เมื่อกลับมาจากริมทะเล ซูย้าวก็รู้สึกสบายอกสบายใจ เดิมความรู้สึกอึดอัดจากการที่คิดแต่เรื่องเด็กเต็มไปหมดในใจนั้น ไม่รู้ว่าทำไมถูกลี่เฉินซีทำให้กระสับกระส่าย…ไปหน่อย จนอยากจะลดอายุไปสักหลายปี กลายเป็นเด็กสาวแรกรุ่นที่มีอายสิบกว่าปีเสียอย่างนั้น
เธอรู้สึกว่าเหลือเชื่อกับตัวเองอยู่บ้าง แต่ริ้วแดงบนแก้มกลับแสดงทุกสิ่งออกมา
“ยังจะหน้าแดงอยู่หรือ” เสียงแผ่วเบาของชายหนุ่มลอยมาจากด้านข้าง สายตาที่ลี่เฉินซีมองมาที่เธอดูขบขัน
เธอกระอักกระอ่วนเล็กน้อย และรีบกระแอมไอ หางตาเหลือบมองไปเห็นซุปเปอร์มาร์เกตขนาดใหญ่ที่อยู่ถนนฝั่งตรงข้ามก็เอ่ยว่า “โอเคแล้ว ชิดข้างแล้วจอดรถเถอะค่ะ!”
“คุณจะไปซุปเปอร์มาร์เกตหรือ” เขาถามขึ้นมากะทันหัน
ซูย้าวผงกศีรษะ “อืม คุณจะไปด้วยกันไหมคะ”
ลี่เฉินซียิ้ม “คุณอยากไหมล่ะ”
“ไม่อยากค่ะ!” ไม่อยากแม้แต่น้อย!
เมื่อเห็นท่าทางของเธอแล้ว เขาก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ “โอเค ผมไม่หยอกคุณแล้ว ทางนู้นผมยังมีเรื่องนิดหน่อย คงจะกลับไปก่อน หลังจากคุณรับลูกกลับบ้านแล้วก็ส่งข้อความวีแชทให้ผมหน่อย”
เธอเอ่ย ‘อืม’ เสียงเบา ชายหนุ่มก็ขับรถไปจอดริมทาง หลังจากนั้นซูย้าวก็ลงจากรถอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เดินไปไม่ถึงสองก้าวก็นึกขึ้นมาได้กะทันหัน จึงรีบหันกลับมาด้วยความรวดเร็ว “ไม่ถูกมั้งคะ! รถคันนี้เป็นของฉัน คนที่ต้องลงจากรถควรเป็นคุณถึงจะถูก!”
“เอ่อ…”
ลี่เฉินซีชะงักค้าง และนึกขึ้นมาได้ว่าเพื่อที่จะขึ้นรถเธอก่อนหน้านี้ ได้ทิ้งรถตัวเองไว้ในลานจอดรถ
เขายิ้มและจอดรถไว้ที่ลานจอดรถซุปเปอร์มาร์เกต ทั้งสองคนพูดคุยกันง่ายๆไม่กี่ประโยค เขาก็กวักเรียกรถแท็กซี่แล้วจากไป
ซูย้าวมองส่งชายหนุ่มจากไปด้วยสายตาแล้วก็คอยๆสลัดหลุดจากความคิดที่สับสนวุ่นวาย ในใจตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงว่า ตัวเองก็ไม่ใช่เด็กอายุไม่กี่ขวบแล้ว ถึงกับต้องตื่นเต้นจนมีท่าทางแบบนี้ เพราะคำพูดสองสามประโยคของเขาด้วยหรือ?
ซูย้าวหนอซูย้าว จะสงวนตัวสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ?!
