ความหยิ่งยโสของชายคนนี้คุมไม่อยู่ตั้งนานแล้ว แต่ยังคงพยายามฝืนเก็บซ่อนไว้อยู่ มือเรียวยาวนั้นกุมคางของเธอไว้ แล้วสะบัดคางเธอออกไปข้างๆ อย่างไม่คาดคิด “ห้าปีก่อน เธอทิ้งสามีกับลูก แล้วแอบไปคลอดลูกของฉัน ซ่อนฉัน ปิดบังฉัน…”
เสียงหยุดลงเท่านั้น เขามองเข้าไปในตาของเธอ ทั้งเย็นและยะเยือก “แล้วตอนนี้ยังคิดจะทิ้งลูกสาวไว้ให้ฉัน ซูย้าว เธอนี่เก่งจริงๆ !”
ร่างของซูย้าวที่เซไปมาในที่สุดก็ยืนขึ้น หันหลังให้เขาอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยน หลับตาอย่างจำใจให้ความเจ็บปวดทั้งหมดนี้ จมเข้าไปในใจ
เธอไม่อยากพูดอะไรแล้ว
เรื่องเมื่อห้าปีก่อน ที่เธอจากไป จริงๆ แล้วเพราะอะไร ลี่เฉินซีรู้อยู่แก่ใจ
ทิ้งลูกทิ้งสามีอย่างนั้นเหรอ?
ทิ้งสามีเก่านับว่าทิ้งสามีเหรอ!? ถึงขนาดทิ้งเจ้อเอ๋อ คิดว่าเธอเต็มใจเหรอ?
เธอไม่อยากอธิบาย และไม่อยากพูดอะไร ถ้าเธอยังยืนกรานที่จะโต้เถียงอยู่อย่างนี้ ยังไงก็คงไม่มีทางเทียบเขา
“เธอไม่แคร์ลูกเหรอ? ซีซีไม่ใช่คนที่เธอเลี้ยงให้โตมากับมือเหรอ? เตียวเตียวไม่ใช่เด็กที่เธออยากรับมาอุปการะเหรอ? เจ๋อเอ๋อไม่ใช่เลือดเนื้อของเธอเหรอ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าอยากดูแลลูก เธอต้องมาดูแลเอง อย่ามา’เดือดร้อน’คนอื่น!”
หลังจากทิ้งคำพูดพวกนี้ไว้ ลี่เฉินซีก็เดินออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง
แผ่นหลังอันเด็ดเดี่ยวนั้น ความเจ็บปวดทิ่มแทงเข้าไปในตาซูย้าว คำพูบาดคมนั้นวนเวียนอยู่ในหัวซูย้าวซ้ำไปซ้ำมา
ฝั่งทางด้านนอกสถานควบคุมตัว รถมายบัคสีดำจอดอยู่ริมถนนไม่ไกล
หวางอี้นั่งอยู่ทางฝั่งคนขับ ไกลๆ นั้นก็สังเกตเห็นชายคนหนึ่งที่ดูสะดุดตากำลังเดินเข้ามา ราวกับสายลม
ลี่เฉินซีเม้มปาก ใบหน้าบึ้งตึงขึงขัง สายตาเยือกเย็นนั้นยิ่งเย็นมากขึ้น ไม่รอให้หวางอี้ลงรถมาเปิดประตูให้ เขาเปิดประตูเองจากนั้นก็ขึ้นมานั่งบนรถอย่างแรง
หวางอี้ไม่ได้สนใจสีหน้าของเจ้านาย ไม่ได้รู้สึกถึงความเยือกเย็นแม้แต่น้อย แค่ดูก็รู้ว่าไม่ได้คุยกันกับคุณซูย้าวดีๆ !
