กระจกรถเลื่อนลง บนฝ่ามือใหญ่ๆนิ้วมือเรียวยาวกำลังถือกาแฟกระป๋องหนึ่ง ซูย้าวเอียงหัวมองชายหนุ่มที่อยู่นอกรถ ยิ้มเล็กน้อยรับมา
ลี่เฉินซีก้าวยาวๆ เดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ เอนตัวเข้าไปนั่งในรถ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ตรงนี้?” เธอเปิดกาแฟที่อยู่ในมือ ดื่มไปหนึ่งคำ
ลี่เฉินซีอมยิ้มบางๆ พิงเบาะ เหมือนกับเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว หลับตาลง “เจิ้งเอ๋อปลอดภัยดี สบายใจได้”
ซูย้าวเป่าปากคลายกังวล จริงๆแล้ว ตั้งแต่ช่วงบ่ายที่โรงพยาบาลจงซินจนถึงที่นี่ เธอก็อยู่ด้วยตลอด
เมื่อได้รู้ว่าลี่เจิ้งปลอดภัยดี ซูย้าวก็อยากจะลงจากรถไปอยู่ข้างๆลูกชาย เพียงแต่เจี่ยงเวินอี๋ยังอยู่ หานฉ่ายหลิงก็อยู่ เธอไม่รู้ว่าตนเองควรจะปรากฏออกไปในฐานะอะไร ยิ่งไม่อยากให้มีการปะทะใดๆในเวลาอย่างนี้ด้วย
แต่จะกลับไปเธอก็ทำไม่ได้ จึงทำได้เพียงเท่านี้ คอยดูอยู่ข้างๆเงียบๆ เหมือนกับพยายามทำให้ระยะห่างระหว่างลูกชายใกล้กันขึ้นมาอีกหน่อย แม้ว่าจะเป็นรูปแบบอย่างนี้
ลี่เฉินซีเอนตัวอยู่ในนั้น ยังคงหลับตา พูดขึ้น “เธอเป็นคนช่วยเจิ้งเอ๋อ ไม่งั้น ไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
ซูย้าวใจสั่นเล็กน้อย ดังนั้นก่อนหน้านี้เขากับหานฉ่ายหลิงถึงได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันใช่ไหม?
แต่คิดๆดูแล้ว เหมือนว่าต่อให้ไม่ได้เกิดเรื่องนี้ พวกเขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ตนเองต่างหาก ที่ไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามตั้งนานแล้ว
เธอหายใจเข้าลึกๆ “งั้นขอบคุณคุณหานแทนฉันด้วย”
“ขอโทษ ที่วันนี้ไม่ได้ไปกินข้าวกับคุณ คราวหน้านะ! จะชดเชยให้แน่นอน” เขาลืมตาขึ้น สายตาดุดันที่แสนอ้างว้าง
นี่เองเธอถึงนึกขึ้นได้ ว่าพวกเขามีนัดกินข้าวกันคืนนี้……
จึงยิ้มบางๆ “งั้นก็คราวหน้าเถอะ!”
ลี่เฉินซีกำลังมองเธอ “อื้ม เจิ้งเอ๋อที่ด้านนี้สบายใจได้ ผมส่งคนไปดูแลเพิ่มเติมแล้ว จะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก”
“อื้ม ฉันทราบแล้ว”
พูดเพียงไม่กี่คำ ลี่เฉินซีก็ผลักประตูลงไปจากรถ
ตอนที่จะเดินกลับไป ก็โบกมือให้คนด้านหลัง แสดงให้รู้ว่าไว้เจอกัน
ซูย้าวค่อยๆเลื่อนกระจกรถขึ้น มองชายหนุ่มนอกรถที่ค่อยๆห่างออกไป ในใจก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
เขาแค่อยากจะบอกเธอด้วยตนเอง ว่าลูกไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล
แต่เธอยิ่งคิดก็ยิ่งอยากกำชับเขา อย่าเข้มงวดกับตัวเองนักเลย ดูแลตัวเองให้ดีๆหน่อย
เพียงแต่คำพูดอย่างนี้ เธอไม่รู้ว่าจะพูดออกไปอย่างไรดี ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดคำเหล่านี้ออกไปได้อีกแล้ว ไม่ใช่เหรอ?
ที่โรงแรมด้านนี้
เนื่องจากซูย้าวอยู่ข้างนอกตลอดช่วงเย็น กลับมาไม่ทัน จึงให้โม่หว่านหว่านไปรับเด็กสองคนหลังเลิกเรียน แล้วดูแลพวกเขาด้วย
สามทุ่ม โม่หว่านหว่านก็อาบน้ำให้เด็กทั้งสองคน แล้วกล่อมพวกเขานอน ส่วนตนเองนั่งอยู่ในห้องรับแขก กำลังดูทีวีฆ่าเวลา รอซูย้าวกลับมา
แต่กลับไม่รู้เลยว่า ตอนที่เธอออกไป เด็กทั้งสองคนค่อยๆลืมตาขึ้น
ซีซีขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ห่อตนเองเอาไว้แน่นหนา พาดอยู่บนเตียง เหมือนกับหนอนผีเสื้อตัวน้อยๆ ดวงตาโตๆกำลังเปล่งประกายอยู่ในความมืด พูดขึ้นเบาๆ “เฮ้ เธอหลับหรือยัง?”
