บทที่ 37 ฉันหวังว่าเธอจะสบายดี
“เธอน่ะ ไม่สบายดีเลยสักนิด ไม่เพียงแค่ไม่ดี ยังป่วยอีกด้วย!”
ไม่รอให้ซูย้าวโต้ตอบ โม่หว่านหว่านก็รีบแย่งเธอตอบก่อน
รูม่านตาของหลินโม่ป่ายขยายกว้างอย่างรวดเร็ว ตะลึงทันที “ทำไมถึงป่วย?”
โม่หว่านหว่านพูดอีกครั้งว่า “เป็นภูมิแพ้สารเคมี เกือบจะต้องนอนโรงพยาบาล! ไม่เพียงแค่นั้น เพราะอาการป่วยครั้งนี้ แม่สามีเกือบจะพรากลูกไปจากเธอ!”
เมื่อได้ยินโม่หว่านหว่านพูดเกินจริง ซูย้าวรู้สึกเอือมระอาเล็กน้อย
หลินโม่ป่ายลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ จ้องมองเธอด้วยสายตาตื่นตระหนก “ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่? สารเคมีชนิดใดทำให้เธอมีอาการแพ้ได้?”
“พอแล้ว ไม่รบกวนเพื่อนเก่าอย่างพวกเธอแล้ว! ฉันจะพาเจิ้งเอ๋อไปเล่นตรงโน้นสักพัก!” โม่หว่านหว่านชี้ไปทางห้องเกมส์ที่ทางร้านอาหารได้จัดเตรียมไว้สำหรับลูกๆ ของแขกทุกๆ คนที่อยู่ไกลๆ ด้านในมีสระขนาดใหญ่ ข้างในเต็มไปด้วยลูกโป่ง เจิ้งเอ๋อค่อนข้างชอบมาก
เมื่อเหลือแค่คนสองคน หลินโม่ป่ายตรงไปจับมือของเธอ ด้วยแววตาที่เป็นกังวล อารมณ์เป็นห่วงที่เห็นได้ชัด แม้กระทั่งน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล “บอกฉันมา สารเคมีอะไรกันแน่ที่ทำให้เธอมีอาการแพ้? ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว?”
ขณะที่เขาพูด ก็ตรงไปเปิดเสื้อแขนยาวของเธอ
การกระทำค่อนข้างตรงไปตรงมา และเร็วเกินไป ทำให้ซูย้าวไม่ทันได้หยุดไว้
ผิวที่ขาวประดุจหิมะ ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ ที่แค่เป่าก็แตกได้ประดุจทารกที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่
หลินโม่ป่ายถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันก็ปล่อยมือเธอออก “ตอนนี้ดีขึ้นรึยัง?”
ซูย้าวพยักหน้า และใช้ภาษามือ “ไม่เป็นไรแล้ว อย่าไปฟังหว่านหว่าน เธอชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
“อาการแพ้เรื่องแบบนี้เป็นทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก หากร้ายแรง อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้! ย้าวย้าว เธอจะประมาทไม่ได้!”
หลินโม่ป่ายเป็นคุณหมอ ค่อนข้างอ่อนไหวต่อเรื่องพวกนี้
โดยเฉพาะคนที่เขาแคร์ จะไม่มีทางละเลย
เธอส่ายหน้า แสดงอาการว่าไม่เป็นไรจริงๆ
แต่หลินโม่ป่ายยังคงไม่วางใจ จึงได้พูดเตือนไปหลายอย่าง สุดท้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดอีกครั้งว่า “ยาที่ฉันให้เธอไปครั้งก่อน ได้กินไปรึยัง?”