รถค่อยๆ สตาร์ท และวิ่งไปอย่างเร็วบนถนน หวางอี๋คอยสังเกตมองสีหน้าของเจ้านายผ่านกระจกหลังอยู่ตลอด ขับรถไปด้วยความสงสัย ทั้งยังไม่รู้ว่าจังหวะไหนที่เหมาะสม
ในที่สุด เขาก็ไม่รออีกต่อไป เลือกเวลานี้ในการเอ่ยปาก “ประธานลี่ กับคุณซูย้าวยังพูดคุยกันไม่เสร็จเหรอ? ถ้าเช่นนั้น เรื่องนั้นยังดำเนินการอยู่ไหม?”
ลี่เฉินซีไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร พร้อมยกมือขึ้นปลดเข็มขัดให้คลายออกให้อารมณ์โกรธเย็นลง เขาในเวลานี้ใจร้อนจนมีความคิดที่อยากจะทำลายทุกอย่างให้พังพินาศ
ผู้หญิงคนนี้ มันน่าโมโหจริงๆ
เรื่องไหนที่เธอตัดสินใจแล้ว แม้แต่วัวสิบตัวก็ฉุดรั้งเธอไม่ได้ ถ้าไม่เจอกับตัวก็คงจะไม่รู้เลยจริงๆ !
อ่อนโยนลงอีกสักหน่อย นุ่มนวลให้เหมือนผู้หญิงอีกสักหน่อย ให้เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น เอาปัญหาทุกอย่างส่งมาให้เขา ตัวเธอเองเพียงแค่ซบมาที่อกเขาพร้อมระบายความทุกข์ออกมา แค่นี้ไม่ได้เลยหรือไง?
ไม่จำเป็นต้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวเลย!
เอาเขาไปเก็บไว้ที่ไหน?
แถมยังมีแต่ยกเรื่องที่เขาจะต้องแต่งงานมาพูดกดดันเขาอีก นี่คิดว่าเขาจะจัดการอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ เหรอ?
ลี่เฉินซียิ่งคิดยิ่งโมโห ใบหน้าของเขายิ่งบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศในรถบึ้งตึงไปด้วย หนักขึ้นเรื่อยๆ พาให้บรรยากาศในรถนั้นเยือกเย็นอย่างขีดสุด
หวางอี้ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ใจยังคงกลัว มือที่จับพวงมาลัยนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ…
ผ่านไปพักหนึ่ง ไม่รอให้หวางอี้ตอบอะไร เขาก็พูดขึ้น “แต่ไม่ต้องสนใจผู้หญิงคนนี้แล้ว ปล่อยให้เธอติดอยู่ในสถานควบคุมตัวไปนั่นแหละ! ทนายก็ไม่ต้องให้เธอพบ!”
หวางอี้ตะลึงงันไม่พูดอะไร จินตนาการไม่ออกว่าเมื่อครู่คุณซูแล้วเจ้านายคุณอะไรกัน ทำไมเจ้านายถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้!
เขาหายใจเข้าลึก อดที่จะพูดไม่ได้ “เรื่องนั้น ประธานลี่ ทนายฝั่งคุณซู กรุ๊ปหลินเป็นคนจัดการให้ คือทนายดีกรีเหรียญทองที่ดีที่สุดในประเทศ อยู่ในวงการธุรกิจมากว่าสิบปีไม่เคยแพ้คดี…”
ไม่ปล่อยให้เขาได้พูดต่อ สายตาเยือกเย็นของลี่เฉินซีก็แผ่รังสีความดุร้ายออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หาเหตุผล ให้ทนายคนนั้นถูกส่งตัวกลับไป!”
“อันนี้…”หวางอี้รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว
ลี่เฉินซีคิดไปคิดมา พร้อมกับดึงเนคไทออกไป โยนมันทิ้งไปข้างๆ ตัว “แล้วก็หาเหตุผลอื่น เอาหลินโม่ป่ายออกไปด้วย!”
ตัดเรื่องทุกอย่างออกไป
สำหรับซูย้าว ไม่ใช่ว่าเธอชอบต่อสู้คนเดียวหรอกเหรอ? ชอบทำอะไรก็ไม่บอกเขาไม่ใช่เหรอ? ยิ่งกว่านั้นชอบรับผิดแทนคนอื่นด้วยไม่ใช่เหรอ?