เดิมทีเตียวเตียวก็ไม่ได้หลับอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่อยากสนใจเธอเท่านั้น
มือเล็กๆของซีซีกำลังดันๆเขาที่อยู่ไม่ไกล “เฮ้ เธอตื่นหรือยัง?”
“ฉันไม่ได้ชื่อเฮ้นะ!” เตียวเตียวลุกขึ้นมาทันที จ้องร่างเล็กๆที่อยู่ด้านข้างในความมืด “ฉันชื่อเตียวเตียว!”
“ชื่อไม่เพราะเลย! เรียกว่าลูกหมาลูกแมวยังจะดีกว่า!” ซีซีเยาะเย้ย
เตียวเตียวชะงัก “อะไรนะ?”
คุณน้าที่สถานสงเคราะห์เป็นคนตั้งชื่อให้ เขาไม่ได้รู้สึกว่าไม่เพราะ กลับรู้สึกว่าไม่เหมือนใครดี แต่ทำไมพอออกมาจากปากของซีซี ก็กลายเป็นอย่างนี้ไปได้
“เฮ้ ฉันนอนไม่หลับ เธอคุยเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ!” เสียงของซีซีไม่ดังมาก ถึงขั้นเบาด้วยซ้ำ เหมือนกับกลัวว่าจะมีคนมาเจอเข้า
แต่เตียวเตียวกลับไม่ชอบความรู้สึกที่ต้อง ‘ลับๆล่อๆ’ แค่พูดขึ้น “นี่เมื่อไหร่เธอจะยอมให้คนอื่นรู้ว่าเธอพูดได้แล้วซะที?”
“ฉันพูดได้อยู่แล้วเข้าใจไหม!” ซีซีแก้ไข กำปั้นเล็กๆทุบลงไปที่หัวของเตียวเตียว
เตียวเตียวเจ็บจนเกือบจะแผดเสียงออกมา แต่กลับโดนซีซีอุดปากเอาไว้ เขาทำได้แค่พูดออกมาด้วยความโมโห “ทำไมเธอต้องลงไม้ลงมืออีกแล้ว!”
“ฉันพูดได้อยู่แล้วเข้าใจนะ!”
“งั้นทำไมถึงไม่ให้คนอื่นรู้?” เตียวเตียวสงสัย แล้วก็หงุดหงิดใจมาก
ตอนที่โดนถามอย่างนี้ ซีซีมักจะรู้สึกเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน นั่งถอนหายใจอยู่ตรงนั้น
“เพราะอะไรกันแน่? ถ้าเธอไม่บอก ฉันจะบอกพวกคุณน้าแล้วนะ!” เตียวเตียวขู่เธอ
ซีซีตกใจ จับมือเขาด้วยสัญชาตญาณ “อย่าบอกนะ ไม่งั้นฉันจะไม่สนใจเธอแล้ว!”
“ไม่สนใจก็ไม่เป็นไร ที่โรงเรียนยังมีเพื่อนอีกเยอะแยะ เธอนั่นแหละ ถ้าฉันไม่สนใจเธอ ก็จะไม่มีใครสนใจเธอแล้ว!” เตียวเตียวส่ายหัวเล็กๆอย่างไม่ใส่ใจ ท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องเล็กน้อย
ซีซีถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห “เธอ……”
“เธอบอกฉันมาเถอะ! ฉันรับรองว่าจะไม่บอกใครเลย” เตียวเตียวยืนยันกับเธอ
ซีซียังคงหนักแน่น “ไม่ได้! ฉันสัญญากับคนคนนั้นไว้ ว่าจะไม่พูด!”
“นี่เธอจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิตงั้นเหรอ?” เตียวเตียวไม่กล้าจะคิดเลย
เธอคิดๆ “ก็ไม่ตลอดชีวิตหรอก! แต่ตอนนี้ฉันจะพูดไม่ได้ชั่วคราว!”
“……”
เตียวเตียวไม่เข้าใจทฤษฎีแปลกๆของเธอ นอนคว่ำอยู่ตรงนั้น “ในเมื่อพวกเรานอนไม่หลับ งั้นฉันจะเล่านิทานให้เธอฟัง!”
ซีซีคึกคักขึ้นมาทันที “อือๆ!”
