บทที่ 290 รอฉันไม่มีธุระแล้วค่อยมาทะเลาะกับคุณ
เมื่อออกมาจากป้าหลินกรุ๊ปก็เป็นเวลาตอนเช้าสิบเอ็ดโมงกว่า ซูย้าวมองดูเวลาแล้ว ไม่มีความรีบร้อนในการกลับโรงแรม จึงได้นั่งรถในเมืองที่พลุกพล่าน
การมาฝรั่งเศสครั้งนี้ ไม่ว่าเรื่องงานผลจะเป็นอย่างไร ก็ต้องหาเวลาไปเดินตลาดเล่นๆ เพื่อซื้อของติดไม้ติดมือไปฝากลูกสาว
อีกทั้งที่บ้านยังมีเด็กน้อยเพิ่มมาอีกหนึ่งคน สิ่งที่เตียวเตียวประสบพบเจอก่อนหน้านั้น ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ถึงแม้ว่าอาจจะอยู่ไม่อยู่กับเธอไปโดยตลอด แต่ก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน เธอไม่อยากจะปฏิบัติไม่ยุติธรรมต่อเด็ก
เดินอยู่ประมาณสองสามชั่วโมง ซูย้าวก็ซื้อของเต็มไม้เต็มมือ เป็นเสื้อผ้าและก็ของเล่นของเด็กๆ
เป็นของที่เด็กสาวชอบ และก็ของเด็กชายชอบ แตกต่างกันไป และก็แยกซื้อทั้งหมด นอกจากนี้ เธอยังเห็นตู้โชว์หน้าร้าน สิ่งที่อยู่ในหัวสมองก็คือเจิ้งเอ๋อ
เขาแปดขวบแล้ว เข้าชั้นประถมแล้ว มีผลการเรียนดี หน้าตาหล่อเหลา ถ้าไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ ตอนนี้…..
หัวใจเกิดเจ็บแปลบขึ้น เหมือนถูกแมวข่วนก็ไม่ปาน เจ็บจนหายใจแทบไม่ออก
และก็ไม่รู้ด้วยเหตุใด กระเพาะก็เกิดเจ็บปวดตามขึ้นด้วย
ตอนแรกเธอก็ไม่ได้สนใจ ยังคงซื้อของไปเรื่อยๆ จากนั้นเขียนที่อยู่ ชำระเงินแล้วให้ทางร้านส่งกลับไปให้ที่โรงแรม
แต่ว่ากระเพาะยิ่งก็อยู่ยิ่งเจ็บ อยากทำเป็นไม่สนใจก็ไม่ได้ เธอฝืนทนแล้วค้นหาในกระเป๋า กลับพบว่าไม่ได้ติดยามาด้วย แม้แต่ยาแก้ปวดก็ไม่มี ช่างเลินเล่อจริงๆ!
หลายปีมานี้ อาจเป็นเพราะว่างานนั้นยุ่งจนเกินไป อยู่ๆก็เป็นโรคกระเพาะโดยไม่รู้ตัว และอาการกำเริบอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็มักเพิกเฉยมองข้ามไป
แต่คาดไม่ถึงว่ายิ่งอยู่ยิ่งเป็นหนักขึ้น
ไม่สามารถที่จะเดินห้างสรรพสินค้าได้อีก จึงออกไปเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม
เมื่อจ่ายเงินแล้วลงจากรถ คนขับรถหันมามอง เห็นสีหน้าของเธอแล้วถึงกับถามขึ้น “คุณผู้หญิงเป็นอะไรไหมครับ”
เธอส่ายหน้า ฝืนยิ้มแล้วลงจากรถ หันหลังแล้วเดินเข้าไปในโรงแรม
เข้าไปในลิฟต์แล้วกด‘11’ จากนั้นรีบกดปิดประตูลิฟต์อย่างรวดเร็ว สายตาจ้องมองประตูลิฟต์ที่ค่อยๆปิดลง ทันใดนั้นมือเรียวยาวโผล่มาขวางประตูลิฟต์ไว้
เธอตกใจเมื่อเงยหน้าเห็นว่าเป็นลี่เฉินซี
ช่างบังเอิญจริงๆ ดันมาเจอในตอนนี้ ซูย้าวแอบฝืนอดทนต่อความเจ็บปวด เบนสายตาไปจากใบหน้าของเขา
ร่างสูงยาวของลี่เฉินซีขวางอยู่ข้างประตูลิฟต์ เพราะร่างของเขาทำให้ประตูลิฟต์ไม่สามารถปิดได้ หยุดอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ไม่สามารถขึ้นไปชั้นบนได้
ซูย้าวขมวดคิ้วมองเขา “รบกวนหลบหน่อยค่ะ”
เสียงต่ำ พูดตรงและเรียบง่าย
แต่ลี่เฉินซีกลับไม่พอใจในน้ำเสียงของเธอ จึงส่งสายตาเย็นชาใส่เธอ ใบหน้าเคร่งขรึม “นี่คุณกำลังพูดกับผมอยู่เหรอ”
