เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ – ตอนที่ 577 ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จักฉันไม่น้อย

บางทีอาจจะเป็นเพราะการ‘ข่มขวัญ’ของเขาเกิดประโยชน์ และบางทีอาจจะเป็นเพราะว่ารองเท้าของซูย้าวไม่เป็นใจ หรืออาจจะเป็นเพราะแอลกอฮอล์ในร่างกายของเธอ สรุปก็คือเมื่อลี่เฉินซีออกมาจากร้าน เธอก็ไม่ได้จากไปไหน

แต่กลับนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเชื่อฟัง ด้านหน้ามีสุนัขสายพันธ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง

สุนัขตัวนี้มากับลูกค้า ขณะที่เจ้าของเข้าไปเลือกของในร้าน ก็จะมัดสุนัขไว้บริเวณเก้าอี้หน้าประตู ซูย้าวไม่มีอะไรทำ จึงลูบหัวของสุนัขพลางหยอกล้อเล่นกับมัน

เมื่อลี่เฉินซีเดินเข้ามา ในมือก็ถือถุงเล็กๆอยู่ถุงหนึ่ง และเครื่องดื่มร้อนที่อยู่ในแก้วใช้แล้วทิ้งหนึ่งใบ เขาเอียงลำตัวนั่งอยู่ข้างๆเธอ และยื่นแก้วน้ำให้กับเธอก่อน และเปิดถุงพลาสติกออกมา

ด้านในมียาโรคกระเพาะแผงหนึ่ง เขาฉีกออกมาและหยิบยาออกมาสองแคปซูลแล้วยื่นให้กับเขา “กระเพาะของคุณไม่ค่อยดี กินยาก่อนเถอะ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำอ่อนโยนของเขาประกอบกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ ดึงดูดซึ่งกันและกันไม่น้อย เมื่อฟังแล้วก็ให้ความรู้สึกอ่อนโยนเป็นพิเศษ

และแสดงออกให้เห็นถึงความพิเศษของชายในวัยนี้อย่างเห็นได้ชัด

ที่มีความสุขุมและมีประสบการณ์มากมาย

ซูย้าวเอียงศีรษะมองไปที่เขา ไม่แปลกเลยที่ผู้คนต่างพูดว่าผู้ชายยิ่งอายุมากยิ่งมีเสน่ห์ เขาในวัยสามสิบกว่าซึ่งถือเป็นวัยที่จะมีช่วงเวลาสำคัญหรือเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นมากที่สุด

เธอมองไปที่ยาที่อยู่ในฝ่ามือและน้ำอุ่นแก้วนั้น“คุณรู้ได้ยังไงว่ากระเพาะของฉันไม่ค่อยดี?”

อีกทั้งตลอดทั้งคืนมานี้ ฉันก็ไม่เคยพูดว่าฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายกระเพาะ แม้แต่สีหน้าฉันก็พยายามปกปิดเอาไว้ ไม่อยากให้เขาสังเกตเห็น แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ……

ลี่เฉินซีถอนหายใจเบาๆพลางก้มหน้ามองไปที่เธอ และพูดเร่งประโยคหนึ่งว่า“กินยาก่อนเถอะ”

ซูย้าวไม่ได้รีรอต่อไป นำยาเข้าปากและดื่มน้ำอุ่นตามเพื่อกลืนยาลงไปในลำคอ เหลือเพียงแก้วกระดาษเปล่าเล็กๆหนึ่งใบ เมื่อลี่เฉินซีรับมาก็โยนทิ้งในถังขยะ

เมื่อกลับมา เขานำยากล่องนั้นใส่ไว้ในมือของเธอ อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าเธอจะไม่รับไว้ หรือไม่ก็ทำหาย จึงยัดใส่กระเป๋าของเธอในทันที“หนึ่งวันกินสองเวลา พรุ่งนี้เช้าตื่นมาอย่าลืมกินยาล่ะ หลังจากนั้นผมจะจัดคุณหมอไปตรวจอาการให้กับคุณ”

กระเพาะของเธอไม่ค่อยดี เป็นโรคที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ

ซูย้าวมองไปที่เขาพลางเลิกคิ้ว“คุณเหมือนกับรู้จักฉันไม่น้อยเลยนะคะ”

เขาหัวเราะ และหันไปมองที่เธอ มือที่ขาวและอ่อนโยนลูบไปที่แก้มของเธอ ปัดเส้นผมของเธอไปไว้ที่หลังใบหู“แท้ที่จริงแล้ว ผมรู้จักคุณมากกว่าที่คุณคิด คุณอยากลองดูไหมล่ะ?”

