บทที่ 273 คุณเป็นพ่อภาษาอะไร
วันต่อมา ณ ห้องอาหารชั้นล่างโรงแรมโฟร์ซีซั่น
ลี่เฉินซีไม่ได้นอนมาทั้งคืน เพียงแค่ขึ้นไปอาบน้ำอยู่ที่ชั้นบนเท่านั้น เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลงมารับประทานอาหารเช้าด้านล่าง ใบหน้าของเขาราวกับใบหน้าของเทพเจ้าที่มีเมฆครึ้มและแสงเย็นนับไม่ถ้วนแผ่ออกมาจากสายตาอันเยือกเย็น เหมือนภูเขาอันหนาวเหน็บที่นั่งอยู่ตรงนั้น ทั้งร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความหงุดหงิด
ลู่ส้าวหลิงเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ถึงมาที่โรงแรมตั้งแต่เช้าตรู่ มองเห็นลี่เฉินซีจากที่ไกลๆ ได้แต่จ้องสังเกต จากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
ต้องรู้ไว้ว่า ลี่เฉินซีนี่เป็นใคร ไม่ว่าเขาจะโกรธมากแค่ไหน หรือมีความสุขมากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยเปิดเผยอารมณ์ของเขาเลย เขาควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก การเก็บซ่อนอารมณ์ภายใต้สีหน้านั้นเป็นปกติของเขา แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น
“เป็นอะไรไป ทำไมวันนี้อารมณ์เสียแต่เช้าเลย?”
ลู่ส้าวหลิงหัวเราะคิกคักแล้วเดินเข้าไปทักทาย พร้อมกับดึงเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงกันข้าม
ลี่เฉินซีไม่มีเวลามาหัวเราะคิกคักกับเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่เปิดดูรายงานข่าวตอนเช้า ด้วยสายตาอันเยือกเย็น
“เมื่อคืนนายพักที่โรงแรมงั้นเหรอ?” ลู่ส้าวหลิงได้กลิ่นเจลอาบน้ำบนตัวเขา
และเจลอาบน้ำนี้ เป็นแบรนด์เฉพาะที่จัดทำขึ้นโดยโรงแรมโฟร์ซีซั่นภายใต้ชื่อแบรนด์ลู่
ลี่เฉินซีไม่แม้แต่จะเงยหน้ามอง และยังคงไม่ตอบสนองใดๆ
ลู่ส้าวหลิงขมวดคิ้วหนักขึ้น “นี่นายก็ชอบนอนที่โรงแรมตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
ประโยคนี้ ดึงดูดความสนใจของลี่เฉินซีขึ้นมา
ใบหน้าอันหล่อเหลาเงยขึ้นมาเล็กน้อย สายตากวาดมองเขาแวบหนึ่ง ริมฝีปากขยับเบาๆ “ก็?”
“ใช่ ซูย้าวเองก็พักที่โรงแรมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? หล่อนย้ายออกมาจากบ้านของตระกูลซู มาอยู่ที่โรงแรมนี่” ลู่ส้าวหลิงเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย ‘ซูย้าว’ที่ออกมาจากปาก เขาไม่ได้รู้สึกตงิดอะไรแม้แต่น้อย ราวกับว่ากำลังคุยเรื่องคนอื่นทั่วๆไปอยู่
หลังจากที่เงียบไปแป๊บนึง เขาก็พูดต่อ “ได้ยินมาว่า หลายปีมานี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนซูย้าวก็จะอาศัยอยู่ที่โรงแรมตลอด ไม่ได้อยู่บ้าน เป็นหลักเป็นแหล่ง”
“……”
สีหน้าของลี่เฉินซีมืดครึ้มลง “ดูแล้ว นายคงรู้จักเธอดีเลยสินะ”
“ก็ไม่ขนาดนั้น แค่คุยกันนิดๆหน่อยๆที่งานเลี้ยงเมื่อคืนไม่กี่คำ!” ลู่ส้าวหลิงหยิบตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งขึ้นมา แล้วฉีกซองออก
พนักงานนำอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้ ก่อนจะไป ลู่ส้าวหลิงก็พูดต่อว่า “เอาน้ำผึ้งอุ่นๆ มาให้อีกแก้วนึงนะ”
จากนั้น เขาก็มองเห็นลี่เฉินซีมีสีหน้าเจื่อนๆเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก นั่นเป็นไปได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น“เมื่อคืนนายดื่มอีกแล้วเหรอ?”
เมื่อถูกจับได้ ลี่เฉินซีก็วางหนังสือพิมพ์ลงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาลุกขึ้นและหันหลังเดินออกไปอย่างเฉยเมย
เสียงของลู่ส้าวหลิงก็ดังตามหลังมาอีกครั้ง “ในเมื่อเธอกลับมาแล้ว ถ้านายคิดถึงก็ไปหาเธอซะสิ! พวกนายก็มีลูกด้วยกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
มันก็ใช่ ที่พวกเขามีลูกด้วยกัน
ตอนนี้เจิ้งเอ๋อป่วยหนัก อาการโคม่า และหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาล
ส่วนลูกสาว……
ในช่วงเวลา 5 ปีมานี้ เขาไม่เคยไปเจอกับลูกสาวเลย ในตอนนี้เขาเป็นหนี้ลูกสาวสำหรับความรักจากพ่อในระยะเวลา 5 ปีนี้ และแม้ในตอนนี้เขาจะไปเจอลูก ก็ไม่รู้ว่าลูกจะจำเขาได้หรือเปล่า?