ช่างมันเถอะ ใครใช้ให้คนคนนั้นเป็นลี่เฉินซีกัน? คนเราอยู่บนโลก ในชีวิตของทุกคนล้วนมีการคงอยู่ที่พิเศษอยู่หนึ่งหรือสองอย่าง ล้วนมีคนที่ทำให้ปวดหัวเป็นพิเศษแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่คนหนึ่ง
ส่วนในชีวิตของเธอ ลี่เฉินซีก็เป็นแบบนั้น
เธอตั้งใจจะเดินซุปเปอร์มาร์เกตจริงๆ ถึงอย่างไรตู้เย็นในบ้านก็ว่างเปล่า ไม่มีวัตถุดิบอาหารและผลไม้ สองวันมานี้ล้วนพาเด็กๆออกไปกินข้าวข้างนอก ถึงอย่างไรเด็กก็ยังอยู่ในวัยเจริญเติบโต ต้องการโภชนาการอาหารที่สอดคล้องกัน
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ตอนที่ซูย้าวกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในซุปเปอร์มาร์เกต เสียงโทรศัพท์มือถือกลับดังขึ้น
หลังจากรับโทรศัพท์ก็ทำให้เธอทิ้งความคิดที่จะเดินซุปเปอร์มาร์เกต และขับรถไปยังร้านกาแฟที่ชื่อว่าเจียงหนานแห่งหนึ่ง
ที่แห่งนี้อยู่ห่างจากโรงเรียนอนุบาลไม่ไกล อีกครู่หนึ่งไปรับเด็กๆก็นับว่าสะดวก
ซูย้าวเข้ามาก็เห็นหลินจิ้งซูที่นั่งรอเธออยู่ตรงนั้นตั้งนานแล้ว
และคนที่เพิ่งจะโทรศัพท์นัดเธอ ก็คือหลินจิ้งซู
เธอเดินเข้าไปแล้วนั่งลง
หลินจิ้งซูเอ่ยก่อนว่า “ฉันสั่งกาแฟดำแทนเธอไปแก้วหนึ่ง ไม่รู้ว่าเธอชอบหรือเปล่า”
ซูย้าวก้มหน้ามองแก้วที่บริกรเพิ่งจะนำมาเสิร์ฟเมื่อครู่ ไอร้อนที่ลอยขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟปะทะเข้ากับจมูก แต่กลับละเลยความขมปร่าของกาแฟดำ นี่คือสิ่งที่เธอชอบมากที่สุดในช่วงอายุสิบแปดสิบเก้าปี
ดูท่าการที่หลินจิ้งซูสามารถรู้เรื่องความชื่นชอบในคราแรกได้ คาดว่าน่าจะรู้ผ่านหลินโม่ป่าย
เธอยกขึ้นมาดื่มไปคำหนึ่ง “รสชาติดีมากค่ะ ฉันชอบมาก”
“นี่น่าจะเป็นรสชาติที่เธอชอบในปีนั้น ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ ดูท่าระดับความชื่นชอบของซูย้าวที่มีต่อสิ่งต่างๆและผู้คนนั้นไม่เหมือนกัน” หลินจิ้งซูพูดจาอ้อมค้อม ภายในคำพูดนั้นมีความนัยแอบแฝงอยู่
ซูย้าวยิ้มให้อย่างสงบ มองไปทางเธอ “ประธานหลินมาหาฉันในวันนี้มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันจะเอ่ยตรงๆเลยแล้วกัน ก่อนหน้านี้ฉันเดินผ่านริมทะเลพอดีจึงเห็นเธอกับลี่เฉินซีอยู่ด้วยกัน” หลินจิ้งซูเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
ซูย้าวนึกถึงภาพเมื่อครู่ที่ตัวเองกอดอยู่กับลี่เฉินซีที่ริมทะเลขึ้นมาทันที เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดได้ง่ายจริงๆ
เพียงแต่ว่า หากเอ่ยในตอนนี้ก็ไม่สามารถใช้คำว่า ‘เข้าใจผิด’ คำนี้มาอธิบายได้แล้ว!
