โม่หว่านหว่านยอมแพ้กับท่าทีและน้ำเสียงของเจ้าตัวเล็กคนนี้เลย ทำหน้าเคร่งขรึมจริงจังเป็นเด็กแก่แดดไปได้ แถมยังวางมีดส้อมลง เช็ดปากและนั่งตัวตรงอย่างจริงจังมาก ทำท่าเหมือนกำลังรอฟังอยู่
เธออยากถามเขาจัง ว่านี่เขาเอาจริงดิ?
และอีกอย่าง ต้องขนาดนี้เลยหรอ?
เตียวเตียวรออยู่ครู่หนึ่ง เห็นเธอไม่พูดอะไร เลยเร่งเธอขึ้นมา“คุณน้าโม่ครับ ทำไมไม่พูดล่ะครับ?เรื่องอะไรกันแน่ครับ?”
“เออ……”
โม่หว่านหว่านเริ่มสงสัยว่าตัวเองวางเดิมพันทั้งหมดไว้บนตัวเด็กคนนี้ จะได้ผล……จริงหรอ?
ถ้าหาก แค่บอกว่าถ้าหากเขาทำพลาดไปล่ะ นั้นที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็สูญเปล่าไปหมดเลยนะ!
ระหว่างที่เธอกำลังคิดกลุ้มใจอยู่ เตียวเตียวก็เปิดปากพูด“เห็นแก่ที่คุณน้าโม่เลี้ยงข้าวเมื้ออร่อยๆนี้ผมและปกติก็ดีกับผมมาตลอด คุณน้าพูดมาเลยครับ!ขอแค่ผมสามารถช่วยได้ ผมจะช่วยแน่นอนครับ!”
พอพูดแบบนี้แล้ว กลับจุดประกายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในใจเธอขึ้นมา ในเมื่อก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ถ้างั้นก็สู้ให้เด็กคนนี้ไปลองดูก็ไม่เสียหายอะไร ไม่แน่อาจจะทำสำเร็จก็ได้!
คิดแบบนี้แล้ว เธอก็รีบมองหน้าเด็กแล้วพูดด้วยเสียงเบา“เตียวเตียว ที่จริงเรื่องที่คุณน้าจะให้ผมไปทำมันง่ายมากเลย ผมเรียนห้องเดียวกับชาร์ลีใช่มั้ยครับ!ปกติความสัมพันธ์ของผมกับเขาดีมั้ยจ้า?”
“ก็ดีอยู่ครับ!”เตียวเตียวพูด
โม่หว่านหว่านพูดต่อ“เรื่องดีไม่ดีช่างมันเหอะ พวกนายอยู่ด้วยกันตลอดใช่มั้ย เล่นด้วยกันประจำถูกหรือเปล่า?”
เตียวเตียวพยักหน้า
ระดับชั้นอนุบาลแบ่งออกเป็นหลายห้อง แต่ดันบังเอิญมาก ที่เตียวเตียวกับซีซีถูกแยกไปอยู่ห้องเดียวชาร์ลี
เด็กสิบกว่าคน ต้องเรียนด้วยกัน วาดภาพและเล่นเกมด้วยกัน มีหรอจะไม่รู้จักกัน?
โม่หว่านหว่านยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าวิธีนี้ได้ผล แล้วเธอก็พูดต่อ“นั้นผมช่วยน้าอย่างหนึ่งได้มั้ยจ้า คราวหน้าระหว่างที่ผมเล่นกับชาร์ลี ช่วยเอาเส้นผมของเขามาให้น้าหลายๆเส้นหน่อยได้มั้ยจ้า เอาแบบที่มีรากผมติดมาด้วย แบบว่าดึงออกมาจากหัวเลยแบบนั้นนะ”
“เส้นผม?”เตียวเตียวมึนงง
โม่หว่านหว่านเร่งรีบพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง“ใช่ๆๆ เส้นผม แบบถอนออกจากหัวแบบนั้นเลยนะ!”
