บทที่ 262 ยังจะเอาอะไรมาทำให้ฉันเชื่ออีก
เช้าวันต่อมา โรงแรมโซฟีเชีย
ห้องชั้นบนสุดที่ราคาแพงและหรูหรา ที่สร้างขึ้นมาอย่างอลังการ อย่างกับในพระราชวังที่งดงามตระการตา ห้องโถงเป็นรูปแบบของฝั่งตะวันตก ซูย้าวนั่งอยู่บนโซฟาอย่างสง่างาม เพื่อรอแขกมาพบ
คณบดีฉินหมอศัลยกรรมสมองจากโรงพยาบาลเซ็นเดอร์กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับเลขา แล้วค่อยๆ เดินผ่านเสาโรมันเข้ามา ถึงได้มาถึงห้องโถง
คณบดีฉินกวาดตามองไปรอบๆ อย่างตะลึง แล้วค่อยหันไปมองผู้หญิงที่นั่งบนโซฟา และรู้สึกคุ้นหน้า แต่ก็เหมือนไม่คุ้น มีความรู้สึกว่าเหมือนเคยเจอที่ไหนซักที่
เขาไม่ได้สนใจ แต่อย่างน้อยมารยาทก็ต้องมีอยู่
คณบดีฉินเดินเข้ามา แล้วก็ก้มหน้าเพื่อทำความเคารพ “คุณผู้หญิงท่านนี้ ได้ยินว่าอยากพบผมเหรอ?”
เลขาที่อยู่ด้านข้างจึงรีบเข้ามาเพื่อแนะนำ “ท่านนี้คือ………”
เธอยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกซูย้าวส่งสายตาขัดจังหวะ แล้วพูดขึ้นเบาๆ “ที่อยู่ตรงหน้าของคุณ ฉันมีเพียงสถานะเดียว ครอบครัวเจ้าของไข้ของคุณ ฉันคือแม่ของลี่เจิ้ง ชื่อ ซูย้าว”
“แม่ของลี่เจิ้ง?”
คณบดีฉินพูดซ้ำอีกครั้ง แล้วก็อึ้งไป——
แม่ของลี่เจิ้ง?
ที่รู้คือ ไม่กี่ปีมานี้ คนในประเทศที่พอจะรู้เรื่องบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป ก็ต้องรู้จัก ลี่เฉินซี ประธานกรรมการบริหาร และก็ต้องรู้เรื่องลูกชายของเขา ลี่เจิ้ง คนที่จะเป็นคนสืบทอดต่อไป
แต่สำหรับเรื่องแม่ของลี่เจิ้งนั้น กลับไม่มีใครรู้เลย ไม่มีกล้าใครพูด และก็ไม่กล้าถาม
เหตุผลเพราะอะไรนั้น มันก็นานมากแล้ว จำไม่ได้แล้ว
อยู่ดีๆ แม่ผู้ให้กำเนิดโผล่มาแบบนี้ แถมยังนั่งเหมือนกับตำแหน่งพระราชาต่อหน้าเข้าแบบนี้ ทั้งสง่า ดูมีระดับ ท่าทางที่เลอค่าดั่งราชนิกุล ทุกท่วงท่าล้วนแต่ทำให้รู้สึกว่าเป็นผู้ดี มีชาติตระกูล
มิน่าล่ะเขาถึงรู้สึกว่าเธอดูคุ้นๆ จำได้ว่าหลายปีก่อน ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่เห็นรูปเธอในข่าวของเวยป๋อ แต่ในความทรงจำคือ เธอดูเหมือนจะเป็นคนใบ้ ทำไม…….ทำไมถึงพูดได้แล้ว!
พอนึกย้อนดูเรื่องราวต่างๆ ซูย้าวก็ส่งสายตาเพื่อเชิญให้เขานั่งลง
คณบดีฉินจึงนั่งลงบนโซฟา เลขาก็เดินเอาน้ำชามาเสิร์ฟ แต่เขากลับไม่สนใจที่จะดื่ม แล้วถามออกไปตรงๆ “ในเมื่อคุณเป็นแม่ของลี่เจิ้ง งั้นที่ตามผมมาพบก็คงอยากรู้อาการของเขาสินะ!เกี่ยวกับ……..”
คำพูดที่เกี่ยวกับอาการของเขาดูเหมือนจะยาวเหยียดจึงถูกเธอพูดขัดขึ้นมา เธอทำสีหน้าจริงจัง และดูไร้เยื่อใยมาก พลางพูดขึ้นเสียงแข็ง “ที่ฉันเชิญคณบดีฉินมาที่นี่ คุณก็น่าจะรู้ดีแก่ใจว่าสิ่งที่ฉันต้องการอยากรู้คืออะไร?”
“เอ่อ…….”
