บรรยากาศภายในร้านกาแฟสงบนิ่ง กลิ่นหอมกรุ่นบางๆของเมล็ดกาแฟที่ถูกบดในตอนนี้อบอวล เสียงเพลงเปียโนที่บรรเลงอย่างเชื่องช้าอยู่ข้างหู
สดชื่น เรียบง่ายและสง่างาม
สไตล์เก๋ไก๋ในร้านเล็กๆให้ความรู้สึกที่แตกต่างกลับทำให้ซูย้าวถึงกลับหายใจไม่ออก หัวใจเต้นช้าลงไปหลายจังหวะในเสี้ยวพริบตาที่หลินจิ้งซูเอ่ยพูด
หลินโม่ป่ายเคยทุ่มเทอะไรเพื่อเธอ
เกี่ยวกับคำถามนี้ ซูย้าวไม่เคยสืบหาอย่างละเอียดมาก่อน
ในตอนนี้ไม่รอให้เธอได้ไตร่ตรองถึงปัญหานี้ คำถามของหลินจิ้งซูก็มาถึงข้างหน้าแล้ว “หลายปีมานี้ นอกจากความเป็นเพื่อนแล้ว เธอไม่มีความรู้สึกใดๆให้กับโม่ป่ายเลยแม้แต่น้อยหรือ”
เสียงของหลินจิ้งซูเพิ่งจะสิ้นสุด ก็เบนสายตาออกไปทันที เธอสูดลมหายใจลึก และไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องอื่น เธอกังวลว่าจะเห็นความไม่แยแสหรือไม่ใส่ใจพาดผ่านใบหน้าของซูย้าวไป เพียงแค่เล็กน้อย เธอก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว
แต่หลินจิ้งซูสงบมาก เธอก็รู้เช่นกันว่าความรู้สึกระหว่างชายหญิงไม่ได้หมายความว่าทุ่มเทไปเท่าไร ก็จะได้รับการตอบแทนกลับมาเท่านั้น การต่อว่าหรือก้าวก่ายใดๆของเธอในตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่หลินโม่ป่ายต้องการ
พูดอีกอย่างได้ว่า เธอจะทำอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะก้าวก่ายความรู้สึกของคนอื่นได้ แต่สิ่งที่ทำได้นั้นก็มีเพียงแค่พยายามบอกในสิ่งที่ซูย้าวไม่รู้ทั้งหมดกับเธอ
ซูย้าวมองผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามด้วยความตกตะลึง ความสับสนและซับซ้อนในจิตใจทั้งหมดเกิดขึ้นจากแต่ละประโยคที่ค่อยๆออกมาจากปากของหลินจิ้งซู
——ซูย้าว เธอมีพรสวรรค์และฉลาดเป็นอย่างยิ่งตั้งแต่เด็ก ดังนั้นเมื่ออายุ 18 ปีก็สอบเข้าสาขาการเงินและเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยAได้ แต่ในตอนนั้นด้วยสถานการณ์ของตระกูลซู ไม่ต้องให้ฉันพูดเธอก็รู้นะว่า แม่เลี้ยงและพ่อเลี้ยงของเธอไม่เห็นด้วยที่เธอจะเรียนต่อ ท่ามกลางความยุ่งยากต่างๆนานา เธอก็ได้เรียนต่อแล้ว ทั้งยังใช้ความรวดเร็วสูงสุดโดยการข้ามไปเรียนปีสามภายในหนึ่งปี ไม่ถึงสองปีก็เรียนวิชาทั้งหมดในมหาวิทยาลัยครบถ้วน และจบการศึกษาด้วยความราบรื่น
——สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความสามารถแต่เดิมของเธอ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณใคร เรื่องสำคัญที่ฉันจะพูดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่ ‘ทุนการศึกษา’ ที่เธอคิดว่าทำให้เธอจบการศึกษาได้อย่างราบรื่นนั้น เป็นโม่ป่ายที่นำเงินของตัวเองไปช่วยเหลือด้านเงินทุนให้กับทางมหาวิทยาลัยถึงจะแลกมาได้
——หลังจบการศึกษาปีต่อไป เพราะพินัยกรรมของนายหญิงใหญ่ตระกูลลี่ เธอจึงแต่งงานกับลี่เฉินซี งานแต่งงานเรียบง่ายมาก กระทั่งพิธีการต่างๆก็ไม่มี ในขณะที่ทุกคน รวมไปถึงเจี่ยงเวินอี๋ ว่าที่แม่สามีของเธอในตอนนั้นล้วนหัวเราะเยาะเธอว่าเป็นคนใบ้ ตอนที่ถูกดูถูกเหยียดหยาม ทำไมงานแต่งงานและหลังการแต่งงานปีกว่า เธอยังผ่านมาได้อย่างราบรื่น?
