วันนั้น หลินโม่ป่ายไปรับซีซีกับเตียวเตียวที่โรงเรียนอนุบาลเป็นเพื่อนเธอ
เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เตียวเตียวเห็นพวกเขาสองคนแต่ไกลเลย จึงจับมือเล็กๆของซีซีวิ่งเข้าหาทั้งสองคนอย่างมีความสุข
มองเด็กสองคน หลินโม่ป่ายโน้มตัวลงทันที อ้าแขนและกอดเด็กทั้งสองไว้ในอ้อมแขนและยังมีแรงมากที่อุ้มเด็กทั้งสองขึ้นมาพร้อมกัน แขนรองรับร่างกายของเด็กน้อยทั้งสองคน ภายใต้พระอาทิตย์ตก รอยยิ้มของทั้งสามคน ซูมเข้าตรงหน้าของซูย้าว
ระหว่างทางกลับบ้าน หลินโม่ป่ายเสนอไปทานข้าวเย็นที่ร้านอาหาร เด็กน้อยสองคนยกมือเห็นด้วย ซูย้าวก็ยอมรับ
เขาเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นที่เปิดใหม่ เด็กสองคนก็ชอบกินซูชิ และบะหมี่น้ำไหล ล้วนเป็นอาหารขึ้นชื่อ เตียวเตียวกับซีซีทานอย่างมีความสุข ซูย้าวมองดูอย่างมีความสุข
หลังจากทานเสร็จ เขาก็พาเด็กๆกับเธอไปซูเปอร์มาร์เก็ต ที่บ้านผลไม้กับของว่างใกล้หมดแล้ว เขาจำได้ดีกว่าเธอเสียอีก
กลับไปถึงโรงแรม เขาก็นั่งลงทำการบ้านเป็นเพื่อนเด็กๆ หลังจากนั้นก็ตรวจเช็ก เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กๆได้ทำครบแล้ว และตั้งใจมาก แล้วดูการ์ตูนหรือเล่นเกมเป็นเพื่อนเด็กๆ……..
ทั้งหมดนี้ ซูย้าวนั่งดูอย่างเงียบๆ
อยู่คนเดียวในห้องครัวเพื่อล้างผลไม้ ฟังเสียงหัวเราะที่มาจากในห้องนั่งเล่น เหมือนครอบครัวสี่คน ทันใดนั้นเธอก็มีความคิดในหัว ถ้า เพียงแค่พูดว่าถ้า แต่งงานกับเขาจริงๆ ก็อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีนะ
ว่ากันว่าการแต่งงานของผู้หญิงก็เหมือนการพนัน ถ้าเลือกดี ก็จะมีความสุขทั้งชีวิต เป็นสมบัติล้ำค่าและเป็นที่รัก
ถ้าคนคนนี้เป็นหลินโม่ป่าย เธอเชื่อว่า เขาจะทำทุกอย่างเพื่อสร้างที่หลบภัยสำหรับพวกเขาแม่ลูกให้เธอมีความปลอดและมีความสุขในอ้อมแขนของตัวเอง
เพราะ เขาเป็นผู้ชายแบบนี้
เท่าที่รู้จักกับหลินโม่ป่ายใกล้ชิดกันมาหลายปี ทำให้เธอเชื่ออย่างไม่สงสัย
เพียงแค่รู้สึกว่า เขาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเกินไป ดีเกินไป เหมือนเทวดาที่ถูกส่งมาจากสวรรค์ ดีจนเธอไม่กล้าที่จะไปยอมรับ กังวลว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ความฝัน หลังจากตื่นมา ทุกอย่างก็จบลง
ประมาณสิบโมงเย็น หลินโม่ป่ายค่อยๆเดินออกมาจากห้องของเด็กสองคนอย่างเงียบๆ พูดกับเธอเบาๆว่า “เด็กสองคนหลับแล้ว”
เห็นเขาดูเหนื่อยๆ ซูย้าวกล่าว “เหนื่อยแย่แล้วสิ”
เขาอยู่ในห้องผ่าตัดสิบกว่าชั่วโมง ยุ่งทั้งวันยังไม่ได้พักผ่อนเลย กว่าเสร็จสิ้น ก็ต้องมาเล่นเป็นเพื่อนเด็กๆอีก…………
“ไม่เหนื่อยหลอก เตียวเตียวเป็นเด็กฉลาดและร่าเริง ซีซีนิ่งและสุภาพเรียบร้อย ฉันชอบพวกเขามาก” หลินโม่ป่ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซูย้าวลุกขึ้นหยิบไวน์แดงจากขั้นไวน์ รินมาสองแก้ว ในขณะที่ยื่นให้เขา คิดแล้วคิดอีก และกล่าวว่า “โม่ป่าย หลายปีที่ผ่านมา คุณปฏิบัติต่อฉันและลูกเป็นอย่างดี ฉันก็รู้แค่คำขอบคุณคำเดียวไม่สามารถแทนกันได้ ดังนั้น………….”
