ที่โรงแรมโกลเด้นหานฉ่ายหลิงส่งเจี่ยงเวินอี๋ขึ้นรถกลับคฤหาสน์ “คุณป้า ที่ท่านพูดทั้งฉันจะจำไว้ สบายใจเถอะ!”
“อืม”
ได้รับเพียงแค่เสียงอุดอู้ของอีกฝ่ายตอบกลับเพียงคำเดียว หลังจากเจี่ยงเวินอี๋ขึ้นรถก็ยังไม่ปิด สายตามองมาที่หานฉ่ายหลิง
“คุณก็ขึ้นมาเถอะ!”
“ฉัน?”
เธอตะลึง วันนี้เป็นวันดีวันหมั้น วันอย่างนี้ ลี่เฉินซีควรอยู่ใช้เวลาค่ำคืนที่สวยงามกับเธอไม่ใช่หรือไง?
ดูเหมือนว่าจะอ่านใจเธอออก เจี่ยงเวินอี๋ถอนหายใจ และพูดออกมาว่า “ไม่ต้องรอแล้ว คุณน่าจะรู้ดี รอไปก็ไม่ได้อะไร กลับไปที่บ้านใหญ่กับฉันก่อนเถอะ!”
หานฉ่ายหลิงตกใจมาก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบคำพูดอย่างนี้ แต่เจี่ยงเวินอี๋พูดถูก ต่อให้เธออย่างลำบากอยู่ที่นี่ทั้งคืน ก็เกรงว่าเขาจะไม่มา…
ตามขึ้นรถไป ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็กลับมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลลี่
ก็คือบ้านใหญ่ ที่บ้านอุปสรรคมาหลายสิบปี หลายปีก่อนได้มีการรื้อถอนตกแต่งใหม่ทั้งหมด แต่ยังคงรักษารูปแบบของคฤหาสน์แบบเดิมไว้ เพียงปรับเปลี่ยนรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเล็กน้อย ปรับแต่งสไตล์ที่สงบเรียบง่าย ใช้ไม้เนื้อแข็งทำเฟอร์นิเจอร์ ไม้ทุกต้นในบ้านสามารถบอกอายุของคฤหาสน์เก่าหลังนี้ได้
อยู่ที่นี่ หานฉ่ายหลิงแค่รู้สึกหดหู่อย่างไม่อะไรเทียบได้ อยู่ๆ บรรยากาศก็ดูสับซ้อนเหมือนมีอะไรมาครอบไว้อีกชั้น หดหู่จนหายใจไม่ออก
คิดว่าคงมีแค่คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจี่ยงเวินอี๋เท่านั้นถึงจะชอบที่นี่ เตียงใหญ่ในห้องนอน ยังคงสไตล์ศตวรรษที่ผ่านมา เตียงปาปู้ที่ทำจากต้นทองน่านมีลายสลักดอกไม้ต่างๆ ด้านนอกห้องนอนยังตั้งเตียงโซฟาไม้โบราณจีนเพื่อพักผ่อนนั่งเล่น ทั้งห้องดูคลาสสิกมาก
แต่ในสายตาหานฉ่ายหลิง แค่รู้สึกเหมือนเดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ นั่งลงแล้วรู้สึกแข็งๆ ไม่สบาย
โชคดีที่ยังมีแผ่นรองนุ่มๆ อยู่ถือว่าสบายได้นิดหน่อย
สิ่งที่ทำให้เธอรับคฤหาสน์หลังนี้ไม่ได้เด็ดขาดก็คือห้องนั่นที่อยู่ด้านใต้ติดกับสวนด้านหลัง นอกจากสถาปัตยกรรมแบบโบราณแล้วยังมีการจัดลำดับสิ่งของด้านใน ด้านในมีโถงของบรรพบุรุษ เป็นเห็นได้ชัดว่าตระกูลลี่ เป็นครอบครัวใหญ่จริงๆ
แต่สำหรับตอนนี้ รู้ส฿กว่าน่าขนลุก
ก็ไม่แปลกใจว่าทำไมลี่เฉินซีไม่ยอมกลับมาอยู่ที่นี่ โชคดีที่ตระกูลลี่มีคฤหาสน์หลังใหม่ที่อยู่ในเมือง ไม่งั้น บ้านอย่างนี้ เธอต้องลองพิจารณาใหม่ให้ดีๆ อีกครั้ง
นั่งพักอยู่ในห้องได้ไม่นาน ก็มีพี่เลี้ยงมาเคาะประตูเข้ามาส่งผ้าเช็ดตัวและชุดนอนที่ซักมาอย่างสะอาดและเป็นของใหม่ทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าเตรียมไว้สำหรับแขก
เพิ่งจะวางของลง ประตูห้องนอนก็โดนเคาะอีกครั้ง หานฉ่ายหลิงคิดว่าแม่บ้านเข้ามาส่งของให้อีก จึงบอกไปว่า “เข้ามาเถอะ!”