——เป็นโม่ป่าย เขาไปหาเจี่ยงเวินอี๋เป็นการส่วนตัว นำหุ้นทั้งหมดที่อยู่ภายใต้ชื่อของตัวเองไปขายแลกเป็นเงิน และมอบเป็นเงินบริจาคให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศลของเจี่ยงเวินอี๋โดยไม่ลังเล
——ตอนที่เธอหย่าเมื่อห้าปีก่อน ร่างกายของคุณพ่อก็ไม่ไหวแล้ว การตามโม่ป่ายให้รีบกลับมาบ้านเพื่อรับช่วงต่อบริษัทนั้นไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่ล้วนถูกเขาปฏิเสธ
——เขายินยอมที่จะไปต่างประเทศเป็นเพื่อนเธอ เมื่อไปก็ไปถึงห้าปี ก่อนหน้านี้ครอบครัวของเถียนลี่ลี่ ความทรงจำเธอน่าจะยังเด่นชัดอยู่นะ ทำไมถึงได้แก้ปัญหาพวกนี้ได้ราบรื่นขนาดนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าโม่ป่ายขอร้องลุงสาม
——ซูย้าว ตั้งแต่เด็กเธอก็เติบโตมาพร้อมกับโม่ป่าย สำหรับสถานการณ์ในครอบครัวของพวกเรานั้น เธอก็เข้าใจทั้งหมดเช่นกัน ความทะเยอทะยานของลุงสามมีมากแค่ไหน คิดอยากจะได้อะไรกันแน่ เธอชัดแจ้งกว่าฉัน โม่ป่ายกลับไปขอความช่วยเหลือจากลุงสามในตอนนี้ เพียงเพื่อที่จะแก้ปัญหาวุ่นวายพวกนี้แทนเธอ
หลินจิ้งซูเอ่ยถึงตรงนี้แล้วก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก เธอเพียงแค่มองซูย้าว “สิ่งที่เขาทุ่มเทและวิธีการของเธอล้วนเป็นเรื่องระหว่างพวกเธอ ฉันไม่อยากจะก้าวก่าย แต่ว่านะซูย้าว ฉันยังคงเอ่ยคำพูดก่อนหน้านี้ ช่วงเวลานี้ ฉันหวังว่าเธอจะสามารถอยู่เป็นเพื่อนข้างกายโม่ป่าย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม”
“บางครั้ง คำโกหกด้วยความปรารถนาดีก็เป็นวิธีการจัดการที่ดีที่สุด หลอกลวงไม่จริงใจ ยากที่จะแยกแยะ ไม่จำเป็นต้องซักถามมากเกินไป”
หลินจิ้งซูทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ก่อนจะลุกขึ้นแล้วจากไป
ซูย้าวกลับยังคงนั่งอยู่ในร้านนั้นอีกนาน เนิ่นนาน
ไม่ใช่ว่าหลินจิ้งซูเอ่ยคำพูดรุนแรง เพียงแต่ถูกความจริงที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนพวกนั้นทำให้ช็อกไป
ความทรงจำของเธอยังคงชัดเจน เป็นช่วงเวลาหลังจากการสอบเอนทรานซ์
ซัวฉ่ายลี่และเซียวควนมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ไม่สนับสนุนให้เธอเรียนต่อมหาวิทยาลัย และทางมหาวิทยาลัยAก็ไม่ค่อยจะยินยอมรับนักเรียนแบบเธอเท่าใดนัก
เหตุผลนั้นง่ายมาก
ในคราแรกเธอเป็นเพียงแค่คนใบ้
นักเรียนแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือเพื่อนนักเรียนที่อยู่รอบด้านแล้วจะต้องเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตและการเรียนอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นอุปสรรคทางด้านภาษา