ไม่ให้เธอพูดต่อไป หลินโม่ป่ายก็ยกมือขั้นเพื่อขัดจังหวะแล้ว
เขากล่าวว่า “ไม่ว่าวันนี้พี่สาวของฉันจะพูดอะไรกับคุณ ซูย้าว สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความตั้งใจของฉัน คุณไม่ต้องจริงจัง และไม่ต้องใส่ใจ”
“ฉันรู้ ที่ฉันอยากพูดคือเรื่องอื่น” เธอมองเขา ข้อดีและความดีของผู้ชายคนนี้ทำให้เธอรู้สึกละอายใจหลายครั้งแล้ว
คิดดีๆ คนเราจะไม่มีความโลภและความเห็นแก่ตัวบ้างเหรอ ปฏิบัติดีต่อคนคนหนึ่ง ยอมเสียสละ และที่มากกว่านั้น ไม่ใช่เพราะอยากเป็นเจ้าของหรือครอบครองเหรอ
เขาเป็นผู้ชาย ไม่อยากมีครอบครัวและภรรยาของตัวเองเหรอ
เพียงแค่เขาไม่อยากจะพูดออกมาก็เท่านั้น
คำพูดของหลินจิ้งซูไม่ได้มีอิทธิพลต่อซูย้าว เพียงแค่ในอีกมุมหนึ่ง ทำให้เธอรู้ตัว ทำให้เธอค้นพบในทันใดว่า เธอละเลยคนดีๆคนนี้ที่อยู่ข้างกายมานานเกินไปแล้ว
“ซูย้าว ที่ฉันทำกับคุณ กับเด็ก ไม่ได้ต้องการให้คุณมาตอบแทนอะไรฉัน แต่ถ้าคุณคิดอยากจะตอบแทนฉันทั้งที่ผ่านมา และทำการตัดสินใดๆ เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ต้องพูดแล้ว”
หลินโม่ป่ายเข้าใจเธอมาก ถ้ารักใครแล้ว ก็ไม่ต้องการบังคับเธอให้ทำอะไรทั้งนั้น
เพราะทนไม่ได้
ยิ่งไม่อยากจะเสียเธอไป
หลินโม่ป่ายก็แค่นั้นแหละ
“รู้ว่าคุณจะต้องพูดเช่นนี้ ดังนั้น ฉันยังไม่อยาก…….ไม่อยากแต่งงาน ไม่ใช่เพราะคุณไม่ดีพอ และไม่ใช่เพราะฉันไม่มีความรู้สึกกับคุณ ยิ่งไม่ใช่เพราะฉันยังเพ้อฝันกับผู้ชายคนนั้นอยู่ แค่………….”
เธอถือถ้วยไว้ในมือ แววตาไม่สบายใจ ในหัวคิดว่าตอนนั้นเพื่อรักคนคนหนึ่ง และได้รับความเจ็บปวดและถูกโจมตีมากมาย
ความรู้สึกที่ใจสลาย ผ่านมาได้ ก็ไม่คิดที่จะไปลองมันอีก
น่าจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่าถูกงูกัดหนึ่งครั้งแต่กลัวเชือกเป็นสิบปี
เรื่องของความรู้สึก ก็เป็นเช่นนี้ล่ะ
“ฉันไม่อยากมอบใจให้ใครอีกแล้ว และไม่อยากเจ็บปวดอีก โม่ป่าย ขอโทษนะ ให้เวลาฉันอีกหน่อยนะ”
ซูย้าวมองเขา “ฉันอยากเตรียมให้พร้อมก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นกับคุณ มิฉะนั้น จะไม่ยุติธรรมกับคุณ……….”