“เช่นนั้น สิ่งที่ประธานหลินอยากจะพูดก็คือ…”
หลินจิ้งซูเอ่ย “ฉันไม่ใช่คนที่ชื่นชอบเขาไปยุ่งเรื่องชีวิตส่วนตัวของคนอื่น แต่ถ้าหากว่าเรื่องนี้หรือจะพูดว่าคนคนนี้เกี่ยวกับน้องชายฉันล่ะก็ นั่นไม่เหมือนกันแล้ว”
ซูย้าวเข้าใจความหมายของเธอ จึงพยักหน้าเช่นกัน “คำพูดเหล่านี้อาจจะผิดต่อโม่ป่าย แต่ว่าฉันกับเขาไม่ได้ยืนยันความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนมาโดยตลอด ดังนั้น…”
เธอลากเสียงยาว สำหรับความทุ่มเทและการเสียสละที่หลินโม่ป่ายมีให้กับตัวเอง รวมไปด้วยการดูแล คอยอยู่เป็นเพื่อนมาหลายปีนี้ เธอก็รู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันใจ ส่วนสำหรับตัวเองที่ยอมรับลี่เฉินซีอีกครั้ง ก็เป็นการละเลยความรู้สึกของหลินโม่ป่ายไปโดยสิ้นเชิง เธอก็รู้สึกละอายใจจนไปรู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
“ฉันรู้ว่าเธอกับโม่ป่ายไม่ได้คบกัน แต่ว่าเขารักเธอมาตลอด เพื่อเธอแล้วสามารถสละได้ทุกสิ่ง แม้ว่าจะเป็นชีวิตของเขาก็ไม่เสียดายแม้แต่น้อย ฉันก็เป็นผู้หญิง ถ้าหากได้พบกับผู้ชายแบบนี้ล่ะก็ เกรงว่าฉันคงจะไม่ใส่ใจทุกสิ่งเพื่อที่จะได้อยู่กับเขา” หลินจิ้งซูเอ่ยความรู้สึกของตัวเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา
แต่ซูย้าวกลับเอ่ยว่า “ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าในบางความรู้สึก ฉันก็ละอายใจที่จะเผชิญหน้ากับโม่ป่าย กระทั่งคำว่าขอโทษก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ แต่ว่าเป็นเพราะไม่สามารถทำผิดต่อเขาได้ ฉันจึงยิ่งไม่สามารถแข็งขืนต่อความคิดที่อยู่ในใจของฉันจริงๆ หลอกทั้งตัวเองและผู้อื่นเพื่ออยู่กับเขา”
รู้อยู่แท้ๆว่าคนที่ตัวเองรักในใจคือใคร ยังจะหลอกตัวเองและผู้อื่นโดยการเลือกอีกคนหนึ่ง เพราะสำนึกในบุญคุณและเพื่อตอบแทน เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายอย่างร้ายแรงที่สุดล่ะนะ!
หลินโม่ป่ายไม่ใช่คนโง่ เธอรักใครกันแน่นั้นเขารู้ดี
แม้ว่าจะฝืนอยู่ด้วยกัน แต่สำหรับหลินโม่ป่ายแล้วจะยุติธรรมจริงๆหรือ
“เธอเข้าใจแล้วว่าตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ฉันก็ไม่อยากประเมินค่าความรู้สึกของเธอ และไม่อยากจะเขาไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกเธอ แต่ว่านะ ซูย้าว ตอนนี้ไม่เหมือนกับช่วงเวลาปกติ ทางด้านคุณพ่อฉันนั้น สามารถจะ…”
ในฐานะที่หลินจิ้งซูเป็นลูกสาว จึงไม่อยากจะเอ่ยเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของบิดาออกมาตามตรง ดังนั้นเมื่อเอ่ยถึงหัวข้อสนทนานี้ เธอจึงลากเสียงยาวเป็นธรรมดา
แต่ซูย้าวเข้าใจดีว่าทางด้านประธานหลิน พร้อมจะลาโลกนี้ไปได้ทุกขณะ อาจจะผ่านฤดูหนาวนี้ไปไม่ได้
การแข่งขันในกรุ๊ปหลินนั้นดุเดือดมาก หลินโม่ป่ายไม่ได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเพียงคนเดียว เขาเพียงแค่ได้ตำแหน่งด้วยชอบและเหตุผล แต่เมื่อพูดถึงความสามารถแล้ว เขายังห่างชั้นอยู่มาก