งั้นก็อยู่ในสถานควบคุมตัวต่อไปนั่นแหละ!
รอจนเธอยอมแพ้ค่อยว่ากัน!
หวางอี้ยิ่งขับรถไป ใบหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น ไม่ผิดแน่นอน เขาได้รับหน้าที่ที่ยากลำบากเข้าแล้ว
หาเหตุผลให้ทนายความออกไปกับย้ายหลินโม่ป่ายไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่ยังไงทางฝั่งกรุ๊ปหลินก็ต้องจัดการหาทนายใหม่ให้คุณซูอยู่ดี
ไม่ใช่แค่นั้น หลังการสืบสวนคดีสิ้นสุดลง ทางศาลก็ต้องตัดสินพิจารณาคดี จะบอกว่ารอได้ก็รอไปได้ที่ไหนกัน เว้นแต่ว่า…
ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรออกอีก ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ดูโล่งขึ้นมา สีหน้ากลับมาเป็นปกติ แล้วพูดว่า “ประธานลี่ วางใจได้เลย ผมรู้แล้วว่าควรทำยังไง!”
ลี่เฉินซีไม่แม้แต่จะมองหวางอี้ สีหน้ายังคงเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง ข้างในยังคงเดือดพล่านไปด้วยความโกรธ เหมือนร่างกายเขาจะลุกเป็นไฟ ทำให้เขาปวดหัวจนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมากดนวดที่หน้าผาก
ทางด้านอีกฝั่ง ในห้องสวีทของโรงแรมหรู
ซีซีนอนคว่ำหน้าอยู่บนพรมที่มีขนนุ่มปุกปุย เล่นต่อเลโก้ในมือจนเป็นปราสาทที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้วเหลือเพียงแค่เชื่อมต่อตรงกลางเท่านั้น
มีเตียวเตียวคอยบอกอยู่ข้างๆ เมื่อดูซีซีต่อก็อยากต่อด้วย แต่โดนซีซีว่า เพียงแค่ยื่นมือเข้าไป ก็โดยเด็กหญิงตัวเล็กจ้องเขม็งกลับมา
เด็กน้อยถอนหายใจอย่างจนปัญญา ทำได้แค่เพียงคอยอยู่ข้างๆ อย่างช่วยไม่ได้
ในตอนแรกโม่หว่านหว่านอยู่ในครัวเพื่อทำอาหารให้เด็กๆ สองคนทาน แต่การโทรศัพท์ก็รบกวนการทำทุกทุกสิ่งทุกอย่าง
เธอคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงจนเสร็จ ใบหน้ายังดูตกใจอยู่เล็กหน้า ในมือยังคงถือโทรศัพท์ค้างอยู่แบบเดิม เธอตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
โทรศัพท์เมื่อครู่นี้ เป็นการแจ้งผลการตรวจDNA ทางฝั่งปลายสายแจ้งว่า “คุณโม่ ผลวินิจฉัยออกมาแล้ว อัตราส่วนความเป็นแม่ลูกนั้นสูงกว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ บอกได้อย่างแม่นยำว่า เป็นลูกอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนใบรายงานผลตรวจ คุณสามารถเข้ามาเอาตอนไหนก็ได้…”
โม่หว่านหว่านแทบจะไม่อยากเชื่อ เธอยังคงตะลึงความคิดหลุดลอยไปไกล ความจริงตรงหน้ายังคงก้องกังวานอยู่ในหัว สุดท้าย สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างบางที่อยู่ในห้องรับแขก
เด็กคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นลูกของซูย้าวที่คลอดออกมาตอนนั้น แล้วมีคนจับตัวไป
เธอและโม่หว่านหว่านตามหามาตั้งหลายปี แต่ก็ไม่สำเร็จ คาดไม่ถึงว่าตอนนี้…
สายตาของโม่หว่านหว่านยังคงจ้องอยู่อย่างนั้น การวินิจฉัยครั้งนี้ เธอเพียงแค่สุ่มอย่างไม่ได้เตรียมการมาก่อน คิดว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้ เด็กที่ถูกทอดทิ้งคนนี้ แม้ว่าอายุและหน้าตาจะคล้ายกันขนาดนี้ แต่ยังไงก็เป็นไปไม่ได้!