เธอก้มหน้าลง สิ่งที่เขาให้เธอ เป็นยาสมุนไพรจีนที่ต้มแล้วทั้งหมด ทุกวันเพียงเก็บไว้ในตู้เย็น แค่นำไปอุ่นในไมโครเวฟก่อนนำไปรับประทานก็ได้แล้ว ซึ่งสะดวกมาก
เขาเป็นคนที่ละเอียดอ่อน มาโดยตลอด
โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการปัญหาของเธอนั้น จะพิถีพิถันเหมือนฝุ่นผง แม้แต่เรื่องเล็กน้อย
แต่น่าเสียดาย ระหว่างทั้งสองคนไม่มีวาสนาต่อกัน
ความรักของเขา ซูย้าวทำได้เพียงปฏิเสธ
“ผลเป็นยังไง? เสียงรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือยัง?” หลินโม่ป่ายถาม
ซูย้าวใช้ความคิด บางทีอาจเป็นเพราะระยะเวลาในการต้มยาสั้นไป เธอไม่รู้สึกว่าอาการจะดีขึ้นเลย
จากนั้น ก็ใช้ภาษามือพูดว่า “ฉันเสียงหายไปนานหลายปีแล้ว และไม่ได้จะหายในทันทีโม่ป่าย ฉันเข้าใจความหวังดีของนาย แต่ต่อไป…”
อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะพูดจบ เขาก็หยุดไว้
มือเรียวใหญ่มาหยุดเธอไว้ และกุมไว้แน่น รอยยิ้มบางๆ หยุดนิ่งไว้ตรงหน้าเธอ และพูดอีกครั้งว่า “มีผลเพียงแค่น้อยนิดก็ยังดี เสียงของเธอใช่ว่าจะใช้เวลาเพียงแค่สองสามวันก็รักษาให้หายได้ วันเวลาผ่านไป ต้องมีสักวัน เธอจะสามารถพูดได้อีกครั้ง!”
นี่คือสิ่งที่หลินโม่ป่ายมุ่งมั่นมาโดยตลอด ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน ซูย้าวเมื่อตอนยังเด็ก
เสียงนั้นช่างหวานไพเราะ นั่นคือเธอที่สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ว่าจะใช้วิธีใดมากมายแค่ไหน ไม่ว่าจะต้องจ่ายไปเท่าไหร่ เขาก็ต้องหาวิธีทำให้เธอกลับมาเหมือนเดิมให้ได้!
วินาทีนั้น ซูย้าวไม่รู้ควรพูดอะไร
เพียงรู้สึกแค่ว่าหัวใจทุกส่วน ที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งที่เยือกเย็นมานาน กำลังค่อยๆ หลอมละลาย
มันไม่ใช่ความรัก แต่กลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
อย่างที่ทราบกันเอง ด้านบนของบันไดชั้นสอง เงาที่คุ้นเคยได้ยืนอยู่ สายตาจ้องมองหนุ่มสาวที่กำลังสนทนากันที่โต๊ะอาหารชั้นล่าง ใบหน้าของเขาแปลกไป
ซูหยวนรีบหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถือมือถือหายเข้าไปในห้องน้ำ
แต่งรูป แล้วต้องการส่งไปให้ลี่เฉินซี
เล็บสีแดงกำลังจะแตะปุ่มส่ง กลับต้องหยุดชะงักไว้—
แค่ภาพถ่ายเพียงไม่กี่ใบ ระหว่างหลินโม่ป่ายและซูย้าวก็ไม่ได้มีการกระทำที่ใกล้ชิดกันสนิทกัน แม้ว่าลี่เฉินซีจะเห็น แล้วยังไงล่ะ?
คาดว่าคงไม่สามารถทำให้เกิดพายุได้ ซูหยวนต้องการยอมแพ้ แต่ก็ยังไม่ยอม ใช้ความคิด แล้วก็โทรออก
“มาช่วยฉันหน่อยสิ!”
หลังจากวางสาย มองผ่านกระจกในห้องน้ำ ริมฝีปากแดงที่น่าหลงใหลเบ้ปากขึ้น หางตาที่เต็มไปด้วยสายตาเหยียดหยาม ยิ่งสดใส ยิ่งชั่วร้าย
หลังอาหารเย็น ซูย้าวและโม่หว่านหว่านเช็กบิลแล้วออกไปจากร้านอาหาร หลินโม่ป่ายขึ้นไปทานอาหารร่วมกับเพื่อนๆ ที่ชั้นบน
โม่หว่านหว่านกำลังจะไปลานจอดเพื่อเอารถ และซูย้าวเพิ่งทานอิ่ม อุ้มเจิ้งเอ๋อรอเธอข้างทาง เจ้าตัวน้อยค่อนข้างกระดุกกระดิก ในอ้อมแขนของเธอมือเล็กเอาแต่ชี้รถที่กำลังวิ่งไปมาอยู่บนท้องถนน ด้วยความตื่นเต้น
เด็กส่วนใหญ่มักจะรู้สึกใหม่ต่อสิ่งต่างๆ ไม่น่าแปลก ใครใช้ให้เจิ้งเอ๋อเด็กเกินไปล่ะ?
