ภายในความมืดมิด ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะจบลง
และทันใดนั้นเอง เพียงแค่พริบตาเดียว สิ่งเหล่านั้นที่เขาพยายามทนไม่สัมผัสมานับครั้งไม่ถ้วน แม้จะพูดขึ้นมาก็ทำไม่ได้ มันถือเป็นข้อห้ามระดับสูงสุด ดังเช่นกล่องแพนโดร่าที่อยู่ๆ ก็ถูกเปิดออกโดยบังเอิญ
ชื่อซูย้าวนี้ ยังคงอยู่ในใจของทุกๆ คนมาตลอดสองปี แม้แต่กับคนคนนี้ด้วย ไม่มีใครพูดถึงเธอ แล้วก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดถึงเช่นกัน
แต่วันนี้ทั้งวัน ชื่อนี้กลับผ่านเข้ามาในหูเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ราวกับว่าทุกอย่างถูกย้อนกลับไปเป็นดังเช่นสองปีที่แล้ว ทุกคืนวันเขาได้แต่จมดิ่งอยู่กับชีวิตที่ไม่มีเธอ ทั้งสับสน เจ็บปวด ไม่สามารถตัดขาดเธอไป และมีชีวิตไม่ต่างจากศพเดินได้
เด็กๆ ทั้งสามคนนี้ ถือเป็นแรงผลักดันเดียวที่ทำให้เขาอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ลี่เฉินซีหลุบตาลงมองลูกสาว คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะที่เขาจะคลี่ยิ้มออกมาเบาๆ “เด็กโง่ ซีซีมีแม่คนเดียวเท่านั้นล่ะ และนั่นก็คือซูย้าว พ่อรักแค่คุณแม่ของหนูคนเดียวเท่านั้น”
ทันใดนั้น ซีซีก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมกับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่มอย่างมีความสุข “คุณพ่อดีที่สุดเลยค่ะ!”
เด็กยังไงก็คือเด็ก แม้ว่าเธอจะอายุได้ 7 ขวบแล้ว แต่เธอยังเป็นเด็กอยู่ดี ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะถูกลี่เจิ้งทำให้น้อยใจมา แต่ตอนนี้เธอกำลังยิ้มอย่างไร้เดียงสาในอ้อมแขนของลี่เฉินซี
ลี่เฉินซียกมือขึ้นนวดไปที่ขมับเธอเบาๆ พยายามเกลี้ยกล่อมลูกสาวให้กินอะไรสักหน่อย จากนั้นก็คอยจับตาดูเด็กน้อยทั้งสองคนอาบน้ำจนเสร็จ หลังจากที่เห็นว่าพวกเขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว เขาถึงได้ลงไปชั้นล่าง
เขาเดินไปที่ระเบียง กำลังจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือก็สั่นขึ้นมาพอดี
พอหยิบออกมาดู ก็เป็นข้อความสั้นๆ ที่ส่งมาโดยลู่ส้าวหลิง “มาที่หยาดเก๋อหน่อย เกิดเรื่อง”
ลี่เฉินซีมองหน้าจอโทรศัพท์ ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ นอกจากเรื่องของลูก ๆ แล้ว สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดก็คืองาน เขายังคงขยายอำนาจของกรุปบริษัทลี่ซื่อออกสู่ตลาดต่างประเทศอยู่ตลอด คนนอกที่มองเข้ามาต่างก็พากันยกย่องความสำเร็จและความแข็งแกร่งของบริษัทลี่ซื่อ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ความในใจที่แท้จริงของเขา?
ในตอนนั้นคนที่เอาตัวซูย้าวไป ก็คือชอลพุซ ซึ่งนั่นก็คือ Jock ด้วย
แม้ว่าอำนาจของบริษัทลี่ซื่อในตอนนั้นก็ถือว่าแข็งแกร่งอยู่ แต่พอมองย้อนกลับมาจริงๆ มันก็เป็นแค่การครองตลาดในประเทศเท่านั้น ถ้าต้องการจะต่อกรกับJock แล้วล่ะก็ นี่มันถือว่ายังห่างชั้นกันอยู่มาก
ทางเดียวที่จะลดระดับความต่างนั้นได้ คือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทลี่ซื่อ รวมถึงไม่หยุดที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวเอง และกลายเป็นเสาหลักที่ได้ยึดครองอำนาจของตลาดในต่างประเทศให้ได้
ลี่เฉินซียุ่งอยู่กับงานมาโดยตลอด ครั้งล่าสุดที่เจอลู่ส้าวหลิง ก็คงจะเป็นตอนที่อยู่ในงานแต่งงานของเขากับโม่หว่านหว่าน
คิดไม่ถึงเลยว่าสองคนนี้จะมาคบกันได้ สื่อทั้งหลายต่างพากันรายงานถึงงานแต่งงานสุดหรูแห่งศตวรรษที่จัดขึ้นในเมลเบิร์นเป็นเวลามากกว่าสองสามเดือน ในตอนนั้นเขายังได้บินไปร่วมงานกับลูกๆ ของเขาทั้งสามคนอยู่เลย ลี่หมิงกับซีซียังได้เป็นคนถือตะกร้าดอกไม้ด้วย….