แต่กลับไม่เคยคิดเลย ว่าอยู่ๆ จะโชคดีแบบนี้!
“คุณน้า”
อยู่ๆ ก็มีเสียงอ่อนนิ่มเล็กๆ ดังขึ้นมา ดึงให้โม่หว่านหว่านออกมาจากห้วงความคิด
เธอก้มลงมอง ไม่รู้ว่าเตียวเตียววิ่งมาหยุดตรงหน้าเธอตั้งแต่ตอนไหน หัวที่เงยหน้ามองเธอเวลานี้ ดวงตาสีดำกลมโตนั้นส่องประกายแสงราวกับดวงอาทิตย์ กะพริบตาปริบๆมองเธอสุดแสนจะน่ารักและสวยงามเหลือเกิน
เมื่อโม่หว่านหว่านได้สติ ก็ก้มตัวนั่งยองๆ ลงตรงหน้าเด็กน้อย แล้วกอดเตียวเตียวไว้ในอ้อมแขน
การกระทำของเธอนั้นช่างกะทันหัน แถมยังกอดแน่น
การกระทำกะทันหันเช่นนี้ ทำให้เตียวเตียวตกใจกลัวและดิ้นขัดขืนอยู่สักพัก คิ้วเล็กนั้นขมวดอย่างไม่เข้าใจ “น้า น้าเป็นอะไรไป? อกหักเหรอ?”
โม่หว่านหว่าน “…”
เธอจะไปอกหักได้ที่ไหน แม้แต่ความรักก็ไม่มีเนี่ย!
เธอยกมือขึ้นมาลูบหน้าเล็กรูปไข่ขาวผ่องของเตียวเตียว พร้อมพูดออกมาจากใจ “รู้ไหม? ในที่สุดน้าก็เจอความหวังแล้ว! เตียวเตียว เธอคือดาวนำโชคที่ฟ้าส่งลงมาให้จริงๆ !
หลายปีมานี้ เธอเอาแต่โทษตัวเองมาตลอด
ในตอนที่เพื่อนสนิทคลอดลูก เธอเองนั้นก็ประมาทเอง ท้ายสุดก็ทำให้เด็กคนหนึ่งถูกอุ้มหนีไป ห้าปีแล้ว ทุกครั้งที่มองเห็นภาพซูย้าวอุ้มซีซีอย่างแนบชิด ใจของเธอก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาตลอด
เธอควรจะรู้ ว่ามีเด็กสองคน
ในขณะที่เธอให้ความรักที่ดีที่สุดกับซีซี ในเวลาเดียวกันนั้นเธอควรจะแบ่งความรักส่วนนี้ไปให้เด็กอีกคนด้วย
และเด็กคนนั้น เป็นเพราะตัวเธอเอง…
โทษตัวเอง และละอายใจเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งที่ซับซ้อนที่สุด เหมือนกับความร้ายกาจของงูเหลือม ที่คอยเก็บสะสมทุกอย่างไว้ทีละนิด แล้วค่อยกลืนกินไปทั้งหมด
โม่หว่านหว่านกลัวมาก กลัวว่าวันหนึ่งเธอจะพบว่าเด็กที่ถูกอุ้มหนีไปวันนั้น จะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น หรือตายไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าต้องสู้หน้ากับซูย้าว ต้องเห็นใบหน้าเจ็บปวดและน้ำตาของเธอ…
เธอคงจะโทษตัวเองอย่างถึงที่สุด!
แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว เพราะในที่สุดเธอก็หาเด็กคนนี้เจอแล้ว!