“คำเทศนา”ของโม่หว่านหว่าน ทำให้ลี่เฉินซีทั้งคนเกิดความรู้สึกมากมายในใจ
เมื่อซูย้าวกลับมา เธอที่เพิ่งลงจากลิฟต์ ก็เห็นเขายืนอยู่ที่ริมหน้าต่างในระเบียงกำลังสูบบุหรี่
เธอเดินเข้าไป ระเบียงรอบๆ เต็มไปด้วยควันบุหรี่ ทำให้หายใจไม่ออกเล็กน้อย และเธอก็พูดขึ้นว่า “นายเป็นอะไรรึเปล่า นาย สูบบุหรี่ไปกี่มวนแล้ว……”
เมื่อลี่เฉินซีได้ยินเสียง เขาก็หันกลับมา และในขณะเดียวกันก็กดดับบุหรี่ในมือของตนลงบนถังขยะ
เมื่อได้เห็นแววตาที่นิ่งเฉยของชายตรงหน้า ซูย้าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “อะไรกันแน่ เกิดเรื่องอะไรเขึ้นรึเปล่า?”
เขายังคงไม่พูดอะไร เดินหน้าหนึ่งก้าว แล้วกอดเธอไว้แน่นในอ้อมแขน ลูบผมยาวของเธออย่างแผ่วเบา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ห้าปีที่ผมไม่ได้อยู่เคียงข้างนาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง? “
“……นาย หมายถึง……เรื่องอะไร?”
จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น ทำให้ซูย้าวมึนงงเล็กน้อย
ในเวลา5ปีที่ผ่านมา มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ทุกคนได้ผ่านการขัดเกลาของเวลา ล้วนมีประสบการณ์มากขึ้น แล้วจะใช้คำพูดเพียงประโยคเดียวอธิบายได้อย่างไร
ลี่เฉินซีคลายกอดออก “ที่พูดมานั้น แสดงว่ามีเรื่องมากมายที่เกิดขึ้น?”
เขาคิดมาโดยตลอดว่า ซีซีตีห่างจากเขา และไม่สนิทกับเขา เป็นเพราะเขาหายไปจากลูกเขาเป็นเวลา5ปี และไม่ได้ทำหน้าที่ในฐานะความเป็นพ่อได้ดี แต่คำพูดที่ไม่มีความเจตนาอะไรของโม่หว่านหว่านในคืนนี้ กลับทำให้เขาได้ตื่นจากความคิดนั้น
นอกจาก ที่หายไปจากซีซีเป็นเวลา5ปีแล้ว ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอเป็นเวลา5ปีเช่นกัน เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ ผู้หญิงที่ต้องเลี้ยงเด็กคนเดียว ผ่านมาได้อย่างไร!
ซูย้าวคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ใช่ว่าจะมีเรื่องหลายอย่างเกิดขึ้น ยังไงก็ตามก็มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้น นี่นายเป็นอะไร จู่ๆ ก็ถามเรื่องพวกนี้ ใครพูดอะไรให้รึเปล่า”
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจับมือเธอไว้ “บอกผมที บอกผมทุกเรื่องเลย ได้ไหม”
“อือ……”
เธอก้มหัวลง แล้วจับมือเขากลับเช่นกัน และมองเขากลับด้วยสายตาที่พึงพอใจ “ให้พูดก็ได้ แต่ว่า วันนี้ฉันเหนื่อยมาก ฉันไม่อยากพูดตอนนี้ และฉันก็ไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำ ” คุณลี่ นายอย่าจู่ๆ ก็ทำตัว….. น่าเบื่อแบบนี้ได้ไหม!”
คำพูดเหล่านั้น ตรงกันข้ามกับความรู้สึกของเธอในตอนนี้
ทำให้ลี่เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ขออภัย ฉันไม่ได้คิดไว้ก่อน ยังไงเราก็ไม่รีบ เรายังมีเวลาอีกมากมายที่จะได้พูดคุยกัน เรื่องพวกนั้นค่อยว่ากันทีหลัง นาย รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” !”
เธอพยักหน้า “แล้วนายล่ะ นายรออยู่ที่นี่นานหรือยัง ทำไมนาย ไม่เข้าไปข้างในล่ะ? นาย จะได้อยู่กับเด็กๆ ไปด้วย”
“อือ ส่วนเรื่องนี้ ก็มีเหตุผลเล็กน้อยนะ แต่ก็ไม่เป็นไร คุณเหนื่อยไม่ใช่เหรอ? กลับไปพักผ่อนเถอะ! พรุ่งนี้ผมค่อยมาหาคุณอีกที!” เขาพูด
ซูย้าวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธออยู่ฝั่งกรุ๊ปหลิน ทำงานเป็นเพื่อนหลินโม่ป่ายในตลอดช่วงเช้า แล้วไปช้อปปิ้งที่ห้องสรรพสินค้าใหญ่ตลอดช่วงบ่าย และยังมีงานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนี้อีก ทั้งวันลงมา เธอเหนื่อยและอ่อนล้าไปหมด
หลังจากอำลาลี่เฉินซีเสร็จ เธอก็เปิดประตูข้าไปในห้อง
เมื่อเปิดประตูเสร็จ เหมือนเธอจะเข้าใจสิ่งที่เขาได้พูดในเมื่อกี้ว่า “มีเหตุผลเล็กน้อย” นั้นหมายความว่าอะไร
ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เธอตกตะลึง ในขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้น….
มีของเลอะเทอะรกร้างเต็มบนพื้นไปหมด ขนม ของเล่น หมอนผลไม้…..
มันฝรั่งทอดและแครกเกอร์กุ้งกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ยุ่งเหยิงไปหมด และเด็กทั้งสามก็วิ่งออกจากห้องมา ตีเล่นกันถึงที่ห้องรับแขก สนุกเฮฮาไม่หยุด
โชคดีที่ห้องข้างๆ ไม่มีคนอาศัยอยู่ ไม่อย่างนั้นคงจะถูกฟ้องร้องว่าเสียงดังเกินไป
ซูย้าวเปลี่ยนรองเท้า ถอดเสื้อกันหนาวออก เธอถึงนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นเขาก็จับตามองดูดีๆ มีเด็กแค่สองคนแท้ๆ ทำไมถึงมีเพิ่มมาอีกคนล่ะ?
มองดูดีๆ คือชาร์ลี
เด็กทั้งสามที่เห็นเธอกลับมา แล้วรีบวิ่งเข้ามา ทักทายเธอ
ชาร์ลีทักทายเธออย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณน้า คุณน้า ทำงานมาทั้งวันเหนื่อยไหมครับ ไปอาบน้ำอุ่นก่อนนะครับ !”
เด็กที่รู้ความและเชื่อฟังผู้ใหญ่อย่างนี้ ทำให้ซูย้าวอดไม่ได้ที่จะเอ็นดูรักใคร่ เอนตัวลงอุ้มชาร์ลีขึ้น “ชาร์ลีเป็นเด็กดี! น้าไม่เหนื่อย ไม่เป็นไร……”
อุ้มชาร์ลีไว้ ซึ่งก็เลี้ยงดูเด็กอีกสองคนไปด้วย พึ่งได้นั่งลงบนโซฟา จู่ๆ ก็รู้สึกนั่งโดนอะไรบางอย่าง แล้วเอื้อมมือไปเสาะหา มันคือของเล่นรถยนต์นั้นเอง
ห้องรับแขกที่รกร้าง แทบจะอาศัยคนไม่ได้
และในเวลาเดียวกันโม่หว่านหว่านก็ออกมาจากห้อง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า และมองมาที่ซูย้าวอย่างอ่อนแรง “แกกลับมาแล้ว……”
เมื่อเห็นเธอในสภาพแบบนี้ ก็รู้ได้ว่าก่อนหน้านี้ผ่านอะไรมาบ้าง
โม่หว่านหว่านจากตอนที่มีเรี่ยวแรงอย่างมาก ไล่ตามหลังก้นของเด็กทั้งสาม และแถมยังต้องกวาดเก็บ จนเหนื่อยล้าหมดกำลังไปหมด ตลอดสามสี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เธอเลยกลายเป็นแบบนี้
จู่ๆ ก็ทรุดตัวลงกับพื้นเหมือนกับเส้นก๋วยเตี๋ยว โม่หว่านหว่านพูด“ฉันไม่ไหวแล้ว ฉันเหนื่อยมาก พรุ่งนี้ฉันจะเรียกแม่บ้านมาจัดเก็บทำความสะอาด!”
ซูย้าวหัวเราะ “อือ ได้ แกเหนื่อยมาทั้งวัน นอนที่นี่เถอะ หยุดทำได้แล้ว!”
โม่หว่านหว่านขดตัวสองสามครั้งแล้วย้ายไปที่โซฟา พยักหน้าเหมือนโขลกกระเทียม “ถ้าแก ไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่กลับอยู่แล้ว ฉันเหนื่อยมาก!”
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน เธอมองไปที่ชาร์ลีที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของซูย้าว และมองไปทางซูย้าว เป็นแม่ลูกกันชัดๆ ซึ่งยิ่งมั่นใจมากขึ้นกับสิ่งที่คาดเดาไว้ในใจ
อีกอย่าง ผลตรวจDNAปลอมแปลงไม่ได
ถ้าผลการตรวจครั้งนี้เหมือนกับครั้งที่แล้ว แสดงว่า เธอก็จะช่วยจนกว่าจะสุดความสามารถ เพื่อให้ซูย้าวได้เด็กกลับคืนมา!
วันรุ่งขึ้น ได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียนแต่เช้าตรู่ โรงเรียนมีกิจกรรมบางอย่างจำเป็นต้องหยุดเรียนหนึ่งวัน
นั้นหมายความว่า วันหยุดของโม่หว่านหว่าน นั้นที่วางแผนไว้ ก็ต้องพังทลายไปหมด และเขาต้องพาชาร์ลีและเตียวเตียว ไปที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กน้อยสองคนนี้เรียกร้อง
โดยเฉพาะเด็กๆ ใช้สายตาที่ฟรุ้งฟริ้งนั้น แล้วทำหน้าตาที่สงสารใส่เธอ โม่หว่านหว่านที่อยากจะปฏิเสธมากแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถพูดออกมาได้
เป็นไปตามนั้น โม่หว่านหว่านพาเด็กทั้งสองไปที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ถึงซูย้าวยังต้องทำงาน แต่ซีซีเป็นเด็กที่เชื่อฟัง เธอจะพาลูกสาวไปที่บริษัท
ได้พาซีซีไปเที่ยวเล่นที่ร้านค้าหลายแห่ง และเมื่อใกล้ถึงเวลาที่ยง หลินโม่ป่าย ก็โทรหาเธอ
เขาริเริ่มที่จะชวนเธอรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน ซูย้าวมองซีซีที่อยู่ข้างๆ เธอ แล้วถามเธอว่า “ตอนเที่ยงไปกินข้าวกับลุงหลิน โอเคไหม”
ซีซีพยักหน้าอย่างมีความสุข แสดงท่าทางที่เห็นด้วย
ยังไงก็ตาม ตั้งแต่ซีซีเกิดมา หลินโม่ป่ายก็อยู่เคียงข้างเธอมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ของเธอกับ หลินโม่ป่ายนั้นดีกว่าลี่เฉินซีอยู่แล้ว
หลินโม่ป่ายขับรถมาถึง ได้พาแม่ลูกสองคนไปที่ร้านอาหาร
ระหว่างทาง เขาเอียงศีรษะและมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ นั่งอยู่ในอ้อมแขนของซูย้าว บนที่นั่งเบาะข้างคนขับ “ซีซี โตขึ้นอยากทำอะไร?”
ซีซีมองเขา แม้ว่าเธอจะไม่พูด แต่ท่าทีที่ครุ่นคิดของเธอ ราวกับว่าเธอกำลังตัดสินใจอะไรอยู่
หลินโม่ป่ายยิ้ม “อยากเป็นหมอไหม ลุงหลินสอนได้นะ!”
“เธอยังเด็กเกินไป เรื่องในอนาคต ค่อยว่ากันตอนโต !” ซูย้าวพูด
เขาก็พยักหน้า “ที่ว่ามาก็ถูก ว่าแต่ ผมว่าถ้าซีซีของเราโตขึ้นเป็นหมอ คงจะเก่งมากๆ เลย !”
เมื่อถึงร้านอาหาร หลังจากที่ทั้งสามนั่งลง หลินโม่ป่าย ก็ยื่นเมนูให้ซีซี เธอตั้งใจดูเมนูอาหาร มือเล็กๆ ก็ทำการเลือกแล้วสองสามอย่าง แล้วก็ยื่นเมนูไปให้ซูย้าว ให้เธอได้เลือกดู
ฝั่งซูย้าวพึ่งสั่งอาหารเสร็จไปสองอย่าง เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็บังเอิญเห็นลี่เฉินซีและหานฉ่ายหลิงกำลังเดินเข้าร้าน
ลี่เฉินซีกอดไหล่ของเธอไว้ในขณะที่พูดอะไรบางอย่าง หานฉ่ายหลิงริมฝีปากสีแดงของหานฉ่ายหลิงนั้นหุบยิ้มไม่หยุด เป็นยิ้มที่หวานซึ้งตรึงใจ
วินาทีต่อมา เธอเอื้อมมือไปโอบเอวของเขาไว้ แล้วเอนตัวพิงลงแขนเขาเบาๆ อย่างธรรมชาติ โอบกอดกันราวกับไม่มีใครอยู่ข้างๆ
คบกันอย่างเปิดเผย โดยไม่กังวลกับสายตาและความคิดเห็นของคนรอบข้าง ไม่สนว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร และไม่กลัวว่าจะถูกเปิดเผยหรือเป็นข่าว
นั้นสิ ในเมื่อพวกเขาก็หมั้นกันแล้ว นี้แหละที่เรียกว่ารักแท้…..
เมื่อเห็นความโศกเศร้าที่เผยออกจากแววตาของซูย้าว ในขณะที่หลินโม่ป่ายส่งคืนเมนูให้พนักงานเสิร์ฟ เขาก็สังเกตเห็นชายหญิงที่เดินเข้าประตูร้านอาหาร ก็เข้าใจถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเธอ
หลินโม่ป่ายยิ้มเบาๆ ยื่นมือออกและจับมือเธอ “การคิดมาก จะทำให้ตัวเองเหนื่อยมากขึ้นเท่านั้น ย้าวย้าว ลืมไปแล้วเหรอ ? นาย ยังมีฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ ?”
“อือ……”
ซูย้าวอึ้งไปสักพัก ไม่รอที่เธอได้ตอบกลับ หลินโม่ป่ายยกมือขึ้นแล้วปัดปอยผมที่ล่วงลงมาไปด้านหลังใบหูของเธอ ด้วยแววตาที่รักใคร่ และรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเขานั้น ทุกอย่างมันดูเป็นธรรมชาติไปหมดเลย
ในขณะเดียวกัน ลี่เฉินซีที่อยู่ไม่ไกล ก็สังเกตเห็นทุกอย่าง สายตาคู่นั้น ก็นิ่งลงทันที