การทะเลาะวิวาทต่อยตีกันระหว่างเด็กๆ ผู้ใหญ่คงไม่เอามาใส่ใจแน่ ถึงถ้ารุนแรงหน่อย คุณครูก็แค่ว่ากล่าวตักเตือนคำสองคำ เพราะฉะนั้นภารกิจที่ยากเย็นนี้มอบให้เตียวเตียวไปทำแล้ว ไม่มีผิดพลาดอย่างแน่นอน !
เธอแอบกดไลค์ให้ความคิดของตัวเอง
เตียวเตียวกลับมึนตึ้บ“คุณน้าครับ คุณน้าเป็นคนชอบเก็บสะสมเส้นผมหรอครับ?”
ระหว่างที่พูด เขาก็ใช้นิ้วมือไปม้วนผมของตัวเองโดยตรง“นั้นผมเอาเส้นผมของผมให้คุณน้าหลายๆเส้นด้วยดีมั้ยครับ?”
“……”
โม่หว่านหว่านหน้าดำทันที เธอว่างมากจนไม่มีงานทำแล้วหรอ จะมาเก็บสะสมเส้นผมคนอื่น!
เธอแค่อยากได้เส้นผมของชาร์ลีและหาโอกาสไปเอาเส้นผมจากซูย้าว นำเส้นผมของทั้งสองไปทำการตรวจDNA ขอแค่สามารถพิสูจน์ว่าชาร์ลีก็คือเด็กที่หายในตอนนั้น เธอถึงจะสามารถวางแผนการขั้นตอนต่อไป
“หรือว่าคุณน้า……ชอบอะไรแบบนี้หรอครับ?”เตียวเตียวย้อนถาม แววตาดูมึนงงและแอบรู้สึกสงสัย
โม่หว่านหว่านสูดหายใจเข้าสึกๆเหมือนทำอะไรไม่ถูก“นายพูดมาโดยตรง จะช่วยหรือไม่ช่วยฉันก็พอ!”
“เอาแค่ของชาร์ลีคนเดียวหรอครับ?”เตียวเตียวถาม
เธอพยักหน้า“เอาแค่ของชาร์ลีคนเดียว นายอย่าทำสับสนล่ะ!”
“แล้วของคนอื่นๆล่ะครับ?เพื่อนในห้องของผมมีเยอะเลยนะครับ!”
โม่หว่านหว่านหมดคำพูด“ฉันรู้ แต่ฉันต้องการเส้นผมของชาร์ลีแค่คนเดียว นายก็แค่บอกมาว่านายทำได้มั้ย?”
เตียวเตียวพูด“ทำได้สิครับ แต่ว่าที่คุณน้าขอ มันดูพิลึกจังเลยครับ!”
เห็นคนน้อยตรงหน้าคนนี้ อายุเพิ่งจะห้าขวบก็รู้เรื่องทุกอย่าง เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดมาก
“วางใจเถอะนะจ้า!คุณน้าไม่ทำร้ายชาร์ลีหรอกนะ และไม่มีวันทำร้ายใครด้วย ถึงแม้ตอนนี้ยังบอกทั้งหมดกับผมไม่ได้ แต่ผมทำตามที่น้าสั่งก่อน รอหลังจากนี้ คุณน้าจะบอกความจริงกับผมทุกอย่างเลยดีมั้ยจ้า?”น้ำเสียงของโม่หว่านหว่านฟังดูจริงใจมาก
เตียวเตียวเห็นแก่ที่เธอจริงจังมาก คิดว่าโม่หว่านหว่านก็เป็นคนดีจริงๆ เธอไม่เคยมีท่าทีจะทำร้ายเขาอะไรมาก่อน เลยยอมเชื่อเธอไปก่อน เขาพยักหน้าแล้วรับปากเธอทันที“ถึงผมจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ได้ครับ เพราะว่าคุณน้าก็ไม่ใช่คนร้ายอะไร!”