ติดไม่ถึงว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาจะเป็นเจี่ยงเวินอี๋
เธอรีบลุกขึ้นและเดินเข้าไปประคอง “คุณป้า ท่านมาทำไมกัน? มีธุระอะไร เรียกฉันไปก็ได้”
“ฉันไม่มีธุระอะไร ก็เดินมาดูเธอหน่อย” เจี่ยงเวินอี๋ยิ้มและดึงมือเธอให้นั่งลง มองไปรอบๆ ห้อง “นอนที่นี่คืนหนึ่ง หวังว่าคุณจะชินนะ”
เธอพยักหน้า “ฉันอยู่ได้”
“ต่อไปนี้ที่นี่ก็บ้านคุณเหมือนกัน ไม่ชินก็ต้องชินแล้วนะ”
ถึงแม้ประโยคนี้จะฟังดูแข็งไปหน่อย แต่ความหมายที่แฝงไว้นั้นดีมากๆ หานฉ่ายหลิงรับไว้อย่างดีใจ รอยยิ้มบางๆ ภายใต้แสงไฟที่อบอุ่น ดูเขินอายมากยิ่งขึ้น
“วันนี้คุณกับลี่เฉินซีหมั้นกันแล้ว หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ฉันจะกระตุ้นให้เฉินซีรีบแต่งงานกับคุณให้เรียบร้อย ฉ่ายหลิงคุณเป็นลูกสะใภ้ที่ป้ายอมรับ ฉันจะไม่มีทางยอมรับคนอื่นอีก”
ท่าทีของเจี่ยงเวินอี๋ชัดเจน เธอแทบจะไม่พูดอะไรอย่างนี้เลย โดยเฉพาะเรื่องงานแต่งงานของลูกชาย เธอมักจะให้เพียงความคิดเห็นฝ่ายเดียว เรื่องอื่นกลับไปถามมากเกินไป
แต่ครั้งนี้ ไม่ว่างานหมั้นหรือการแต่งงานหลังจากนี้ ท่าทีของเธอชัดเจน ความคิดเห็นชัดเจน ต้องเป็นหานฉ่ายหลิงเท่นั้น
เหตุผลหลักที่ตัดสินใจเลือกเธอเพราะสองเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ในช่วงเวลาเป็นตาย หานฉ่ายหลิงลงมือช่วยเธอไว้ ต่อมาตอนที่โรงพยาบาลโดนวางเพลิงก็ช่วยลี่เจิ้งไว้
เจี่ยงเวินอี๋รู้สึกขอบคุณ จึงได้ทำแบบนี้
เธอถอดกำไลหยกวงหนึ่งออกจากมือตัวเอง และส่งให้หานฉ่ายหลิง “กำไลนี้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลลี่ อาจจะเก่าไปหน่อย แต่เป็นสิ่งที่ดี ตอนนั้นหลังจากที่ฉันแต่งเข้ามาในตระกูลลี่ แม่สามีฉันมอบให้ฉัน”
กำไลหยกที่แกะสลักอย่างเป็นธรรมชาติ ดูจากงานฝีมือและการออกแบบ ต้องมีประวัติมากกว่า100ปีแน่นอน
ไม่ใช่แค่ของดี ที่ถูกต้องน่าจะบอกว่าเป็นประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เป็นโบราณวัตถุที่รับการสืบทอด!
หานฉ่ายหลิงรีบปฏิเสธ “คุณป้า ของมีค่าขนาดนี้ ท่านรีบใส่ไวเถอะ!”
“ความจริง ตอนนั้นที่เฉินซีแต่งงานกับซูย้าว ฉันควรจะถอดให้กับลูกสะใภ้ แต่คุณรู้ ฉันไม่ได้ชอบหญิงคนนั้น เธอได้แต่งเข้ามาในตระกูลลี่ เพราะตอนนั้นนายหญิงสับสนแล้ว!”
ผ่านมาหลายปี เมื่อเจี่ยงเวินอี๋พูดถึงซูย้าวอีกครั้ง ยังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชังและเบื่อหน่ายที่พร้อมปะทุออกมา
ทันใดนั้น เธอจับมือของหานฉ่ายหลิงไว้ แววตามีเมตตาและใจดี “ไม่พูดถึงเรื่องในตอนนั้นแล้ว ตอนนี้คุณเป็นลูกสะใภ้ของฉัน กำไลนี้ก็ต้องให้คุณ ใส่เถอะ!”
“แต่นี่มีค่ามากเกินไป คุณป้า ฉันกลัวจะรับผิดชอบกำไลของท่านไม่ไหว ทำให้ท่านผิดหวัง!” หานฉ่ายหลิงแสร้งทำเป็นปฏิเสธสองครั้ง และโดนเจี่ยงเวินอี๋ดึงมือไป ใส่กำไลหยกให้
ข้อมือเรียว ผิวที่ละเอียดอ่อนภายใต้แสงไฟ ยิ่งทำให้ดูอ่อนโยนและละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น เธอมองข้อมือของตัวเอง ความสุขส่องประกายในแววตา
“ขอบคุณคุณป้า…แม่มาก!”