เป็นคุณหมอที่ดี ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเป็นเถ้าแก่ที่ดีคนหนึ่งได้
นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดที่หลินโม่ป่ายเผชิญอยู่
“ตอนนี้สำหรับหลินโม่ป่ายไม่เหมือนในช่วงเวลาปกติ ในฐานะที่ฉันเป็นพี่สาวก็ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยอะไรเขาได้ ฉันก็รู้เช่นกันว่าเธอสำคัญสำหรับเขามาโดยตลอด ดังนั้นถือเสียว่าฉันขอร้องเธอ ในตอนนี้อยู่เป็นเพื่อนข้างกายเขาเถอะนะ!” หลินจิ้งซูเอ่ยคำขอร้องของตัวเองออกมา
อาจจะรู้สึกว่าเป็นการฝืนบังคับจิตใจผู้อื่น เธอจึงรีบเอ่ยเสริมว่า “โม่ป่ายเป็นคนที่ชัดเจนในความรู้สึกมากคนหนึ่ง เขาจะไม่ทำอะไรเป็นการดึงดัน บีบบังคับเธอ ซูย้าว นี่ไม่ได้ทำอะไรให้เธอเสียหาย ฉันไม่ได้ขอร้องให้เธอเป็นแฟนเขา เป็นเพื่อนอยู่ข้างกายเขา ช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาที่โศกเศร้า และสืบทอดกรุ๊ปหลินได้อย่างราบรื่นก็พอ เรื่องราวหลังจากนี้ ฉันจะไม่ถามอะไรอีกแม้แต่ครึ่งประโยค”
ท่าทีของหลินจิ้งซูเต็มไปด้วยความจริงใจ เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน เห็นน้องชายวิ่งเต้นด้วยความเหนื่อยยากลำบากทั้งวัน ถูกพวกกรรมการบริหารและเครือญาติทำให้ลำบากใจ สิ่งที่เธอทำได้เพียงอย่างเดียวก็คือ พยายามช่วยจัดการทุกสิ่งให้ดีเพื่อเขา ช่วยให้เขารับช่วงสืบทอดกิจการได้อย่างราบรื่น
ซูย้าวมองเธอ “ประธานหลิน แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องทางกรุ๊ปหลิน แต่โม่ป่ายเป็นลูกชายคนเดียวของประธานหลิน การรับช่วงต่อกิจการ รับบทบาทตำแหน่งประธานบริษัทก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีคุณเป็นผู้ช่วย แทบจะกลายเป็นความจริงที่แน่นอนอยู่แล้วนะคะ”
แม้ว่าตอนนี้จะมีคลื่นลมอุปสรรคไม่หยุด เรื่องราวซับซ้อนทั้งในและนอกตระกูลมากมาย แต่อย่างไรก็จะจัดการได้เรียบร้อย
“แต่ว่าประธานหลิน ฉันกลับมองออกถึงความหวาดหวั่นและหวาดกลัวในใจคุณได้ คุณกลัวอะไรกันแน่คะ” ซูย้าวเอ่ยถามขึ้นมากะทันหัน
หลินจิ้งซูมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มเย็นชา “โม่ป่ายบอกว่าคุณชำนาญเรื่องจิตวิทยา ดูท่าจะเป็นความจริงนะ!”
ซูย้าวยิ้มบางๆ ก้มหน้าดื่มกาแฟโดยไม่เอ่ยอะไร
“ฉันกลัวอะไรกันแน่…ถ้าหากว่าฉันบอกเธอไป ฉันกลัวว่าโม่ป่ายจะหลบหนีไปทันที เธอเชื่อไหม”
เสี้ยววินาทีที่สิ้นเสียง มือซูย้าวที่ยกแก้วกาแฟก็สั่นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ เธอเหลือบตาขึ้นมอง “เขาจะหนีหรือคะ”
“เธอไม่รู้หรือ ทั้งหมดที่เขาทำเพื่อเธอในตอนแรกน่ะ หรือว่าหลายปีมานี้เขาไม่ได้บอกเธอเลยกัน”
หลินจิ้งซูมีท่าทีตกตะลึง หมดหนทางที่จะจินตนาการ ความทุ่มเทและการเสียสละของน้องชายตัวเองเพื่อผู้หญิงคนนี้ทั้งหมดถึงกลับถูกเก็บเอาไว้มานานหลายปี และไม่เคยเอ่ยกับเธอเลยสักคำหนึ่ง?!