เห็นเด็กรับปากเธอแล้ว โม่หว่านหว่านดีใจตื่นเต้นใหญ่ รีบถามเตียวเตียวว่าอยากกินอะไร ทำให้เด็กมึนจนพูดอะไรไม่ออกเลย
ตั้งแต่หลังจากที่ซูย้าวคลอดลูก เด็กก็ถูกอุ้มหายไปอย่างลึกลับ โม่หว่านหว่านกับหลินโม่ป่ายปิดเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอด ใช้ทุกวิถีทางเพื่อสืบและค้นหา แต่ก็ไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่นิด
เด็กคนหนึ่ง ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะจู่ๆหายไปโดยไร้ร่องรอย หายสาบสูญไปแบบนี้ นอกซะจากว่าเด็กจะถูกสลับตัว และยังใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหานอย่างดี นั้นทั้งหมดนี้ก็สมเหตุสมผล
……
อีกฝั่งของเมือง ลี่เฉินซีกับซูย้าวออกมาจากคอนโดด้วยกัน พวกเขามาพบจิตแพทย์คุยกันอยู่นาน สุดท้ายคุณหมอผู้หญิงก็พูดแค่คำเดียว——
เด็กคนนี้ไม่น่าจะป่วยหรอกนะคะ
ดูแล้วไม่น่ามีปมหรือป่วยอะไรนะคะ แต่กลับดูแข็งแรงและฉลาดมาก
ซูย้าวฟังแล้วรู้สึกมึนงง อยากจะถามเพิ่ม กลับได้ยินคุณหมอผู้หญิงพูดว่ามีโอกาสให้พาซีซีมาให้เธอดูหน่อย
อันที่จริงก็ควรจะเป็นอย่างนั้น คุณหมอจิตแพทย์แม้แต่หน้าคนไข้ก็ยังไม่เคยได้พบ แล้วจะประเมินอาการและวิธีรักษาได้อย่างตรงจุดได้ยังไง?
ระหว่างทางที่กลับบ้าน เธอมองวิวทางนอกกระจก รู้สึกสงสัยเต็มอก แน่นอนว่าเธอต้องดีใจมาก ถ้าว่าซีซีไม่ได้ป่วย แต่ว่า ถ้าจิตไม่มีปัญหาจริงๆ แล้วทำไมตลอดเวลาสองปีเด็กถึงไม่ยอมพูดเลย?
แล้วปัญหาเกิดจากที่ไหน?
หรือจะเป็นเพราะเรื่องลักพาตัวเมื่อสองปีก่อน?
ระหว่างที่เธอกำลังเหม่อลอย ข้างหูก็มีเสียงทุ้มต่ำของลี่เฉินซีดังมา“คุณดูว่าวันไหนมีเวลา เราพาซีซีมาดูหน่อยแล้วกัน!”
“นี่มัน……”
พูดถึงเรื่องนี้ ซูย้าวก็ลังเลขึ้นมาอีก
ลี่เฉินซีสังเกตเห็นสีหน้าเธอดูลำบากใจมากเลยถาม“มีอะไรหรอครับ?หรือว่าคุณคิดว่าพาซีซีมาให้คุณหมอดูอาการมันเร็วไปหน่อย?หรือว่าคุณกังวลเรื่องอะไรอยู่?”
“ไม่ใช่ค่ะ ร่างกายของซีซีไม่ได้ป่วยเป็นอะไร แต่ไม่รู้ทำไมเธอไม่ยอมพูด วันๆเด็กโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่พูดไม่จาเลยมันก็ไม่ใช่ โดยเฉพาะตอนเข้าเรียน ต้องถูกเพื่อนล้อแน่ๆ……”
เรื่องรักษายังไงก็จำเป็น ไม่ว่าจะตอนนี้หรือว่าอนาคต ถึงตัวเธอจะไม่ชอบหมอจิตแพทย์มากเท่าไหร่ก็ตาม แต่ไม่ว่ายังไง ก็ต้องพาลูกไปรักษา
เธอเข้าใจความจริงข้อนี้ดี แต่พอถึงเวลาเอาเข้าจริงกลับเริ่มลังเลกลัวอีกครั้ง
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วขึ้น“ดูคุณทำหน้าเข้า?เป็นอะไรไป?”