เด็กทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยกัน ซีซีชอบเตียวเตียวเล่านิทานเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่ฟัง ก็จะหลับลงไปในที่สุด เล่านิทานได้มีชีวิตชีวาน่าสนใจกว่าโม่หว่านหว่านอีก
ตอนที่ซูย้าวกลับมา ก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว
เธอเข้าไปในห้องเบาๆ เปิดไฟดวงเล็กๆ แต่กลับได้เห็นผ้าห่มสองผืนบนเตียงยุ่งเหยิงระเกะระกะ ผืนหนึ่งทิ้งอยู่บนพื้น หมอนก็กระจัดกระจายไปคนละทาง แล้วยังมีหมีของเล่นกับตุ๊กตาผ้า เกลื่อนกลาดไปหมด
มองดูเด็กทั้งสองคน เตียวเตียวนอนอยู่ข้างเตียง แต่ซีซีกลับนอนกินที่เต็มเตียง แขนเล็กๆยังพาดอยู่บนหน้าของเตียวเตียวอีก ท่าทางราวกับปีศาจน้อย
เด็กสองคนนี้……
จัดการเด็กทั้งสองคนเบาๆ ห่มผ้าให้อย่างดีอีกครั้ง เก็บสิ่งของที่เกลื่อนกลาดเรียบร้อยแล้ว ซูย้าวถึงออกไปจากห้อง
ถ้าตอนแรกเด็กคนนั้นไม่ได้หายไป ได้โตมากับซีซี ก็คงจะเป็นอย่างนี้ ฝาแฝดชายหญิง
โชคดีขนาดไหนที่ได้เกิดมา แต่กลับโดนสวรรค์กลั่นแกล้ง ไม่รู้ว่าลูกชายคนนั้น ตอนนี้อยู่ที่ไหน……
โม่หว่านหว่านอยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มผสมค็อกเทลสองแก้วเอาไว้อย่างดีแล้ว เห็นหน้าตาท่าทางที่อมทุกข์ของเธอ จึงพูดขึ้น “เจิ้งเอ๋อปลอดภัยดีไม่ใช่เหรอ? แล้วเธอจะกังวลอะไรอีก?”
ฟังแล้ว ซูย้าวก็ฝืนยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง เดินเข้าไป รับแก้วที่เธอส่งมา กำลังจ้องมองของเหลวสีสันสดใสในแก้ว “นี่คืออะไร?”
“นวดแผนจีน”
“ห๊ะ?”
“ไม่เคยดื่มเหรอ? ฉันเรียนมาใหม่!” โม่หว่านหว่านยักคิ้ว หน้าตามีเลศนัย ให้เธอลองชิมดู
ซูย้าวรู้ดี ว่าเธอมีพรสวรรค์ในด้านการผสมเครื่องดื่ม แทนที่จะบอกว่าเป็นพรสวรรค์ ไม่สู้บอกว่าโม่หว่านหว่านเองชอบของอย่างนี้อยู่แล้วจะดีกว่า
เธอยกค็อกเทลขึ้นมา จิบไปหนึ่งคำ รสชาติอ่อนอย่างที่คิดไว้ พูดขึ้น “ไม่เลว อร่อยมากเลย!”
“ใช่ไหมล่ะ?” โม่หว่านหว่านยิ้ม ตนเองก็เตรียมไว้แล้วแก้วหนึ่ง ยกขึ้นมาดื่ม “หน้าตาเป็นกังวลอย่างนี้ อย่าบอกนะว่า เธอเป็นห่วงลี่เฉินซี?”
ซูย้าวชะงักงัน ไม่นึกว่าเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกันมานาน ในใจตนเองคิดอะไรอยู่ ก็โดนเธอเดาออกหมดแล้ว
เห็นเธอไม่พูด โม่หว่านหว่านจึงพูดขึ้น “เป็นไปได้ว่าฉันเดาถูกสินะ?”
ซูย้าวยิ้ม “ก็ใช่น่ะแหละ! โง่มากใช่ไหมล่ะ เวลานี้แล้ว ยังคิดถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริงพวกนั้นอยู่อีก……”
“ใครบอกไม่จริง?” โม่หว่านหว่านบิดขี้เกียจ ช่วงนี้เธอนอนดึกเป็นประจำ สติเลอะเลือนอยู่บ้าง หาวแล้วพูดขึ้น “ยังไงซะก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ฉันคิดว่า ชีวิตคนเราน่ะ ไม่ควรทำให้ตัวเองมีความรู้สึกเสียดายไปตลอดชีวิต ถ้าเธอยังมีความรู้สึกดีๆให้เขาอยู่จริงๆ นึกถึงอยู่ตลอด งั้นไม่สู้ลองยอมรับดูหน่อยดีกว่า”
“แต่ว่า……”
ไม่รอให้ซูย้าวพูดออกมา อีกฝ่ายก็ตัดบท “การแต่งงานครั้งที่แล้วของพวกเธอ หลังจากที่มีปัญหา เธอก็เป็นคนที่หนีออกมาใช่ไหม? ทุกครั้งที่ความรักเจอกับปัญหา เธอก็มักจะเป็นอย่างนี้ตลอด ถ้าครั้งนี้ลองเปลี่ยนวิธีการดู ไม่แน่อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนเดิมนะ!”