เขาเหลือบดูเวลาบนนาฬิกา ยังไม่สายเท่าไร เขาจึงดับบุหรี่ลง ก่อนจะเดินไปที่ห้องนั่งเล่น พร้อมกับหยิบเสื้อสูทจากบนโซฟาขึ้นมา จากนั้นก็เข้าไปบอกแม่บ้านสองสามคำแล้วจึงออกจากคฤหาสน์ไป
ในตอนที่ลี่เฉินซีมาถึง หยาดเก๋อภายในห้องรับรองพิเศษนั้นก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย โดยมีลู่ส้าวหลิงเป็นตัวนำและยู่ฉือเห้าที่ยืนพิงเสาอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนพูดคุยกันด้วยบรรยากาศที่ครึกครื้นและมีชีวิตชีวา
คนที่นั่งอยู่รอบข้างส่วนใหญ่เป็นคนที่เขารู้จัก บางคนก็เคยรุ่นพี่รุ่นน้องที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลี่เฉินซีมาก่อน ใครที่มีแฟนก็พาแฟนมา ส่วนคนที่แต่งงานแล้วก็พาภรรยามา บางคนก็นานแล้วที่ไม่ได้มากินเลี้ยงด้วยกัน เรียกว่างานนี้ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากและจะพลาดไปไม่ได้เลยทีเดียว
เพียงแต่บนโซฟานั้น มีร่างของลู่จื่อซีนั่งอยู่ด้วย เธอสวมชุดเดรสสีแดงระเรื่อ ให้ความรู้สึกราวกับคุณหนูที่น่าทะนุถนอม เธอนั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาจิบเงียบๆ พอสังเกตเห็นลี่เฉินซี ก็อดไม่ได้ที่จะชะงักไปชั่วครู่ ใบหน้าเล็กรู้สึกทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาทันที
ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ลู่จื่อซีก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย เธอก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของลู่ส้าวหลิงเบาๆ
ลู่ส้าวหลิงสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ นั้นแล้ว เขาเหลือบตามองไปยังลี่เฉินซีซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว จากนั้นริมฝีปากบางก็ยกยิ้มเบาๆ “ฉันได้ยินมาว่ามีคนทำให้น้องสาวฉันไม่พอใจ เฉินซี นายว่าเราควรทำยังไงดี?”
นัยน์ตาที่ลึกล้ำของลี่เฉินซีกวาดมองไปทางคู่พี่น้อง พร้อมกับขยับริมฝีปากบางเบาๆ ว่า “อืม?”
เขาพูดออกมาง่ายๆ แค่เพียงคำเดียว ก็สามารถจบทุกอย่างลงได้
ลู่ส้าวหลิงถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา พร้อมกับมองไปทางน้องสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เสี่ยวซีเหนื่อยไหม? ออกไปข้างนอกหน่อยเป็นไง? ไปช่วยดูพี่สะใภ้ของเธอหน่อย เธอหายออกไปนานแล้ว”
ลู่จื่อซีรู้ดีว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอตั้งใจจะช่วยเธอ เพราะงั้นเธอถึงได้พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ทันทีที่เธอลุกออกไป ลู่ส้าวหลิงก็ย้ายมานั่งข้างๆ ลี่เฉินซีทันที จากนั้นก็ยื่นแก้วไวน์ให้เขาพร้อมกับหยิบไวน์ของตัวเองขึ้นมา ทั้งสองคนชนแก้วพร้อมกับจิบเข้าไปสองสามคำ ก่อนที่ลู่ส้าวหลิงจะพูดขึ้นว่า “นายน่าจะรู้แล้วสินะ น้องสาวของฉันพูดเรื่องซูย้าวขึ้นมา แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรนะ”
สีหน้าที่เย็นชาอยู่แล้วของลี่เฉินซีหม่นลงทันทีหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้น
ยู่ฉือเห้าชำเลืองมองเล็กน้อย ก่อนจะยืดขาออกมาเตะลู่ส้าวหลิงไปหนึ่งที ทุกคนต่างรู้ดีว่าหลังจากเรื่องสองปีที่ผ่านมา ซูย้าวคนนี้ เป็นเหมือนเข็มในหัวใจของลี่เฉินซีมาโดยตลอด มันฝังลึกลงไปจนไม่มีใครกล้าที่จะพูดถึงอีก
ลู่ส้าวหลิงจะไม่รู้ได้ยังไง เขาถอนหายใจออกมา ไม่สนใจสายตาที่ตักเตือนของยู่ฉือเห้า ก่อนจะมองไปที่ลี่เฉินซี “น้องสาวฉันชอบนายจริงๆ นะ แล้วเด็กทั้งสามคนนั้นก็ต้องการแม่ด้วย เพราะงั้น เฉินซี นายจะ….”