“คงคุยกับอากาศมั้ง” กระเพาะซูย้าวเจ็บปวดมาก ไม่มีเวลาที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับเขาจริงๆ ต้องการแค่อยากจะขึ้นไปหายาทาน
ลี่เฉินซียิ้มเย็นชา ร่างสูงโปร่งเดินมาด้านหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมยืนพ้นไปจากตัวประตูลิฟต์ เพียงแค่เอนตัวแล้วใช้มือคว้าข้อมือของเธอ
“ซูย้าว นี่คือน้ำเสียงที่คุณใช้คุยกับผมเหรอ”
หน้าตารำคาญทำให้สีหน้าเธอยิ่งดูแย่ แม้แต่แววตาก็แฝงด้วยรำคาญ พยายามดิ้นรนแล้วพูดขึ้น “อย่างนั้นท่านคิดว่าฉันต้องใช้น้ำเสียงแบบไหน”
ตั้งใจใช้คำว่า‘ท่าน’ เพื่อประชดประชัน พร้อมด้วยสายตาเย้ยหยัน ยิ่งทำให้ลี่เฉินซีไม่พอใจ สายตาเยือกเย็น ยิ่งเพิ่มแรงในการจับมือของเธอ จนซูย้าวไม่สามารถจะขยับเขยื้อนได้อีก
“เก่งนิ เรียนรู้ในการท้าทายเป็นแล้วใช่ไหม”
ซูย้าวสูบลมหายใจเข้า พยายามปิดตาลง พยายามควบคุมความเจ็บปวดของกระเพาะ แต่กลับไม่ได้ผล จึงต้องกัดฟันอย่างจนปัญญา “คุณ…..”
เธออ้าปากค้าง แม้แต่แรงในการพูดก็เหมือนกับต้องใช้พลังอย่างมาก เธอที่เป็นแบบนี้ น้อยมากที่จะพบเห็น
ลี่เฉินซีสังเกตแววตาของเธอ รูม่านตาหดลงเล็กน้อย
“ตอนนี้ฉันมีธุระ ถ้าคุณอยากจะทะเลาะ เปลี่ยนเป็นเวลาอื่นได้ไหม” ยังคงแข็งกร้าว เพียงแต่ไร้ความหนักแน่น
ใบหน้าที่ขาวซีด แม้แต่ริมฝีปากก็ซีดเผือด เหมือนกับไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง ความเจ็บปวดที่ทนต่อไปไม่ไหว และร่างกายที่ไม่สบายออกมาให้เห็น
เธอไม่ชอบแสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น แม้ว่าจะเป็นเขาคนนี้ก็ตาม
เพราะฉะนั้นเธอจึงพยายามฝืนต่อไปเรื่อยๆ
แต่เรื่องความเจ็บปวดนี้ ใช่ว่าจะพยายามแล้วสามารถควบคุมได้
จ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอ และหน้าผากที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลี่เฉินซีขมวดคิ้วขึ้น แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในตัวลิฟต์
ประตูลิฟต์ค่อยๆปิดลง จากนั้นค่อยๆเลื่อนขึ้น
ซูย้าวถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นดึงมือออกมาจากเขาแล้วพิงอยู่ที่ผนังลิฟต์ แล้วหายใจขึ้นเบาๆ ยิ่งเผยให้เห็นเห็นร่างที่อ่อนแอ
และทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของเขา
หันข้างมามองท่าทางของหญิงสาว แววตาเคร่งขรึม ลี่เฉินซีอยากจะผุดความเย็นชาขึ้นซ้ำๆ แต่ก็ไม่สามารถจะคล้อยตามไปกับคำสั่งของสมองได้ ในที่สุดก็อดไม่ได้จึงได้เอ่ยปากถามขึ้น “เจ็บกระเพาะ?”
ด้วยคำพูดที่แผ่วเบาสามคำ ทำลายความเย็นชาบนใบหน้าของเขา ซูย้าวเงยหน้าขึ้นมามองด้านข้างของเขา ขยับปากอย่างอ่อนแรงแล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไร”
หว่างคิ้วของเขากระตุกขึ้น ผู้หญิงคนนี้มักเป็นแบบนี้ตลอด ไม่ว่าร่างกายจะแย่แค่ไหน ก็จะบอกว่าไม่เป็นไร!
เธอคิดว่าตัวเองเป็นยอดมนุษย์หรืออย่างไร ไม่เคยดูแลตัวเองให้ดีๆเลย…..
เมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้น11 ห้องของซูย้าวอยู่ด้านในสุด
เธอเดินช้าๆผ่านตัวเขาด้วยรองเท้าส้นสูง วินาทีที่จะเดินออกไปจากประตูลิฟต์นั้น ข้อแขนก็ถูกจับขึ้นอีกครั้ง
ซูย้าวหันกลับมาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้น “ฉันมีธุระจริงๆ รอฉันว่างแล้วค่อยมาทะเลาะกับคุณ โอเคไหม”
น้ำเสียงนั้น เหมือนกับใช้ในการหลอกเด็ก
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วขึ้น หรือว่าการปรากฏตัวของเขาทุกครั้ง เป็นการหาเรื่องทะเลาะกับเธอเสมอ เห็นเขาเป็นอะไรกันแน่!
กวาดไอหมอกดำในดวงตา แล้วจับมือเธอแรงๆ จากนั้นพูดด้วยเสียงต่ำและออกมาอย่างรวดเร็ว “ไปโรงพยาบาล——”
“ไปทำไมโรงพยาบาล เจ็บป่วยเล็กน้อยเอง ไม่เป็นไร!” เธอยังคงดื้อรั้น ดึงมือออกมา แล้วเดินออกออกตัวลิฟต์ไป
ลี่เฉินซีก้าวเท้าใหญ่เดินตาม ขวางทางเดินของเธออีกครั้ง “ไปตอนนี้!”
ซูย้าวเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วยิ้มขึ้น
รอยยิ้มนั้นเบาบาง ไม่มีแรง ใบหน้าที่อ่อนแรง แต่ยิ้มขึ้นอย่างงดงาม
เมื่อเห็นถึงดวงตาที่เป็นห่วงเป็นใยของเขา เธอก็รู้สึกตื้นตันใจ เธอส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น“ไม่เป็นไรจริงๆ กลับไปทานยาก็จะดีขึ้นเอง!”
แล้วเดินอ้อมตัวเขาไป สองสามก้าวเธอก็หยุดลง
เมื่อได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงหายไป ลี่เฉินซีก็สะดุ้งขึ้น เมื่อเขากำลังจะหันหลังไป กลับได้ยินเธอพูดหนึ่งประโยคขึ้น ——“ขอบคุณนะ”
วินาทีนั้น ความโกรธแค้นที่มีอยู่ กลับถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิง เดิมทีที่ความคิดแน่วแน่ กลับพ่ายแพ้ลงในเวลาเดียวกัน
เมื่อกลับไปถึงตัวลิฟต์ แล้วหันกลับมา ผนังที่เงาวาวสะท้อนเห็นใบหน้าที่รูปงาม ริมฝีปากเผลอยกโค้งยิ้มคิดอย่างไม่ตั้งใจ
ไม่รู้ว่าเป็นอารมณ์สุขหรือทุกข์ ที่ควบคุมสมองของเขา
ลี่เฉินซี ไม่ง่ายเลยที่จะรวบรวมพลังในการโกรธเกลียดเธอ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมหัวใจของตัวเองได้ นับตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวในชีวิตของเขา ทุกอย่างทั้งหมดก็เกิดการเปลี่ยนไป…..
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาหวางอี้
“ไปตรวจสอบดีๆอีกครั้ง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับจู้สือ หรือที่เกี่ยวข้องกับเธอ แล้วไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวก่อนที่เธอจะกลับประเทศสามเดือนมาทั้งหมด ยิ่งละเอียดยิ่งดี”
หวางอี้ที่อยู่ในประเทศจีนจับโทรศัพท์ไว้ แล้วขยับแว่นที่ดั้งจมูกขึ้น แล้วคิดไตร่ตรองดู ถึงได้รู้ว่าเจ้านายหมายถึงอะไร จากนั้นพยักหน้าตอบรับ
เมื่อวางสายลง ก็ถอนหายใจขึ้น
เงยหน้าขึ้นก็เห็นเลขาหลี่ที่อยู่ข้างๆ แล้วได้ยินเขาถามขึ้น “เมื่อสักครู่คุณลี่กำชับอะไรเหรอครับ”
หวางอี้กะพริบตาเล็กน้อย พูดขึ้น “ไม่มีอะไร ก็แค่ให้ผมไปตรวจสอบตลาดของกรุ๊ปk เตรียมพร้อมกับการพัฒนาโครงการมี่ไต้”
เลขาหลี่ก้มหน้าลง แล้วก็ไม่ถามต่อ
หวางอี้ฉลาดหลักแหลมมาก เลขาหลี่เป็นคนของเจี่ยงเวินอี๋ที่ส่งมา อะไรควรพูดไม่ควรพูด เขาเข้าใจเป็นอย่างดี