ระหว่างเขากับเธอ ดูเหมือนจะไม่สามารถเอาลูกมาอ้างเพื่อแก้ไขปัญหาในอดีตได้
ลี่เฉินซียืนพิงรถสูบบุหรี่พักใหญ่ มองผู้คนบนถนน เห็นพ่อแม่ที่พาลูกๆเดินผ่านไปมา ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูกคอยตอกย้ำเขาอย่างต่อเนื่อง
เขาโยนบุหรี่ทิ้ง และใช้เท้าเหยียบเพื่อดับไฟ
เปิดประตูรถเข้าไปนั่งที่เบาะคนขับ ยังไม่ทันสตาร์ทรถ เขาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ที่ด้านหลัง เขาปลดเข็มขัดนิรภัยออกด้วยความประหลาดใจ หันไปมองชุดสูทของเขา ราวกับว่ามันปกคลุมอะไรบางอย่างเอาไว้ แขนเรียวยาวของเขาดึงเสื้อสูทออก ทันใดนั้น เขาก็ต้องตกตะลึง
บนรถ……มีเด็กอยู่!
ร่างผอมบางขดตัวอยู่ระหว่างช่องว่างของเบาะภายในรถ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ไม่รู้ว่าผ่านอะไรมาบ้าง หลายจุดมีรอยเผา เหมือนถูกไฟไหม้
ลี่เฉินซีลงจากรถด้วยความประหลาดใจ เปิดประตูเบาะหลัง และจ้องมองไปที่เด็กที่อยู่ในรถ เขาแตะที่แขนของเด็กคนนั้นเบาๆอย่างระมัดระวัง “เฮ้ นี่หนูเป็นลูกเต้าเหล่าใคร? แล้วหนูมาทำอะไรตรงนี้?”
มีเพียงแค่ความเงียบเท่านั้น ตอบกลับมา
เมื่อเขาออกแรงเขย่าเด็กคนนั้นมากขึ้น ร่างเล็กๆนั้นสั่นไหว เขาจึงพบว่า เด็กคนนั้นได้หมดสติไปแล้ว
สายตาของลี่เฉินซีตรึงเครียด เขารีบอุ้มเด็กคนนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว และบังเอิญไปเห็นรอยแผลไหม้ที่ขา ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
เขารีบขับรถไปที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว ในห้องฉุกเฉินหน่วยแพทย์ต่างกำลังวุ่นกับการทำแผลจากการถูกไฟไหม้และตรวจร่างกายของเด็กอย่างละเอียด
และที่ด้านนอก พยาบาลเดินออกมาจากห้องรักษา มองไปที่ลี่เฉินซี อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “คุณเป็นพ่อแม่ประสาอะไร? เด็กถูกไฟไหม้ขนาดนี้ทำไมไม่พามาโรงพยายามให้เร็วกว่านี้?”
“……”
“คุณรู้ไหมว่า ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว แผลก็จะติดเชื้อได้นะคะ! เด็กคนนี้อายุก็ยังไม่เท่าไหร่ ถ้าแผลติดเชื้อ ก็อาจทำให้เกิดโรคอื่นๆแทรกซ้อน และอาจถึงแก่ชีวิต! คุณเป็นพ่อ กรุณาใส่ใจมากกว่านี้หน่อยนะคะ!”
“……”
พยาบาลรู้สึกสงสารเด็กมาก เธอบ่นใส่ลี่เฉินซีไปพร้อมๆกับส่ายหน้าและถอนหายใจอย่างเวทนา และสุดท้ายเธอก็เร่งเร้าอีกครั้ง “เด็กต้องเข้ารับการรักษา คุณรีบไปทำประวัติเถอะค่ะ!”
“……”
ลี่เฉินซีมองเอกสารที่พยาบาลมอบให้อย่างทำอะไรไม่ถูก คิ้วคมเข้มของเขาก็ขมวดเข้าหากัน เขาไม่ใช่พ่อของเด็ก จู่ๆเขาก็ถูกสั่งสอน จนพูดไม่ออกเลยจริงๆ!
ณ สนามบิน เมืองA
เที่ยวบินจากฟิลาเดลเฟีย มาถึงเมืองนี้อย่างตรงเวลา ส่วนซูย้าวกับโม่หว่านหว่านก็มารออยู่ที่นี่นานแล้ว
ไม่ได้เจอลูกสาวมานาน ซูย้าวรู้สึกตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก อยากจะเจอลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองไวๆ
ในที่สุด อีกฟากหนึ่งของทางเดิน ก็ปรากฏร่างที่คุ้นเคยกลางผู้คนมากมายจากไกลๆ
หลินโม่ป่ายสวมชุดลำลอง แว่นตาสีดำ ช่างสง่างามและอ่อนโยนราวกับหยก เขาเข็นรถสัมภาระ และอีกด้านหนึ่งก็มีร่างเล็กๆเป็นเหมือนเงาที่ตามเขามาติดๆ
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ โม่หว่านหว่านก็กรีดร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “ซีซี…..”