“ส้าวหลิง”
ทันใดนั้นเสียงเย็นชาของชายหนุ่มก็ดังขึ้น ทุ้ม ต่ำ เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและกดดัน ทำให้บรรยากาศรอบตัวหนาวเย็นขึ้นทันที แค่คำง่ายๆ เพียงสองคำ ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ลู่ส้าวหลิงรู้ดี ว่าเขาเริ่มโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว
มือของลู่ส้าวหลิงที่ถือแก้วไวน์อยู่ก็สั่นเล็กน้อย เขาหลับตาลงอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะพูดต่อว่า “ตกลง! คิดเสียว่าฉันไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน!”
บรรยากาศที่น่าอึดอัดถูกปัดให้หายไป ยู่ฉือเห้าก็รีบเข้ามาร่วมวงด้วย ส่วนหลายๆ คนก็พูดคุยเกี่ยวกับหัวข้ออื่นๆ เช่น เรื่องงาน การลงทุน ฯลฯ ถือว่าสามัคคีกันเป็นอย่างมาก
และคนที่ทำลายบรรยากาศนี้ได้ยิ่งกว่าก็คือโม่หว่านหว่าน ซึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยท่าทีเร่งรีบ
เธอสวมชุดเดรสสีอ่อนสง่างาม ร่างบางในชุดกระโปรงยาวถึงข้อเท้าก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกที่ลงตัว น่าหลงใหล พร้อมกับหน้าท้องที่สูงขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเธอตั้งท้องมาได้หลายเดือนแล้ว แต่กลับไม่มีอะไรมาปิดบังรูปร่างที่สง่างามและใบหน้าที่สวยสดของเธอได้เลย
เธอร้อนใจมาก สีหน้าของเธอรีบร้อนอย่างเห็นได้ชัด ลู่ส้าวหลิงขมวดคิ้ว ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปรับเธอ “เกิดอะไรขึ้น? เดินช้าๆ หน่อย เกิดไปชนอะไรขึ้นมาจะทำยังไง?”
โม่หว่านหว่านไม่ได้สนใจท่าทีที่เขาบ่น แต่เธอกลับมองไปที่ลี่เฉินซีด้วยดวงตารูปแอปริคอทคู่สวย เธอก็เดินเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดอยู่ข้างเขา จากนั้นจึงยื่นโทรศัพท์ในมือออกไปให้เขา “เฉินซี ดูนี่สิ คนคนนี้ใช่…..”
ตอนแรกลี่เฉินซีก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก โม่หว่านหว่านมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซูย้าวมาก่อน และตั้งแต่เรื่องเมื่อสองปีก่อนเกิดขึ้น เธอมาที่บ้านตระกูลลี่เพื่อดูแลเด็กๆ อยู่บ่อยครั้ง จนเธอกลายเป็นแม่ทูนหัวของเด็กๆ ไปเสียแล้ว
แม้ว่าหลังจากแต่งงานกับลู่ส้าวหลิงไปแล้ว เธอก็ยังคอยดูแลเด็กทั้งสามในทุกๆ ทาง อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย
และจากอะไรหลายๆ อย่าง เขารู้สึกขอบคุณเธอเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงค่อยๆ กลายมาเป็นเพื่อนกัน
ในตอนที่เธอส่งโทรศัพท์มา ลี่เฉินซีทำเพียงแค่เหลือบมองนิดเดียวเท่านั้น แต่สีหน้าที่เมินเฉยของเขากลับต้องชะงักไปทันที ใบหน้าหล่อเหลาที่แสนจะเคร่งขรึมค่อยๆ หายไป เขาตกตะลึงในระดับที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน
ผู้คนที่เคยพูดคุยกันอยู่รอบๆ ค่อยๆ เงียบเสียงลง สายตาที่สงสัยใคร่หลายคู่ต่างก็กวาดมองมาทางคนสองสามคนที่ยืนอยู่
ลู่ส้าวหลิ่งรู้สึกอึดอัดใจมาก เขาจึงเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ในมือของภรรยาด้วยความสงสัย ทันใดนั้นเอง เขาตกตะลึงและอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “โอ้พระเจ้า นี่มัน…ซูย้าว?”
ลี่เฉินซีถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขารีบรับเอาโทรศัพท์มาดู มันแสดงให้เห็นคลิปวิดีโอหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต โม่หว่านหว่านกดหยุดมันไว้ที่ช่วงหนึ่งของคลิป เขารีบหยิบมันขึ้นมาแล้วกดเริ่มคลิป ให้มันเล่นต่อไป…
เขาไม่ได้สนใจว่าเนื้อหาในคลิปนั้นมีอะไร เขาทำเพียงเหลือบมองดูเวลาที่แสดงด้านล่างของคลิปวิดีโอ มองดูสถานที่ที่อยู่ในคลิปนั้น ซึ่งนั่นก็คือเมืองนี้ จากนั้นก็ถือโทรศัพท์ออกไป พร้อมกับทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยคว่า “เดี๋ยวค่อยเอามือถือมาคืนนะ” จากนั้นเขาก็หันหลังแล้ววิ่งออกไปจากห้องทันที