จู่ๆ ก็เปลี่ยนสัพพนาม ทำให้เจี่ยงเวินอี๋ที่ไม่ทันตั้งตัวตกใจเล็กน้อย ไม่ใช่แค่ยิ้มแต่ดึงเธอเข้ามากอดด้วย “ลูกสะใภ้ของฉัน ต่อแม่จะรักคุณเหมือนเป็นลูกสาวของแม่!”
หานฉ่ายหลิงยิ้มแก้มปริ เชื่อฟังราวกับเป็นกระต่ายน้อยบริสุทธิ์ไร้พิษภัยตัวหนึ่ง “ฉันกับเฉินซีจะกตัญญูต่อท่านอย่างดี!”
“ไม่ใช่แค่กตัญญูต่อฉัน เรื่องของเจิ้งเอ๋อคุณรู้อยู่แล้ว หลังจากนี้เมื่อลุกตื่นขึ้นมา คุณต้องทำดีกับเขาหน่อย อย่าให้เกิดข้อความลำเอียงระหว่างเขาและชาร์ลี!”
เจี่ยงเวินอี๋เลี้ยงลี่เจิ้งมาเองกับมือ เป็นหลานรักของย่า บางคำพูดต้องบอกกล่าวกันเป็นเรื่องธรรมดา
หานฉ่ายหลิงพยักหน้า “ฉันรู้”
“อีกอย่าง อีกไม่นานคุณกันเฉินซีก็จะแต่งงานกันแล้ว พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน หลังจากนี้ชาร์ลีก็ต้องเปลี่ยนมาใช้นามสกุลลี่ แต่ด้านการสืบทอดมรดก เขาไม่มีสิทธิ์ ข้อนี้คุณเองต้องชัดเจน” ขณะที่เจี่ยงเวินอี๋พูดเรื่องนี้ มีความน่าเกรงขามบนใบหน้าที่เย็นชา
หัวใจของหานฉ่ายหลิงหยุดเต้น ชาร์ลีเพิ่งจะห้าขวบ ยังห่างไกลจากการสืบทอดมรดกอีกอย่างก็สิบกว่าปี คิดไม่ถึงว่านายหญิงจะบอกกล่าวไว้ก่อนอย่างนี้
“เรื่องพินัยกรรม ฉันจะสั่งไว้เป็นพิเศษ นอกจากไม่สามารถสืบทอดมรดกของตระกูลลี่ได้ เรื่องอื่น ฉันจะปฏิบัติต่อเขาเป็นพิเศษเช่นกัน”
พูดถึงตรงนี้ เจี่ยงเวินอี๋พูดอีกว่า “อีกอย่าง เจิ้งเอ๋อมีน้องสาวหนึ่งคน คุณน่าจะรู้ เด็กคนนั้นชื่อซีซี เธอก็เป็นสายเลือดของตระกูลลี่ด้วย ภายหลังจะเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลลี่ ดังนั้นต้องปฏิบัติยังไงกับเธอ ฉันคงไม่ต้องบอกใช่ไหม?”
หานฉ่ายหลิงแสร้งทำเป็นยิ้มน้อยๆ อย่างใจดี “ท่านสบายใจได้ ฉันจะมองเจิ้งเอ๋อและซีซีให้เหมือนเป็นลูกที่คลอดออกมาเอง แต่ถ้าท่านยังกังวล ฉันสามารถส่งชาร์ลีไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศได้ หลังจากเขาโตแล้ว จะไม่เจอกันอีกเลย”
นี่เป็นประโยคลองใจ จึงพูดไปอย่างนั้น
แต่กลับไม่คิดว่าเจี่ยงเวินอี๋จะเห็นด้วยกับความคิดนี้ “อืม ความคิดนี้ไม่เลว ฉันก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน!”
หานฉ่ายหลิงตกใจตัวแข็งทื่อ
เธอแค่พูดไปเฉยเท่านั้นเอง!
ต้องส่งชาร์ลีไปต่างประเทศ? ไม่ว่ายังไง ชาร์ลีก็ใช้ชีวิตอยู่ข้างตัวเธอมาหลายปี หรือจะบอกว่า…
“รอหลังจากคุณกับเฉินซีแต่งงานกัน ค่อยส่งชาร์ลีไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศแล้วกันนะ!” เจี่ยงเวินอี๋พูดผลลัพธ์ออกมาตรงๆ
หัวใจของหานฉ่ายหลิงเต้นแรง แต่คิดแล้วคิดอีก ก็ดี ส่งไปต่างประเทศก็ส่งไปเถอะ!เพราะยังไงสำหรับเธอแล้วก็ไม่เสียหายอะไร…