เธอเป็นคนใบ้คนหนึ่ง ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนข้างกายเธอจะใช้ภาษามือเป็นเหมือนกัน
ถ้าหากว่าการสื่อสารเป็นอุปสรรคแล้วล่ะก็ เช่นนั้น ปัญหาอื่นๆก็จะทยอยตามกันมาไม่ขาดสาย
ในคราวแรกที่ซูย้าวจะตัดใจแล้วนั้นกลับได้รับการประกาศแจ้งจากทางมหาวิทยาลัย หวังว่าเธอจะมารายงานตัวที่มหาวิทยาลัยโดยเร็ว ทั้งยังทำลายกฎเกณฑ์โดยการมอบทุนการศึกษาให้อีก
ซูย้าวไม่เคยสงสัยมาก่อน และถึงแม้ว่าจะสงสัย แต่ก็ตรวจไม่พบสาเหตุหรือเบาะแสใดๆ ในไม่ช้าเรื่องก็จบลงโดยไม่มีบทสรุปไปพร้อมกับเธอที่ใช้เวลาเรียนทุกวิชาอย่างรวดเร็วภายในสองปี และจบการศึกษาอย่างราบรื่น
ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว เบื้องหลังทั้งหมดของเรื่องเหล่านี้กลับเป็นการสนับสนุนเงียบๆของหลินโม่ป่าย…
ในภายหลังที่เธอแต่งเข้าตระกูลลี่ แม้ว่าจะเป็นผู้สืบทอดในพินัยกรรมของคุณย่าที่ลาลับไป แต่ท่าทางการพูดการจาและความไม่ยินดีของเจี่ยงเวินอี๋นั้นก็สามารถเข้าใจได้เมื่อเห็นเพียงแค่แวบเดียว
หลังจากแต่งงาน เธอก็กังวลใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้เป็นอย่างมาก
แต่ในตอนที่ตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตร ช่วงเวลาเกือบจะหนึ่งปีนั้น เจี่ยงเวินอี๋แทบจะไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรกับการใช้ชีวิตของเธอ ทำเหมือนกับว่า ‘ลูกสะใภ้’ คนนี้เป็นอากาศ ไม่แม้แต่จะไต่ถาม
เธอกลับมีความสุขและเป็นอิสระ ใช้ชีวิตการแต่งงานหนึ่งปีกว่านั้นอย่างสบายใจ จนกระทั่งลี่เจิ้งถือกำเนิด สารพัดเรื่องเล็กน้อยถึงได้ทยอยตามกันมาไม่ขาดสาย
แต่เธอในวันนี้เพิ่งจะได้รู้ว่า เบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมด เป็นการจัดการอย่างชาญฉลาดของหลินโม่ป่าย
ห้าปีก่อน หลังจากเธอหย่า หลินโม่ป่ายก็อยู่ข้างกายเธอตลอด
ไม่เคยขอร้องอะไรที่เกินเลยสักครั้ง กระทั่งคำว่า ‘แฟนหนุ่ม’ คำนี้ก็ไม่เคยเอ่ย
จนถึงขั้นไปต่างประเทศเป็นเพื่อนเธอ ทั้งยังสรรหาข้ออ้างและเหตุผลมากมายมาทำให้เธอไม่เอามาใส่ใจ
ตอนนี้ดูแล้ว เขาก็ทำทุกอย่างด้วยใจล้วนๆ
ตัวเองสามารถเดินมาในแต่ละก้าวจนถึงวันนี้ได้ หลินโม่ป่ายทุ่มเทไปเท่าไรกันแน่ เธอจำได้ไม่ชัดเจนแล้ว ติดค้างความรู้สึกเขา คาดว่าชั่วชีวิตคงยากที่จะตอบแทนได้แล้ว ทำอย่างไรดี
เธอครุ่นคิดปัญหานี้ตลอดทั้งคืน
ยากที่จะนอนหลับได้ตลอดคืน
เธอที่ไม่เคยทุ่มเทกำลังกายและใจรวมไปถึงเวลาให้กับหลินโม่ป่ายเช่นนี้ เมื่อคิดดูในตอนนี้ก็เกรงว่าจะรู้สึกผิดและละอายใจ มันเยอะมากจริงๆ
วันถัดไปก็เป็นเพราะวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กทั้งสองคนล้วนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ซูย้าวคิดแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อนัดหลินโม่ป่ายมาเจอกันสักหน่อย
บางทีหลินจิ้งซูอาจจะพูดได้ถูกต้อง ไม่ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่อย่างนั้นในช่วงเวลาที่เขายากที่จะผ่านไปได้นั้น เธอก็ควรจะอยู่ข้างกายเขา
แต่ยังไม่ทันจะโทรศัพท์ไปก็ได้รับข่าวคราวเสียก่อน
ประมาณก่อนฟ้าสางประธานหลินของกรุ๊ปหลินก็ถึงแก่กรรม ข่าวคราวนี้แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว สื่อมวลชนแต่ละสำนักพากันรายงานเกี่ยวกับพิธีศพที่จะถูกจัดขึ้นในเจ็ดวันหลังจากนี้ และพินัยกรรมของประธานบริษัทก็จะถูกประกาศในวันพิธีศพเช่นกัน
ท่านประธานบริษัทหลินเสียชีวิตแล้ว เช่นนั้น ทางเขา…
ซูย้าวนั่งไม่ติดแล้ว ลนลานหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาโม่หว่านหว่าน แต่กลับไม่รู้ว่าทำไมสายโทรศัพท์ไม่ว่างตลอด โทรหาไม่ติดแม้แต่น้อย
แต่ในเวลานั้นเสียงกริ่งประตูดันดังขึ้น
เธอวิ่งไปเปิดประตูด้วยความวุ่นวายใจ เมื่อเปิดประตูซูย้าวก็มีท่าทางตะลึงค้าง
คนที่ยืนอยู่นอกประตูกลับเป็นลี่เฉินซี
เมื่อสังเกตเห็นถึงถุงเล็กถุงใหญ่ในมือของเขาล้วนเป็นพวกผักผลไม้และขนมขบเคี้ยว ซูย้าวก็ขมวดคิ้วทอดถอนใจ ในตอนนี้เธอไม่มีเวลาว่างมาไล่เขาไป
ดังนั้นขณะที่ลี่เฉินซียังไม่ได้อ้าปาก เธอก็รีบเอ่ยก่อนว่า “ขอโทษค่ะ ตอนนี้ฉันมีธุระและเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก ดังนั้นถ้าหากว่าคุณไม่มีเรื่องอะไรล่ะก็ ไปทำงานอย่างอื่นก่อนเถอะค่ะ!”
“เอ่อ?” ลี่เฉินซีตะลึง ไล่ตัวเองตรงๆแบบนี้เลยหรือ?!
ซูย้าวกลับมีสีหน้าอ่อนล้า เธอที่ไม่ได้นอนทั้งคืนบวกกับจิตใจที่ว้าวุ่น รุ่งเช้าก็ได้ยินข่าวร้ายแบบนี้ ในเวลานี้สิ่งที่เธออยากทำมากที่สุดก็คือรีบไปดูสภาพการณ์ของหลินโม่ป่าย
ผู้ชายที่ทุ่มเทช่วงเวลาที่ดีที่สุดในช่วงเยาว์วัยเพื่อเธอ ไม่ใช่ครั้งเดียวที่ทำให้ทุกสิ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับความรัก เธอก็ควรจะทำอะไรเพื่อเขาบ้าง
เป็นไปได้ว่า เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้
“ขอโทษด้วยจริงๆ ครั้งหน้าแล้วกันนะคะ! ครั้งหน้าตอนที่ฉันไม่มีธุระอะไร คุณค่อยมาใหม่ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณแน่นอน…”
ลี่เฉินซีที่ได้ยินคำพูดนี้กลับมองเธอด้วยความสนใจ “อยู่เป็นเพื่อนผมทำอะไร? พูดคุยกินข้าวเป็นเพื่อนผมหรือว่านอน?”
“ลี่เฉินซี!” เธอไม่มีเวลามาเล่นกับเขาจริงๆ
ใบหน้าเขากลับสู่ความจริงจังในทันที เอ่ยเรียบๆว่า “ผมมาที่นี่ไม่ได้ให้คุณมาทำอะไรเป็นเพื่อนผม แต่มาเพื่อช่วยดูเด็กๆให้คุณ คนโง่!”