“ประธานลี่ ถ้าทางคุณไม่มีธุระอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ !” ทนายจินรู้สึกอึดอัดทุกทาง นั่งชั่งน้ำหนักอยู่นาน แต่ก็ยังอยากจะดึงตัวเองออกมาเพื่อไปหาเจี่ยงเวินอี๋สักหน่อย
หลังจากเงียบอยู่นานจู่ๆลี่เฉินซีก็มีท่าทีเหมือนจะเปิดปากพูด เพียงแต่น้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา และยังคงยุ่งอยู่กับงานของเขา จนดูเหมือนกำลังทำตัวสบายๆ
“คุณรู้ไหมว่าเขาเรียกตัวคุณเรื่องอะไร ?”
ทนายจินชะงักไป จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ทราบครับ หรือว่าประธานลี่ทราบ ?”
“ห้าปีก่อนคุณเคยช่วยทำคดีหนึ่ง เกี่ยวกับเด็ก คงไม่มีทางลืมหรอกใช่ไหม ?” น้ำเสียงของลี่เฉินซีทุ้มต่ำมาก ความสนใจยังคงอยู่ตรงหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง
ทันใดนั้นทนายจินถึงได้นึกขึ้นมาได้ และเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ก่อนจะพึมพำออกมา “หรือว่าครั้งนี้คุณนายใหญ่ก็คิดจะ……”
“ในเมื่อคุณเดาออกแล้ว ก็คงรู้แล้วใช่ไหมว่าจะต้องตอบยังไง ?” ลี่เฉินซีถาม ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูอึมครึมนั้น ลุ่มลึกจนยากที่จะเดาใจได้
ทนายจินเป็นแค่ทนายคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบข้อพิพาททางกฎหมายทุกอย่างของบริษัทลี่ซื่อก็ตาม แต่เรื่องความขัดแย้งภายในครอบครัวแบบนี้ เขาก็ไม่ค่อยอยากจะยื่นมือเข้าไปเกี่ยวด้วยนัก เลยขมวดคิ้วอย่างไร้ทางเลือก “งั้นความหมายของประธานลี่ก็คือ……”
นิ้วเรียวยาวที่ดีดอยู่บนแป้นพิมพ์นั้นหยุดลง ลี่เฉินซีเงยหน้าขึ้นมามองเขา แววตาที่ลุ่มลึก ทะลุผ่านแว่นตาไร้ขอบไปที่ชายหนุ่ม ใบหน้าหล่อเหลาอันเย็นชา แสดงออกถึงความร้ายกาจ
ทนายจินไม่กล้าเดามั่ว ทำได้เพียงค่อยๆอ่านสีหน้า แล้วคิดเอาเองมั่วๆ ยังไม่ทันได้ถามต่อ ประตูห้องทำงานก็ถูกคนผลักเข้ามาด้วยแรงอันมหาศาลเสียก่อน
เจี่ยงเวินอี๋เดินเข้ามาด้วยความเกรี้ยวโกรธ มองดูทนายจิน แล้วหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ดูท่าว่า ทนายจินจะหยิ่งเหลือเกินนะ ! ถ้าฉันไม่เป็นฝ่ายมาหา คงเชิญตัวคุณไปไม่ได้ !”
พอได้ยินประโยคนั้น ทนายจินก็รีบอธิบายด้วยความหวาดกลัวทันที “คุณนายครับ คุณพูดอะไรแบบนั้นกัน ? ผมก็แค่กำลังทำงานตามที่ประธานลี่สั่งก็เท่านั้นเอง !”
ขณะพูด ก็เหลือบไปมองลี่เฉินซีที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน มองดูชายหนุ่มที่สีหน้าเงียบขรึม แววตาดุร้าย ทนายจินถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย รู้สึกเหมือนกำลังถูกลากให้เข้าไปมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งภายในครอบครัว ช่างซวยเหลือเกิน
ยังดีที่เจี่ยงเวินอี๋เองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจเรื่องราว และไม่อยากฝืนใจทนายจินนัก เธอใช้สายตา บอกให้เลขาหลี่พาตัวทนายจินออกไปก่อน
ภายในห้องทำงานที่กว้างขวาง เหลือเพียงแค่สองแม่ลูกเท่านั้น เจี่ยงเวินอี๋วางกระเป๋าในมือลง แล้วนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “ทำไมถึงทำแบบนี้ ? ซูย้าวมาพูดอะไรกับลูกใช่ไหม ?”
“ซูย้าว ?” ลี่เฉินซีขมวดคิ้วทันที “เธอจะมาพูดอะไรกับผม ?”
เจี่ยงเวินอี๋พูด “ลูกไม่ต้องปกป้องหล่อนเลย ความสามารถของผู้หญิงคนนั้น แม่เคยเห็นมาแล้ว เรื่องแบบนี้ หล่อนต้องทำได้แน่ !”