เธอขมวดคิ้ว“อ่า?”

เมื่อคำพูดที่น่าสงสัยพูดออกไป ซูย้าวก็รู้สึกว่าบริเวณเอวของตนถูกรัดแน่นขึ้น ชายหนุ่มใช้มือคว้าเอวของเธอไว้แน่น และต้องการที่จะโอบรัดเธอมาอยู่ในอ้อมกอดพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย “เอวของคุณก็ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นสมัยก่อนผมจึงไม่กล้าที่จะเอาคุณต้องลำบาก……”

เธอตะลึงงัน ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย ใบหน้าแดงก่ำยกมือขึ้นเพื่อดิ้นรนอย่างอัตโนมัติ และยังพูดขึ้นอีกว่า “คุณเห็นฉันเป็นภรรยาเก่าของคุณอีกแล้วนะคะ!”

ลี่เฉินซีกลับไม่กล้าปล่อยมือ ยังคงพันธนาการเธอไว้แน่น“จำผิดหรือไม่ในใจผมรู้ดี แต่คุณต่างหากที่ตัวเองเป็นใคร คุณชัดเจนหรือยังครับ?”

ซูย้าวตะลึงงัน แต่ไหนแต่ไรเธอเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคำถามย้อนกลับของเขาถึงได้ทำให้เธอถึงกลับต้องจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ เธอเม้มที่มุมปาก ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาก็เห็นชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆลุกขึ้นเสียแล้ว

คิดว่าเขาจะจากไปแล้ว ในใจของซูย้าวจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะโค้งลำตัวลง“จะให้แบกหรือให้อุ้ม คุณก็เลือกเองก็แล้วกัน”

เธอตะลึงงัน“อืม?”

ลี่เฉินซีก้มหน้ามองดูเท้าของเธอ ส้นเท้าของรองเท้าข้างหนึ่งหัก เดินค่อนข้างลำบาก เขาไม่พูดอะไร แววตายิ้มอย่างมีเลศนัยนี้กลับเขียนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในนั้น

ซูย้าวกัดริมฝีปากอย่างกระอักกระอ่วนใจ รู้สึกทำอะไรไม่ถูก ลี่เฉินซียื่นมือออกไปลูบที่ศีรษะของเธอ“ถ้าคุณไม่เลือก ผมก็จะอุ้มคุณกลับไป”

เมื่อมองไปที่ผู้หนุ่มที่นั่งยองๆจากนั้นวางมือทั้งสองข้างลงบนเข่าทั้งสอง ซูย้าวรีบพูดอย่างตะลีตะลานว่า “แบก แบกฉันเถอะ……”

คำพูดสองสามคำพวกนี้ เธอพูดขึ้นอย่างอึกๆอักๆ มองดูครั้งเดียวก็เข้าใจหมด

ลี่เฉินซียิ้มอ่อน แล้วค่อยๆหันกลับไปแล้วคุกเข่าลงที่ด้านหน้าของเธอ ยื่นแผ่นหลังที่หนักแน่นและทรงพลังให้กับเธอ

ซูย้าวยังคงรู้สึกอึดอัดใจ ค่อยๆนำร่างกายของเธอพุ่งไปที่เขาอย่างจนใจ เธอยื่นมือออกไปกอดที่คอของชายหนุ่ม และปืนขึ้นบนหลังของเขา จมูกล้วนได้กลิ่นหอมอ่อนของบุหรี่ ใบหน้าแนบไปที่ลำคอของเขา และยังไม่กลิ่นของหอมอ่อนๆของยาสระผมจากบริเวณศีรษะของเขา

กลิ่นอ่อนๆ เบาๆสดชื่นผสมผสานเข้าด้วยกัน กลิ่นหอมชวนดมอย่างคิดไม่ถึง

เธอปิดตาลงประกอบกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ ทำให้เธอพูดขึ้นประโยคหนึ่งอย่างส่งเดช “ดูเหมือนว่า เธอกับเขาเหมือนกันไม่น้อยเลย”

ลี่เฉินซีหยุดฝีเท้าลง เอียงศีรษะมองไปยังศีรษะของเธอที่อยู่ด้านหลังพลางขมวดคิ้ว“คำว่า‘เขา’ในที่นี่คุณหมายถึงใคร?”

