านนอก
เมื่อเธอจากไป หลินเวยก็ได้รีบโทรหาโม่หว่านหว่านทันที….
ที่ถนนใกล้ๆคอนโดฯ คนขับรถกำลังคุยสายอยู่กับโทรศัพท์สายหนึ่ง กำลังคุยกันอย่างสนุก ทันใดนั้นก็มีรถตู้โผล่ออกมาจากทางโค้งด้านหน้า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆรถคันนั้นได้พุ่งเข้ามาชนรถแท็กซี่ของพวกเขา
คนขับรถเห็นดังนั้น ตกใจจนตาเบิกกว้าง ตัดสินใจหมุนพวงมาลัยไปทางอื่น แต่ทว่าก็ช้าไปเสียแล้ว
รถที่ขับตามหลังมาเบรกไม่ทัน ได้ชนกระแทกเข้ามาอย่างแรง จึงโดนอัดก๊อบปี้ด้วยรถตู้ที่พุ่งชนเข้ามากับการกระแทกอย่างจังของคันที่อยู่ด้านหลัง รถยนต์คันแท็กซี่รับแรงกระแทกไม่ไหว ถูกชนลอยเคว้งคว้างสู่อากาศ
และกลิ้งหมุนอยู่ในอากาศหลายตลบ จนในที่สุดก็ได้ตกลงมาจนรถทั้งคันพลิกคว่ำ
ทันใดนั้นบนถนนก็วุ่นวายไปหมด เสียงรถเบรกเสียงแตรดังขึ้นของรถยนต์แต่ละคัน จนเละตุ้มเป๊ะเละเป็นโจ๊ก
เสียงไซเรนของรถตำรวจก็ดังขึ้น รถตำรวจที่ใช้คุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ผ่านมาทางนี้พอดี และผ่านรถคันที่ประสบอุบัติเหตุในระยะกระชั้นชิด
ตำรวจที่นั่งขนาบข้างซูย้าวทั้งสองคนชำเลืองมองสถานการณ์ด้านนอก แล้วก็ใช้วิทยุสื่อสารเรียกตำรวจที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงให้รีบมาในที่เกิดเหตุ จากนั้นก็โทรหาหมายเลขฉุกเฉินทันที
ซูย้าวที่นั่งอยู่ในรถ มีคนมากมายที่มามุงดูเหตุการณ์ จึงเห็นได้ไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าวินาทีนั้น เธอกลับรู้สึกหัวใจเต้นกระตุกอย่างแรง ดวงตารู้สึกเป็นทุกข์ เหมือนกับว่าอยู่ๆก็สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป…..
ความรู้สึกนี้ ไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย