ช่วงบ่ายที่ยาวนาน แสงอาทิตย์ที่แยงตาสาดส่องผ่านหน้าต่างโปร่งใสเข้ามายังในห้อง กาแฟร้อนระอุค่อยๆเย็นลง
ลืมไปแล้วว่าหานฉ่ายหลิงจากไปเมื่อไหร่ ซูย้าวแค่นั่งอยู่ที่นี่คนเดียว สายตาเย็นชาค่อนข้างเหม่อลอย ในหัวมีคำพูดที่เธอเคยพูดก่อนจะจากไปสะท้อนอยู่รอบแล้วรอบเล่า
——อย่าคิดว่าฉันเลี้ยงเขามาหลายปีก็จะทำใจลงมือไม่ได้นะ เทียบกับความสุขนับจากนี้ไปของฉันแล้ว แค่เด็กคนหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องโตอะไรเลย!
——ไม่เป็นไร คุณจะปฏิเสธฉันก็ได้ ก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง ฉันไม่เอาชีวิตของเขาหรอก วิธีการแบบนั้นโหดเหี้ยมเกินไป ฉันจะเลี้ยงดูเขาจนโต ให้เขาใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลเรื่องอาหารเครื่องนุ่งห่ม ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด เรียนโรงเรียนที่ดีที่สุด แต่ยังไงก็เป็นลูกที่คุณให้กำเนิด ร่างกายมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของคุณ พอโตขึ้นจะกลายเป็นพิการหรือเปล่า……อันนี้มันก็พูดยากแล้ว!
——ถ้าคุณอยากเห็นอีกหลายปีข้างหน้าเด็กเรียกฉันว่าแม่ทุกวัน กตัญญูกตเวทีกับฉัน แม้กระทั่งเพื่อฉันแล้ว อาจจะสามารถยอมเสียสละทุกอย่างของตนเองได้ทุกเมื่อ งั้นก็ลองดู!
ทุกคำพูดดังก้องอยู่ที่ข้างหู ซูย้าวหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าชาร์ลีก็คือเลือดเนื้อเชื้อไขที่สูญหายในตอนนั้นของเธอ ถ้าอย่างนั้น ไม่ว่าจะต้องทุ่มเทเท่าไหร่ เธอก็จะแย่งลูกกลับมา!
นาทีที่ออกมาจากร้านกาแฟ เธอก็วางแผนเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้กลับไปที่โรงแรมอีก แต่ได้ขับรถไปที่บริษัท
โอวหยางเช่อที่อยู่ในห้องท่านประธานเห็นเธอแล้วค่อนข้างตกใจ “มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
ซูย้าวดึงเก้าอี้ที่อยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขามา หลังจากนั่งลงแล้วถึงพูดว่า “Jockติดต่อฉันแล้วค่ะ เขาไม่ได้อนุมัติใบลาออกของฉัน เขาบอกขอแค่ฉันอยากกลับมา สามารถกลับมาได้ทุกเมื่อค่ะ”
“ใช่ครับ Jockก็พูดแบบนี้กับผมเหมือนกัน แต่ว่า……” โอวหยางเช่อมองหน้าเธอแล้วแววตาระยิบระยับ “หรือว่าคุณอยากกลับมา?”
เธอยิ้มอ่อนๆ “ไม่รู้ว่าประธานโอวยังต้อนรับอยู่หรือเปล่าคะ?”
“ก็ต้องต้อนรับอยู่แล้วครับ ตำแหน่งของคุณยังเว้นไว้ตลอดเลย แต่ซูย้าว ผมถามคำหนึ่งได้มั้ยว่าเพราะอะไร?”
พอคำนวณอย่างละเอียดแล้ว เธอกับโอวหยางเช่อก็ถือว่าเป็นเพื่อนเก่าแล้ว
โดยเฉพาะในห้าปีที่จากไป โอวหยางเช่อเริ่มด้วยผ่าตัดให้เธอติดต่อกันสองครั้ง และบำบัดรักษาต่างๆ สุดท้ายถึงเปลี่ยนจากคนใบ้มาเป็นคนที่พูดคุยได้ตามปกติเหมือนอย่างในตอนนี้
ถ้าไม่ใช่เกี่ยวพันถึงลูก เธอจะบอกกับเขาหมดเปลือกแน่นอน และเชื่อว่าโอวหยางเช่อจะไม่ปากพล่อยเด็ดขาด แต่ทั้งเรื่องเกี่ยวพันไปถึงลูก เธอจำเป็นจะต้องคิดพิจารณาใหม่
“จะพูดยังไงดีล่ะคะ? ฉันก็ทำงานอยู่ที่จู้สือกรุ๊ปมานานหลายปีแล้ว มีความผูกพันกับจู้สือกรุ๊ปไม่มากก็น้อย ยิ่งไปกว่านั้น สวัสดิการของที่นี่ก็มีมาก สำหรับฉันแล้วเปลี่ยนงานใหม่มันค่อนข้างยากค่ะ!” เธอหาเหตุผลไปเรื่อยเปื่อย
โอวหยางเช่อยิ้มอ่อนๆ “ช่างเถอะ ไม่ว่าคุณอยากกลับมาเพราะสาเหตุุอะไร ผมก็สนับสนุนคุณหมด มีอะไรที่ต้องการช่วยเหลือก็บอกผมได้ทุกเมื่อนะ”
ซูย้าวพยักหน้า และรับความหวังดีของฝ่ายตรงข้ามไว้
กลับมาที่บริษัทอีกครั้ง ผู้ช่วยคนเก่าของเธอดีใจมาก กำลังยุ่งอยู่กับการช่วยเธอจัดเก็บทำความสะอาดออฟฟิศอยู่
ส่วนหลินหวั่นหญิงได้ยินข่าวก็แทบจะรีบมาในทันที เธอมองซูย้าวแล้วหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “คุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ยังจะกลับมาอีกทำไม?”
ลักษณะท่าทางที่ยกตนข่มท่านนั้น เย่อหยิ่งและยโสโอหัง
ในใจของซูย้าวสับสน ไม่มีอารมณ์มาต่อกรกับเธอ แค่หลบเลี่ยงเธออย่างเย็นชา ใครจะไปรู้หลินหวั่นหญิงไม่คิดจะเลิกราเลย ได้เดินมาหาเธออีกครั้งและพูดว่า “คุณเห็นจู้สือกรุ๊ปเป็นอะไร? เป็นที่ที่คุณอยากมาก็มา อยากไปก็ไปงั้นเหรอ? ซูย้าว คุณคิดว่าทุกอย่างมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?”
คำพูดไม่กี่คำนี้ เหมือนสะกิดโดนหัวใจของเธอ ซูย้าวขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทน มองผู้หญิงที่แต่งหน้าเข้มปากแดงตรงหน้าคนนี้แล้วพูดว่า “รองประธานหลิน กรุณาจำตำแหน่งและฐานะที่คุณอยู่บริษัทไว้ด้วย รองประธาน คุณก็เป็นแค่รองประธานที่อยู่ในภาคประเทศจีนของจู้สือกรุ๊ปเฉยๆ ไม่ใช่เจ้านายแท้จริงของจู้สือกรุ๊ป ฉันจะไปหรืออยู่ ไม่ได้อยู่ที่คำพูดของคุณ เข้าใจมั้ย?”
“แก……”
หลินหวั่นหญิงกัดฟันด้วยความแค้น เธอยังอยากพูดอะไรอีก ซูย้าวกลับไม่อยากให้โอกาสเธออีกแม้แต่เสี้ยวเดียว ก็ได้พาผู้ช่วยจากไปโดยตรงแล้ว
“ฉันเป็นรองประธานแล้วจะทำไม? ถึงเป็นรองประธานฉันก็สามารถคุมแกได้!” หลินหวั่นหญิงจ้องเงาของทั้งสองแล้วด่าอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ส่วนซูย้าวได้ขับรถพาผู้ช่วยไปที่บริษัทลี่ซื่อ ตอนที่รถขับมาถึงใต้ตึก เธอบอกกับผู้ช่วยว่า “ฉันเข้าไปคนเดียวก็พอ เธอไปนั่งรอที่ร้านอาหารละแวกนี้สักพักนะ!”
ผู้ช่วยไม่ได้ถามเซ้าซี้ก็ลงจากรถไปเลย
เธอขึ้นไปบนตึกคนเดียว เพราะต่างก็รู้ฐานะของเธอ จึงไม่มีคนกล้าขัดขวางเธออยู่แล้ว แถมยังบังเอิญเจอหวางอี้ด้วย เลยได้พาเธอมาที่ออฟฟิศ
ทางฝั่งของลี่เฉินซีสามารถบอกได้ว่ามือไม่ยุ่งเหยิงไปหมด มัวแต่ยุ่งเกี่ยวกับรายละเอียดของงานแต่งทั้งวัน มีเลขาและผู้ช่วยส่วนตัวมาสอบถามอย่างไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นตอนที่ซูย้าวเข้ามา เขาก็นึกว่ามาด้วยเรื่องของงานแต่งอีกแล้ว จึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดู แต่แค่พูดว่า “งานแต่งจัดในสิบวันข้างหน้า ดำเนินการตามขั้นตอนปกติก็พอแล้ว ไม่ต้องมาถามผมอีก!”
พูดจบสักพัก ไม่ได้เสียงตอบรับจากลูกน้อง ทีนี้ลี่เฉินซีถึงเงยหน้าขึ้นมามอง คนที่มองเห็นกลับเป็นซูย้าว
เขาอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นได้ยินเธอพูดว่า “ดูท่าคุณจะแต่งงานแล้วจริงๆด้วย”
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ข่าวคราวที่เกี่ยวกับลี่เฉินซีและหานฉ่ายหลิงกำลังจะแต่งงานแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ไม่มีการป่าวประกาศและสร้างกระแสของสื่อ ไม่มีการถล่มข่าวจากในเวยป๋อ แต่กลับแพร่สะพัดไปทั่วถนนและตรอกซอกซอยแล้ว
แต่ซูย้าว กลับกลายเป็นคนสุดท้ายที่รู้ข่าว
ที่น่าขำที่สุดคือ ก่อนหน้านี้เธอถึงขั้นได้พูดความคิดอยากแต่งงานซ้ำกับคนเดิมออกมา ตอนนี้คิดๆแล้วช่างตลกสิ้นดี
ขายหน้าจริงๆ
หลีกเลี่ยงจากอารมณ์ที่สับสนพวกนี้ เธอจะต้องรู้ชัดถึงจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ หายใจลึกๆทีหนึ่ง เดินมานั่งเก้าอี้ของหน้าโต๊ะทำงานเขาแล้ววางกระเป๋าลง
“จะแต่งงานจริงครับ แต่ว่า……”
ลี่เฉินซีลากเสียงยาว สายตาลุ่มลึกมองมาที่เธอ “ไม่ได้เหมือนที่คุณคิดเลย ซูย้าว คุณเชื่อผมก็พอแล้ว ผมจะให้คำตอบที่น่าพึงพอใจกับคุณ”
เธอส่ายหัวเล็กน้อย “ฉันไม่เคยต้องการให้คุณให้คำตอบอะไรกับฉันเลย ประธานลี่คะ ที่ฉันมาในวันนี้ก็ไม่ได้อยากมาคุยพวกนี้กับคุณค่ะ”
“แล้วมาเพื่อ……”
ซูย้าวหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าสองชุด ชุดหนึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับดัชนีต่างๆและผลการประเมินโดยรวมของจู้สือกรุ๊ปที่อยู่ในประเทศในครึ่งปีนี้ ส่วนอีกฉบับหนึ่งคือร่างของเอกสารร่วมร่วมงาน
ลี่เฉินซีดูคร่าวๆ ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย “นี่คุณคือ……”
“ฉันกลับไปจู้สือกรุ๊ปอีกแล้วค่ะ ดังนั้นที่ฉันมาในเที่ยวนี้คืออยากคุยเรื่องร่วมงานกับประธานลี่ค่ะ” เธอมีสีหน้าเรียบเฉยราวกับต้องทำตามหน้าที่
ลี่เฉินซีค่อนข้างช็อก เขาวางเอกสารในมือลง และลุกขึ้นเดินมาที่ตรงหน้าเธอ “คุณกลับจู้สือกรุ๊ปอีกแล้ว?”
เขาไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย!
ก่อนหน้านี้เธอพยายามอยากหาเหตุผลและข้ออ้างหลุดพ้นจากจู้สือกรุ๊ป ถึงขั้นไม่ลังเลให้เจียงจี้เซิงช่วยเหลือ อาศัยสาเหตุุที่ทำจู้สือกรุ๊ปขาดทุนหลายร้อยล้านหยวนในหนึ่งไตรมาส และเป็นคนลาออกเอง
พยายามมาเยอะขนาดนี้ แต่กลับไปอีกครั้งหลังจากที่ลาออกได้ไม่ถึงเดือน? !
เธอเป็นผู้หญิงที่ชอบกลับคำแบบนี้เหรอ?
ซูย้าวก้มหน้าอย่างราบเรียบและความหนักแน่นในแววตา ทำให้ข่าวนี้ยิ่งดูน่าเชื่อถือมากขึ้น สายตาของเธอมองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะแวบหนึ่ง “เรามาคุยเรื่องร่วมงานกันหน่อยดีกว่าค่ะ!”
“ร่วมงาน?” เขามองเธอจากที่สูงลงมาที่ต่ำ แววตาลุ่มลึกหรี่ตาลงเล็กน้อย
ซูย้าวพูด “ใช่ค่ะ ตามความสามารถทุกด้านของจู้สือกรุ๊ปสำหรับบริษัทลี่ซื่อแล้ว
เชื่อว่าเป็นตัวเลือกไม่เลวเลย แน่นอนถ้าประธานลี่ยังมีข้อกังวลอย่างอื่น ก็สามารถพูดตามตรงได้ค่ะ”
เขาขมวดคิ้ว “คุณให้ผมร่วมงานกับจู้สือกรุ๊ป?”
ลี่เฉินซีทวนซ้ำอีกครั้ง แต่กลับมาสีหน้าแววตาเคร่งขรึม หลังจากที่เห็นซูย้าวยินยอมพร้อมใจ “ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนคุณคัดค้านเชียวนะ ตอนนั้นผมเป็นฝ่ายไปหาคุณอยากร่วมงานกับคุณ ยังถูกคุณปฏิเสธเลย!”
“ใช่ค่ะ ตอนนั้นเพราะฉันสงสัยว่าประธานลี่อยากอาศัยความสะดวกของงาน มารบกวนชีวิตส่วนตัวของฉันค่ะ” ซูย้าวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
เขาอึ้ง “รบกวน? งั้นตอนนี้ล่ะ?”
“ตอนนี้ประธานลี่กำลังจะแต่งงาน สำหรับผู้ชายที่แต่งงานแล้ว คงไม่อยากไปตอแยผู้หญิงคนอื่นอีก เลยขจัดความกังวลของฉันไป เลยอยากกลับมาร่วมงานกับคุณใหม่ค่ะ” เธอพูด
ไม่ว่าซูย้าวอธิบายได้เพอร์เฟคแค่ไหน ฟังอยู่ในหูของลี่เฉินซี ยังคงเป็นข้ออ้างที่สวยหรูเท่านั้น!
เขาค่อยๆโน้มตัวลง มือข้างหนึ่งยันอยู่บนราวจับเก้าอี้ของเธอ สายตาเคร่งขรึม เพราะใกล้ชิดเกินไป ตอนพูดจาลมหายใจหอมอ่อนๆของเขาได้พ่นอยู่ที่มุมปากเธอหมด “คุณยังรู้สันดานของผู้ชายไม่ดีพอ สำหรับคนที่ชอบแล้ว การตื๊อไม่มีวันสิ้นสุดหรอก”
ทันใดนั้น เขาลุกขึ้นมาพูดอีก “อย่ามาไม้นี้กับผมหน่อยเลย พูดมาตามตรงดีกว่าว่าเพราะอะไรกันแน่?”