พอได้ยินแบบนั้น คิ้วของลี่เฉินซีก็ค่อยๆขมวดขึ้น
เขารู้ว่าคุณแม่นั้นไม่ชอบซูย้าว หลายปีมานี้ มันหยั่งรากฝังลึก จนยากที่จะสั่นไหวได้แล้ว
แต่ครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะซูย้าวมาพูดอะไรแน่ๆ แต่เป็นเพราะคนที่เขาสั่งให้ไปคอยดูแลเจี่ยงเวินอี๋ มาบอกหวางอี้ เขาถึงได้รู้เรื่องนี้
มองดูสีหน้าของคุณแม่ เขาก็รีบพูดขึ้นว่า “คุณแม่ไปพบเธอเหรอครับ ? เมื่อไหร่ ?”
เจี่ยงเวินอี๋ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก เลยพยายามหลบเลี่ยงที่จะเอ่ยถึง พูดเพียงว่า “ทำไมลูกต้องรั้งตัวทนายจินไว้ด้วย ?”
“แล้วทำไมคุณแม่ต้องพบกับทนายจินตอนนี้ด้วย ?” ลี่เฉินซีถามกลับ
เธอโกรธจนคิ้วขมวดแน่น แล้วพูดอย่างโมโหว่า “ถ้าตอนแรกลูกไม่ถูกผู้หญิงคนนั้นล่อลวง จนหน้ามืดตามัว แม่ก็ยังรับได้ แต่ตอนนี้พวกแกหย่าร้างกันแล้ว ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว พอหล่อนกลับมา ทำไมลูกถึงกลับมาเป็นแบบนี้อีก !”
“……”
ลี่เฉินซีหมดคำพูด เขาเปลี่ยนไปยังไง ? !
“ตอนนั้นหล่อนตั้งท้องหนีไป แล้วคลอดเด็กคนนั้นออกมา เป็นลูกสาวแท้ๆของแก หลานสาวของฉัน แกทนดูลูกคอยตามผู้หญิงคนนั้นเร่ร่อนไปทุกทิศทุกทางเหรอ ?” เจี่ยงเวินอี๋ถาม
เขาปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาก็ดุร้ายขึ้น “คุณแม่ ซีซีอยู่กับเธอไม่ได้ลำบากอะไร เธอดีกับลูกมาก อีกอย่างพวกเขาแม่ลูกไม่ได้เร่ร่อนไปทุกทิศทุกทาง !”
เจี่ยงเวินอี๋ทำเสียงเย็นในลำคอ “ใช่ ฉันสั่งให้คนไปตรวจสอบมาแล้ว หล่อนทำงานอยู่ที่บริษัทต่างชาติ รายได้ยังไม่รู้แน่ชัด แต่ว่าถ้าเด็กถูกเธอดูแลอย่างดีจริงๆ ทำไมถึงพูดไม่ได้ ?”
เพียงประโยคเดียว ก็เข้าสู่ประเด็นหลักของปัญหาทันที และยังไปสัมผัสโดนจุดอ่อนของลี่เฉินซีด้วย
เขาชะงักไปทันที หันไปมองคุณแม่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะตรวจสอบไปถึงเรื่องนี้ด้วย
“ซีซีพูดไม่ใช่พูดไม่ได้ เพียงแค่ไม่อยากเปิดปากพูดเท่านั้น มันเป็นคนละแนวคิดกัน !” เขาอธิบายออกมา
“ไม่ว่าจะแนวคิดไหน ฉันก็เชื่ออยู่แค่ประเด็นเดียว เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแก และเป็นคนของตระกูลลี่ของพวกเรา จะต้องไม่ปล่อยให้เด็กเร่ร่อนอยู่ข้างนอกตามผู้หญิงคนนั้น ! ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ก็ต้องรับตัวกลับมาให้ได้ !”
ท่าทีของเจี่ยงเวินอี๋นั้นแน่วแน่มาก ความหมายก็คือ ถึงแม้ว่าครั้งนี้ลี่เฉินซีจะหยุดเอาไว้ได้ ถึงแม้ทนายจินจะไม่ยอมออกหน้า เธอก็จะเชิญทนายคนอื่น และจะใช้วิธีการอื่น ไม่มีทางปล่อยให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลลี่ เร่ร่อนอยู่ข้างนอกเด็ดขาด
ลี่เฉินซียกมือขึ้นบีบนวดขมับที่เริ่มปวด มองดูคุณแม่ที่ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก “เรื่องนี้ ผมจะไปจัดการด้วยตัวเอง !”
เท้าของเจี่ยงเวินอี๋หยุดชะงักลงทันที แล้วหันกลับไปมองเขา แววตาสับสน ทั้งเหนื่อยหน่าย ทั้งสงสาร จนสุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นถอนหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ก็ได้ แต่ฉันให้เวลาแกแค่หนึ่งเดือนนะ ถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไป ฉันจะใช้วิธีการของตัวเอง เพื่อพาตัวเด็กคนนั้นกลับมาเอง !”
พอเจี่ยงเวินอี๋พูดจบ ก็หันหลังเดินออกจากห้องทำงานไป
ลี่เฉินซีพิงพนักเก้าอี้ หนึ่งเดือน ? เร็วเกินไปหรือเปล่า !
แต่ช่างเถอะ ทางด้านคุณแม่ เขาจะหาทางรับมือเอง เริ่มทีละก้าวก่อนแล้วกัน !