คณบดีฉินยังคงงุนงง พลางกลอกตาไปมา แล้วก็เหมือนจะนึกได้เกี่ยวกับบางอย่าง แต่กลับทำกลบเกลื่อน แล้วพูดขึ้น “ก็เรื่องเกี่ยวกับอาการของเด็กไง!ผมก็กำลังจะอธิบายกับคุณ………”
“คณบดีฉิน ฉันมีเวลาอีกไม่มากแล้ว”
ประโยคนี้ของซูย้าว ทำให้คณบดีฉินกระอึกกระอัก และทันใดนั้นบรรยากาศก็ยิ่งทำให้อึดอัด
“แต่ว่า ผมก็ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณต้องการจะถามเรื่องอะไร!” เขาพูดขึ้น
ซูย้าวหันไปมองเขา แล้วก็ยิ้มออกมามุมปาก พลางแสดงออกถึงความเจ้าเล่ห์ ใช้ตามองลงต่ำ เพื่อแสดงออกอย่างชัดเจน
เธอนั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับตัวเลยสักนิด เพียงแต่พูดว่า “ในเมื่อคณบดีฉินไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันต้องการจะถาม งั้นก็ไม่รบกวนแล้ว!”
คณบดีฉินรู้สึกโล่งใจที่ตัวเองรอดแล้ว พลันลุกขึ้น
ซูย้าวพยักหน้าเชิงอนุญาต แล้วจึงหันไปกำชับเลขา “บอกหมอAngelinaให้ทำการตรวจร่างกายของเจิ้งเอ๋อ ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
“ได้ค่ะ ฉันจะไปจัดการตอนนี้”
เลขายังไม่ทันจะออกไป คณบดีฉินก็หยุดเดินทันที และไม่กระดุกกระดิก
เขาขวางเลขาไว้ หลังจากนั้นเขาก็เดิมกลับมาที่เดิม และพูดขึ้นทันที “ตอนนี้อาการของลี่เจิ้งอยู่ในขั้นวิกฤติ ไม่ควรตรวจร่างกายโดยพลการอีก!”
“หะ?อย่างงั้นเหรอ?” ซูย้าวพูดขึ้นเสียงเรียบ เหมือนไม่รู้สึกอะไร “แต่ก็อย่าลืมล่ะ ว่าฉันเป็นแม่ของเขา ฉันมีสิทธิ์อนุญาตให้ตรวจได้ตลอด การตรวจร่างก่ายหรือเปลี่ยนหมอก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!”
คณบดีฉินรู้สึกลำบากใจมาก พอคิดไปคิดมาจึงพูดขึ้น “แต่เท่าที่ผมรู้มา สิทธิ์การเลี้ยงดูลี่เจิ้งนั้นขึ้นอยู่กับประธานลี่นี่!และก็หมายความว่า ถ้าไม่ได้พูดจากปากประธานลี่ ถึงคุณจะเป็นแม่ของลี่เจิ้ง คุณก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!”
ซูย้าวเริ่มฉุนเฉียวแล้วมองเขม่น กล้าขนาดเอาลี่เฉินซีมาข่มเธอ!
เหอะเหอะ
นึกว่าฉันยังเป็นผู้หญิงใบ้เหมือนห้าปีก่อนอย่างงั้นเหรอ?
ทันใดนั้น ซูย้าวก็เปลี่ยนทันที แล้วหันไปสั่งเลขาอีกครั้ง “เธอไปบอกทนายหลิน บอกให้หล่อนติดต่อไปหาลี่ซื่อกรุ๊ป”
“รับทราบ!”
และเธอก็มองมาทางคณบดีฉินด้วยหางตา ซึ่งเต็มไปด้วยความมืดครึ้มและเยือกเย็น แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็ยังคงนุ่มนวล ไม่ได้พูดรุนแรง “คำพูดของคณบดีฉิน ได้เตือนฉันพอดีเลย เรื่องปัญหาสิทธิ์การเลี้ยงดู ฉันเองก็อย่างจะคุยกับประธานลี่อยู่พอดี”
เธอพูดออกมาอย่างสบายใจ และดูท่าทางอ่อนโยน แต่ว่าสายตาของเธอนั้นดูดุดันอย่างมาก แต่กลับสามารถเตือนอีกคนได้ว่า สิทธิ์การเลี้ยงดูนั้น เธอเองก็ทำได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ!
ลี่เฉินซีไม่ใช่ปัญหาของเธออีกต่อไป
ถึงตอนนี้เขาจะลงมือ ซูย้าวก็ไม่ได้มีอะไรต้องกลัว แต่กลับมีหลายเรื่องที่ต้องการถามเขาด้วยตัวเอง
คณบดีฉินสบตากับเธออยู่ไม่กี่วิ และในช่วงขณะนั้น ก็สามารถเอาชนะเขาได้ จนเขาก้มหน้าลง “คุณอย่าบีบบังคับผมเลย!ได้ไหม?ผมจะพยายามรักษาลี่เจิ้งเอง พอใจหรือยัง?”
อยู่ดีๆ เขาก็เปลี่ยนไปแบบนี้ และก็เป็นอย่างที่ซูย้าวคิดเอาไว้ไม่มีผิด เธอหัวเราะออกมา “ฉันจะไม่บีบคุณ แค่คุณยอมพูดความจริง!”