“ฉันลำบากใจเรื่องซีซีสิคะ!”เธอสูดหายใจยาวทีหนึ่ง แล้วยอมเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด“ตอนที่อยู่อเมริกา ฉันก็เคยหาหมอจิตแพทย์มาช่วยรักษาลูกอยู่หลายคนค่ะ แต่ทุกครั้งที่ทำการรักษาได้ไม่ถึงสองครั้ง ซีซีก็ทำเอาหมอส่ายหัวกันทุกคน!”
นิ่งไปสักพัก เธอเอามือกุมขมับ แล้วคิดอะไรไม่ออก“แม้แต่ชื่อของฉัน ยังถูกคลินิกจิตแพทย์หลายคลินิกขึ้นบัญชีดำไปแล้วเลยค่ะ!”
ได้ยินที่เธอพูดแล้ว ลี่เฉินซีอดไม่ได้หัวเราะออกมาทีหนึ่ง“ซีซีทำอะไรกับหมอพวกนั้นหรอ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”เธอถอนหายใจอีกครั้งอย่างจนปัญญา“ทุกทีที่รักษาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วฉันจะรอที่ข้างนอก แต่ทุกครั้งยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงซีซีก็วิ่งออกมาแล้ว!”
“นี่……”
สีหน้าของลี่เฉินซีเกิดสงสัยขึ้นมา ยัยตัวแสบคนนี้ทำอะไรกับคุณหมอกันแน่?ดูท่าทางเป็นเด็กเงียบๆ ไม่น่าจะก่อเรื่องใหญ่อะไรได้หนิถึงจะถูก……
“แสดงว่าคุณไม่เข้าใจซีซีเลยค่ะ ยัยตัวแสบคนนี้ ดูแล้วเหมือนเด็กผู้หญิงเชื่อฟังเรียบร้อยมาก แต่ลึกๆแล้วร้ายมากเลยนะคะ!”
ถึงซูย้าวที่เป็นแม่แท้ๆไปวิพากษ์วิจารณ์ลูกสาวตัวเองแบบนั้นมันดูไม่ค่อยดี แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นพ่อของเด็กเลยว่าไปอย่าง
และอีกอย่างเธอก็พูดตามความจริง
ซีซีเป็นเด็กซนมาก แค่เธอไม่ชอบแสดงออกมาก็แค่นั้น
เธอพูด“ตอนที่เธอเพิ่งจะได้หนึ่งขวบก็ชอบทำร้ายข้าวของทุกอย่าง พวกของเล่นตุ๊กตา ถูกเธอฉีกออกเป็นชินๆ ทิ้งเรี่ยราดไปทั่ว พวกต้นไม้ดอกไม้ที่บ้านถูกเธอเด็ดทิ้งเหยียบเล่นหมด หมาและแมวที่เลี้ยงในบ้านกลัวจนวิ่งหนีเธอกระเจิง……”
หยุดไปครู่หนึ่ง เธอก็พูดต่อ“ไม่รู้ว่าลูกคนนี้เหมือนใครกันแน่!”
คำพูดที่ยังติดอยู่ที่ข้างหู ลี่เฉินซีตกใจอึ้งอย่างเก้อเขิน แล้วยกมือจับจมูกยิ้มขึ้นอย่างไร้เสียง
ซูย้าวแอบสังเกตพิรุกของเขาแล้วแกล้งพูด“คงไม่ใช่……เหมือนคุณหรอกนะ!”