ด้านนอกบริษัท
เจี่ยงเวินอี๋ยืนรอเลขาหลี่ขับรถมารับ แล้วบังเอิญเจอกับหานฉ่ายหลิงที่มาบริษัทเข้าพอดี
“คุณป้า มาที่บริษัทเหรอคะ !” หานฉ่ายหลิงเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วกอดแขนเจี่ยงเวินอี๋อย่างสนิทสนม
ความรู้สึกสนิทสนมแบบนั้น ดูราวกับแม่ลูกกันก็มิปาน
เจี่ยงเวินอี๋เองก็ยิ้มออกมา “อืม ฉันก็แค่แวะมาดู เธอมาหาเฉินซีสินะ ?”
“คือ แต่ว่าเจอคุณป้าก่อน ก็เลยอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณป้าสักหน่อย !” หานฉ่ายหลิงยิ้มแย้ม ดึงมือของเธอ “กลับไปตอนนี้เร็วไปหรือเปล่าคะ ? ไปเดินเล่นที่ภัตตาคารหลิงเตี่ยนของหนูก่อนไหมคะ ?”
“ตอนนี้เหรอ ?” เจี่ยงเวินอี๋ลังเลเล็กน้อย
แต่หานฉ่ายหลิงกลับพูดว่า “ตั้งแต่ภัตตาคารหลิงเตี่ยนเปิดกิจการมา ท่านยังไม่เคยไปสักครั้งเลยนะคะ ! ถือว่าฉ่ายหลิงขอร้องคุณป้า ไปดูกับหนูสักหน่อยเถอะค่ะ ! ฝีมือของพ่อครัวที่นั่น คุณป้าจะลองไปชิมดูสักหน่อยก็ได้นะคะ !”
พูดถึงขนาดนั้นแล้ว หากเจี่ยงเวินอี๋ยังบ่ายเบี่ยงอีก ก็ดูจะไม่ไว้หน้ากันเกินไป
อีกอย่างเมื่อกี้เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนนี้ไปเดินเล่นให้ผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อยก็ดี เลยไม่ได้ปฏิเสธอีก
และเลขาหลี่ก็ขับรถมาถึงพอดี หานฉ่ายหลิงเลยพูดว่า “ภัตตาคารอยู่ด้านหน้านี่เองค่ะ ไม่ไกลค่ะ”
เจี่ยงเวินอี๋นั่งรถมาทั้งวัน และไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เงยหน้าขึ้นมองร้านอาหารทีหนึ่ง พบว่าอยู่ไม่ไกลจริงๆ เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึง ก็เลยไม่ได้ขึ้นรถ
ทั้งสองคนเดินไปตามถนน หานฉ่ายหลิงคล้องแขนเธอด้วยท่าทางสนิทสนม เดินไปพลางคุยกันไปพลาง ดูเหมือนจะมีหัวข้อให้คุยกันไม่รู้จบ
เจี่ยงเวินอี๋แอบถอนหายใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องลักพาตัวในครั้งนั้น คิดว่าเธอคงสั่งให้ลี่เฉินซีแต่งงานกับหานฉ่ายหลิงไปตั้งนานแล้ว แต่หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้นแล้ว ผู้หญิงแบบนี้ ตระกูลลี่ไม่มีทางยอมรับหรอก……
ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิด ไม่ค่อยมีสมาธิ เลยทำให้ไม่ทันระวัง จู่ๆก็มีรถเก๋งสีดำโผล่มาข้างหน้า ด้วยความเร็วมหาศาล ดูเหมือนว่าเบรกจะทำงานผิดปกติหรืออะไรบางอย่าง เลยพุ่งตรงมาทางข้างถนน
และบังเอิญเหลือเกิน ที่เจี่ยงเวินอี๋กำลังเดินผ่านจุดนั้นพอดี พอเห็นว่ารถกำลังพุ่งตรงมาทางตัวเอง เธอก็นิ่งอึ้งไปทันที ตื่นตกใจจนลืมขยับตัว
มนุษย์เมื่ออยู่ต่อหน้าความกลัวอันยิ่งใหญ่ ก็จะสูญเสียการตอบสนองไปโดยสัญชาตญาณ เนื่องจากตกใจเกินเหตุ ขาทั้งสองข้างก็จะสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว ขนาดว่าจะหนีหรือหลบหลีก ก็ลืมไปจนหมด
เจี่ยงเวินอี๋ในขณะนี้เองก็เป็นแบบนั้น
ในเสี้ยววินาทีแห่งชีวิต หานฉ่ายหลิงดึงแขนของเจี่ยงเวินอี๋เข้ามา แล้วผักเธอไปข้างๆอย่างเต็มแรง เพื่อสลับตำแหน่งของตัวเองกับเธอ
รถพุ่งตรงเข้าหาหานฉ่ายหลิง โชคดีที่เธอเบี่ยงตัวหลบได้ทันเวลา เลยแค่ถูกรถเฉี่ยวกระเด็นเท่านั้น ไม่ได้ถูกชนเข้าโดยตรง
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็กระเด็นไปไกลหลายเมตร จนล้มพับสลบไป