คณบดีฉินลังเลอยู่พักหนึ่ง พอคิดว่าได้กับเสียเท่ากัน สุดท้ายเขาก็สุดจะทน เพียงแค่พูดความจริงออกไป——–
“แผลที่ศีรษะของลี่เจิ้งนั้นเป็นแผลข้างนอกที่เกิดจากอุบัติเหตุ แม้ว่าจะผ่าตัดสำเร็จ แต่เขาก็เสียเลือดมาก และสมองก็ขาดอากาศนาน ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะฟื้นขึ้นมาตอนไหน”
นานมาก กว่าจะได้รู้ความจริง
“แต่ว่าตอนที่ผมตรวจร่างกายของลี่เจิ้ง พบว่าในร่างกายเขาได้รับสารพิษบางอย่าง ที่เกี่ยวกับยากล่อมประสาท ถ้าหากว่าใช้นานไปจะส่งผลให้สายตาพร่ามัว ถ้าหากไม่มาพบตอนเกิดอุบัติเหตุนี้ ถ้าใช้ไปนานอีกหน่อย เด็กก็จะเสียสายตาจนทำให้มองไม่เห็นเลย!”
พอคณบดีฉินพูดจบ ก็พลันแสดงสีหน้าหวาดกลัว แล้วหันไปพูดกับซูย้าว “ผมพูดความจริงทั้งหมดแล้ว ทุกอย่างคือความจริง!และผมไม่ได้เป็นคนทำ ไม่ใช่ฝีมือของผม!”
เขาเองก็เป็นเพียงหมอคนหนึ่ง ที่บังเอิญมาพบกับความลับนี้ ถึงได้นั่งไม่ติดแบบนี้
เพียงแค่เรื่องทุกอย่างเปิดเผยออกมา หัวใจซูย้าว ก็แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับว่ามีสายฟ้าฟาดลงมาที่ตัวเธอ ที่นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น
และเธอก็พอจะเดาได้ว่า “อุบัติเหตุ” ของลี่เจิ้งครั้งนี้ก็ต้องมีเงื่อนงำบางอย่างแน่นอน แต่ไม่เคยคิดมาก่อน ว่าจะมีคนกล้าวางยา ทำร้ายลูกชายเธอถึงขนาดนี้!
เจิ้งเอ๋อพึ่งจะแปดขวบเอง!
เด็กอายุแปดขวบ ไปทำอะไรให้ใคร ถึงได้ลงมือวางยาทำร้ายกันอำมหิตแบบนี้……
ถ้าพูดอีก ถ้าไม่ใช่ว่าเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ ใช้ไปอีกหน่อย และเพราะสูญเสียการมองเห็น เจิ้งเอ๋อก็อาจจะเกิดเรื่องอย่างอื่นขึ้นก็ได้
ช่างเป็นหมากที่วางได้สวยมาก ฆ่าคนอย่างไร้ร่องรอยจริง!
และในขณะนั้น สีหน้าของซูย้าวก็ยิ่งดูไม่ดีเอามากๆ หัวใจของเธอกำลังปะทุ และอยากจะทำลายทุกอย่างให้สิ้นซาก!
คณบดีฉินรู้สึกท่าไม่ดี กลัวจนเอาแต่กลืนน้ำลาย “ไม่ใช่ฝีมือผมจริงๆ ……”
เธอจึงหันมามองเขาแล้วถามขึ้นเสียงแข็ง “ลี่เฉินซีรู้เรื่องนี้ไหม?”
“ผมไม่กล้าพูด หลังจากที่ตรวจร่างกายเสร็จ ก็คิดว่าจะมารายงานประธานลี่กับนายหญิงใหญ่ทีหลัง แต่ว่าอยู่ดีๆ เงินในบัญชีของผมก็เข้าหนึ่งร้อยล้าน แล้วก็ไม่รู้ว่าใคร ที่อยู่ดีๆ ก็ส่งข้อมูลภรรยาและลูกสาวผมอย่างละเอียดมาให้ ผมเลยกลัวว่าจะเกิดเรื่อง เลยไม่กล้าบอกใครเลย”
งั้นก็แสดงว่า คณบดีฉินก็ไม่รู้ว่าคนที่ทำนั้นเป็นใครกันแน่ เพียงแค่ดันไปรู้ความลับนี้เข้า แล้วก็ได้เงินมา
พอเลขาไปส่งคณบดีฉิน ซูย้าวก็นั่งคนเดียวอยู่นาน ตอนแรกเธอคิดว่าการที่เธอจากไปนั้น จะทำให้เขาได้สมปรารถนา และก็ดูแลลูกเป็นอย่างดี แต่กลับไม่นึกเลยว่า จะได้สิ่งนี้กลับมาแทน
นี่คือสิ่งที่เขาตกปากรับคำอย่างนั้นเหรอ?
คำพูดของผู้ชาย มันก็แค่ลมปากสินะ!
“ลี่เฉินซี ถ้าหากเจิ้งเอ๋อเป็นอะไรไป คุณก็อย่าคิดว่าจะรอด!”