ผู้ชายดีๆแบบนี้ ช่วงที่เธอไม่สามารถเก็บความคิดที่ฟุ้งซ่านได้ ยอมรับเขา เธอต้องการมอบความรักที่สมบูรณ์แบบให้กับเขา และตัวเองที่ดีที่สุด
แต่ไม่ใช่สภาพในตอนนี้
หลินโม่ป่ายมองเธอ รอยยิ้มที่นิ่งสงบบนใบหน้า กางแขนออก กอดเธอไว้ในอ้อมแขน “มีคำพูดโรแมนติกมากมายที่สามารถพูดได้ แต่ฉันอยากพูดแค่ประโยคเดียว ไม่ว่าเมื่อไหร่ เมื่อคุณคิดออกแล้ว หันกลับมาก็จะเห็น ฉันยืนอยู่ด้านหลังคุณเสมอ ไม่จากไปไหน”
เธอยิ้มพลังในร่างกายทั้งหมดเหมือนจะหมดลงไปชั่วขณะ พิงที่อกของหลินโม่ป่ายสูดดมกลิ่นน้ำยาซักผ้าจางๆบนร่างกายของเขารู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที
ติ๊งต่อง ——
ติ๊งต่อง ——
ทันใดนั้นเสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นรบกวนความคิดของพวกเขาและยังทำลายบรรยากาศโรแมนติกที่หายากนี้อีกด้วย
หลินโม่ป่ายขมวดคิ้ว ในขณะที่ปล่อยเธอออก หันหลังแล้วเดินไปที่ประตู
ประตูโรงแรมเปิดออก เห็นลี่เฉินซียืนอยู่ด้านนอกประตู
สวมใส่ชุดสูทที่ตัดเย็บอย่างดีเสื้อเปิดออก ปกเชิ้ตสีขาวคลายออก ร่างกายที่เย็นชา มีท่าทางเกียจคร้านสบายๆ คู่กับใบหน้าที่สง่า ความหล่อที่แสดงออกมา
เขามองหลินโม่ป่ายที่ปรากฏตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากที่เย็นชาขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เย็นชาเหลือบมองมาที่เขา กล่าวอย่างเย็นชา “อะไร ตอนนี้คุณพักอยู่ที่นี่แล้วเหรอ”
หลินโม่ป่ายตะลึง รู้สึกถึงความเป็นศัตรูในคำพูดและสายตาของอีกฝ่าย จงใจตอบกลับ “ทำไม มีปัญหาเหรอ”
ลี่เฉินซีเย็นชาเล็กน้อย ยังไม่ทันได้พูด ซูย้าวก็เดินมา
เธอมองเขา “คุณมาทำไม ประธานลี่ มีธุระหรือเปล่า”
น้ำเสียงสุภาพมาก เย็นชาและห่างเหิน
และเรียกเขาอย่างสุภาพ ‘ประธานลี่’คำนี้พูดออกจากปากของเธอ ลี่เฉินซีคิ้วขมวดแน่น
ซูย้าวรู้สึกถึงความไม่สบายใจในดวงตาของเขาเดินออกไปพร้อมกับปิดประตู หลินโม่ป่ายก็ไม่ได้ขัดขวาง หันกลับไปด้านในแล้วนั่งลง
บนทางเดินที่กว้าง มีแค่พวกเขาสองคน ลี่เฉินซียิ้มอย่างเย็นชาและมองเธอ พูดเยาะเย้ย “คุณเริ่มอยู่กับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาศัยอยู่ด้วยกัน”
“เกี่ยวข้องกับท่านประธานลี่เหรอ” ซูย้าวย้อนถาม “ ได้ข่าวว่าคุณก็จะหมั้นเร็วๆนี้แล้ว ไม่อยู่กับคู่หมั้นของคุณ ดึงป่านนี้ ยังมาที่นี่ มีธุระหรือเปล่า”
หมั้น
เขาได้ยินอาการแปลกๆจากปากของซูย้าว ความหึงที่เข้มข้น ลี่เฉินซียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แต่น้ำเสียงเย็นชา “จะมาหาคุณต้องมีธุระเท่านั้นเหรอ ถ้าไม่มีธุระ ฉันจะมาหาคุณ กับลูกสาวไม่ได้เหรอ”
“คุณมาหาลูกสาวเหรอ น่าเสียดาย ครั้งหน้ามาเช้าหน่อย ซีซีนอนหลับไปแล้ว” เธอพูด
“ลูกสาวนอนแล้ว ก็ยังมีคุณนี่” เขามองเธอ แสดงความหมายที่ชัดเจน
คำพูดเช่นนี้ ทำให้ซูย้าวรู้สึกฟังดูไร้สาระ เธอขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ จึงบอกไปว่า “ฉันก็จะนอนแล้ว” หลังจากนั้นก็หันหลังเตรียมเดินเข้าไปข้างใน
ยังไม่ทันก้าวเท้า ข้อมือก็ถูกดึงอย่างแรงจากด้านหลัง ในขณะเดียวกันแขนยาวๆของลี่เฉินซี ก็ดึงร่างผอมของเธอเข้าไปในอ้อมแขนของเธอโดยตรง และผลักเธอไปที่กำแพง ใช้มือข้างหนึ่งจับที่ข้างหัวเธอ ให้ตัวเธออยู่ระหว่างหน้าอกของเขากับกำแพง
“คุณจะนอนแล้วเหรอ นอนคนเดียว หรือนอนกับคนอื่น” ลมหายใจที่เบา ดวงตาสีดำที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ หว่านล้อมเธออยู่
เขาอยู่ใกล้มาก ลมหายใจทั้งหมดพรั่งพรูเข้าหูของเธอความรู้สึกอบอุ่น จักจี้
ซูย้าวขนตายาวพลิ้วไหว ดวงตาคู่สวยที่เย็นชาจมลงเล็กน้อย “คนเดี๋ยวแล้วยังไง กับคนอื่นแล้วยังไง”