ซูย้าวยิ้มขณะอุ้มเขาไว้ ยืนอยู่ข้างทาง หันไปทางสายลมยามเย็น ปล่อยให้ลูกมองรถที่ขับไปมา
ทันใดนั้น ไฟสูงจากระยะไกล ก็ส่องมากระทบดวงตาของซูย้าว ทำให้เธอลืมตาไม่ขึ้น รถที่ขับมาอย่างรวดเร็ว พุ่งมาหาเธออย่างรวดเร็ว
ชั่วครู่ ซูย้าวไม่ตอบสนองเพราะความตกใจ
คนเราเมื่อเผชิญกับความตกใจมาก มักจะไม่ตอบสนองใดๆ ราวกับถูกแช่แข็งไว้ เวลาเดียวกันการไหลเวียนของเลือดในร่างกายก็แข็งตัวเช่นกัน
แม้ว่าซูย้าวจะตอบสนองกลับมาแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ความรวดเร็วของคนเรา เมื่อเทียบกับความเร็วของรถแล้ว เทียบกันไม่ติดเลย
เห็นได้ชัดว่ารักพุ่งเข้ามาหาเธอโดยเฉพาะ รถขับมาเร็วมาก รอให้ซูย้าวจะทันได้ตอบสนอง รถได้ใกล้เข้ามาแล้ว เธออุ้มลูกวิ่งไปทางร้านอาหาร เมื่อวิกฤตมาถึง สิ่งที่เธอนึกถึงก็คือ เจิ้งเอ๋อที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ
ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่ควรให้ลูกต้องตกอยู่ในอันตราย!
โม่หว่านหว่านก็ขับรถมาให้ทันในเวลานี้ รู้สึกถึงความผิดปกติของสถานการณ์ข้างหน้า แต่ขณะที่เธอขับรถตามไปนั้น ก็สายเกินไป!
รถคันสีดำคันนั้นได้ไล่ตามซูย้าวไป และได้ขับไปยังทางม้าลาย ขณะที่กำลังจะชนเธอนั้น ได้มีแรงมหาศาลพุ่งเข้ามาจากด้านข้าง ตรงมาดึงแขนของซูย้าวไว้ ดึงเธอเข้ามาสู่อ้อมแขนของตัวเองไว้
เธอมองหลินโม่ป่ายที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมด้วยความตื่นตระหนก ร่างนุ่มๆ ของเธอแนบชิดกับแผงอกของเขา ถูกเขากอดป้องกันไว้อย่างแน่นหนา
ขณะเดียวกันรถคันดังกล่าว ก็ขับผ่าน ทั้งสองคนไปอย่างรวดเร็ว ไปทางมอเตอร์เวย์ และหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
โม่หว่านหว่านรีบจอดรถข้างทาง และวิ่งลงมาจากรถ “เกิดอะไรชึ้นกับรถคันนั้น? ย้าวย้าว เธอเป็นยังไงบ้าง?”
ตกใจแต่ก็รอดมาได้!
ซูย้าวไม่ได้ดูแลความปลอดภัยของตัวเอง แต่ดูเจิ้งเอ๋อที่อยู่ในอ้อมแขนก่อน เขาก็ปลอดภัยดี มือเล็กยังคงเล่นกับผมที่ยาวของเธอ และยิ้มอย่างมีความสุข
เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเพิ่งสังเกตว่าตัวเองยังคงอยู่ในอ้อมกอดของหลินโม่ป่าย ด้วยท่าทางที่ใกล้ชิดสนิทสนม สุดจะพรรณนา
และในมุมหนึ่ง ซูหยวนได้จับมือถือไว้ ได้ถ่ายภาพฉากเมื่อครู่ไว้ แล้วชื่นชมภาพถ่ายนั้น ริมฝีปากยกขึ้นเหยียดยิ้มด้วยความเยาะเย้ย
ไม่ว่าอย่างไร เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ของเธอ ในที่สุดก็สำเร็จ!