ซูย้าวรีบก้าวออกมาข้างหน้า เธอย่อตัวลง และมองไปที่สาวน้อยที่ดูงดงามราวกับตุ๊กตา แล้วเอ่ยขึ้น “ซีซี คิดถึงแม่ไหมจ๊ะ?”
ดวงตากลมโตของสาวน้อยมองมาที่เธอ แล้วพยักหน้าอย่างช้าๆ
“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ! แม่ก็คิดถึงหนูนะจ๊ะ!” ซูย้าวพูดขึ้น พร้อมกับยื่นมือไปอุ้มลูกสาวขึ้นมา
ซีซีโอบรอบคอเธออย่างเชื่อฟัง แล้วจูบที่แก้มของเธอเบาๆ เพื่อแสดงความคิดถึง
โม่หว่านหว่านก็รีบพูดขึ้นทันที “มาหอมแม่บุญธรรมบ้างสิจ๊ะ แม่บุญธรรมก็คิดถึงหนูเหมือนกันนะ!”
ซีซีพยักหน้า โม่หว่านหว่านจับหน้าน้อยๆของเธออย่างดีใจ “ซีซีของแม่น่ารักจริงๆ! มามะ ให้แม่บุญธรรมอุ้มหน่อย!”
หลังจากรับเด็กสาวมาจากอ้อมกอดของซูย้าว ผู้คนก็เดิมทยอยเดินออกไปข้างนอก
“ขอบคุณนะสำหรับช่วงนี้ ที่คอยช่วยดูแลซีซี……” ซูย้าวกล่าวขอบคุณ
หลินโม่ป่ายรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “ไม่ต้องขอบคุณผมเลย ซีซีเป็นเด็กดีมาก แทนที่จะเป็นผมที่ดูแลน้อง เป็นน้องซะมากกว่าที่ดูแลผม!”
“เอ๊? ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นล่ะ?” โม่หว่านหว่านถาม
เขาอมยิ้ม “เมื่อพวกคุณไปได้ไม่นาน ผมก็ไม่ค่อยสบาย ยังดีที่มีซีซีคอยอยู่ข้างๆ คอยดูแลส่งน้ำส่งยาให้ ช่างรู้ภาษาเสียจริงๆ!”
เมื่อได้ยินคำชมของหลินโม่ป่าย ซูย้าวก็รีบหันไปมองลูกสาวของเธอ “ซีซีลูกรักของแม่เก่งขนาดนี้เลยเหรอ?ดีจริงๆเลยนะ”
ซีซีได้แต่อมยิ้ม รู้สึกเขินอายเล็กน้อย แก้มแดงซุกหน้าหลบอยู่หลังลำคอโม่หว่านหว่าน
ซูย้าวมองเธอและได้แต่ยิ้ม คนก็เริ่มทยอยขึ้นรถกันแล้ว
ความจริงแล้ว ซีซีเป็นเด็กดีเสมอไม่ว่าไปที่ไหน ตั้งแต่เล็กๆ เธอเป็นเด็กที่เชื่อฟัง ไม่งอแง ทำให้ซูย้าวสบายใจมาก
ข้อเสียอย่างเดียวคือเธอไม่พูดไม่จา
เธอพูดได้ แต่เธอไม่ยอมพูด
ทั้งหมดก็เพราะเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อน หลังจากนั้นมาซีซีก็ไม่เคยเปิดปากพูดอีกเลย ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมยังไง ซีซีก็ไม่พูดออกมาสักคำ……
ระหว่างทางกลับโรงแรม ซีซีเพลียเล็กน้อย จึงผล็อยหลับไปบนตักของซูย้าว
เธอมองไปที่ลูกสาวของเธอที่อยู่ในอ้อมแขน และลูบผมหล่อนเบาๆ
ทันใดนั้นซีซีไม่รู้เป็นอะไร จู่ๆหล่อนก็ลืมตาขึ้น สีหน้าซีดเผือด สองมือกอดตัวเองแน่น ราวกับเกิดเรื่องอะไรขึ้น และดูเหมือนว่าจะเจ็บปวดที่ร่างกายส่วนไหนสักแห่ง หล่อนหดตัวเข้าไปในอ้อมกอดของซูย้าวด้วยความหวาดกลัว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซีซีเป็นแบบนี้
ว่ากันว่าหัวใจของฝาแฝดเชื่อมต่อกันเมื่อคนหนึ่งเจ็บปวด อีกคนหนึ่งก็จะรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน
ซูย้าวกอดลูกสาวในอ้อมแขนของเธอ และถอนหายใจอย่างขมขื่น พรางนึกถึงลูกอีกคนของเธออยู่ที่ไหนกันนะ?