ซูย้าวมีอาการเมาเล็กน้อย บวกกับกระเพาะที่ยังรู้สึกเจ็บอยู่ขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลาด้วยความทุกข์ทรมาน พลางพูดขึ้นอย่างลวกๆว่า“พี่ชายของฉัน”

ลี่เฉินซีกะพริบตาครุ่นคิด“พี่ชายของคุณคือใครเหรอครับ?”

ซูย้าวที่อยู่บนหลังของเขา ตอบประโยคหนึ่งก็เหมือนไม่ได้ตอบ“พี่ชายของฉันก็คือพี่ชายของฉัน”

ลี่เฉินซี“……”

เขามุ่งไปด้านหน้า เพียงแต่จงใจใช้มือดันก้นของเธอเพื่อดันคนให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น และเมื่อไหร่ที่ร่วงลงมาก็จะดันขึ้น เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางเปลี่ยนวิธีการถามขึ้นว่า“อานเจียเย้นเป็นใครเหรอครับ?”

ซูย้าวลืมตาขึ้นมาและชูนิ้วก้อยวาดท้ายทอยของเขาไปมา “คุณก็รู้อยู่แล้วว่าพี่ชายของฉันชื่อว่าอะไร แล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าเขาเป็นใคร?”

ก็ใช่อานเจียเย้นปกปิดข้อมูลส่วนตัวอย่างมิดชิด แม้แต่คนที่ติดต่อและเคยทำธุรกิจกับเขาก็ไม่มีใครรู้จักเขาอย่างลึกซึ้ง

ลี่เฉินซีขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด จากนั้นจึงเดาอย่างอาจหาญพลางเอ่ยออกไปว่า“ชอลพุซ?”

เขาพูดแค่นั้นก็กลับทำให้ซูย้าวมีการตอบสนองกลับมากเป็นพิเศษ เธอตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยกตัวเองขึ้นบนหลังของเขาอย่างแรง “คุณทราบชื่ออีกชื่อหนึ่งของพี่ชายฉัน?”

ลี่เฉินซีตกใจจนรู้สึกสับสน เป็นเขาจริงๆ!

เมื่อคิดได้แบบนี้ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปดูสมเหตุสมผล

สองปีที่แล้วชอลพุซเป็นคนทำร้ายเธอ และนำ‘ศพ’ของเธอไปให้คุณหมอรักษา เมื่อรักษาหายแล้วก็ใช้ความเป็นพี่เป็นน้องในการยื้อให้เธออยู่ข้างกายเขา ……

เพียงแต่ว่าทำไมเธอถึงได้ลืมทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นล่ะ?

ลี่เฉินซีไม่ได้คิดต่อ ซึ่งยังมีปัญหาที่น่าสงสัยอีกมาก แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เขาทำเพียงแบกเธอไว้ที่หลังแล้วเดินต่อไป ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เขายิ้ม“แต่ว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ลักษณะนิสัยและเสน่ห์ผมก็ถือว่าดีกว่าเขาคนนั้นเยอะมาก”

ซูย้าวยิ้มพลางพูดขึ้นเสียงเบา ศีรษะของเธอขยับอยู่บนแผ่นหลังของเขาเล็กน้อย ผมยาวของเธอลูบไล้อยู่บริเวณท้ายทอยของเขาไปมา ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ “คุณนี่มันช่างหลงตัวเองจริงๆ”

เมื่อชายหนุ่มได้ยินท่าทีของเธอเช่นนั้นทำให้รู้สึกแปลกใจ เขาเร่งฝีเท้าในการเดินอย่างอัตโนมัติ กระทั่งมาถึงบริเวณด้านล่างของโรงแรม เขาก็วางเธอลงพลางถามขึ้นว่า“เดินขึ้นไปเอง ได้ใช่ไหม ?”

ซูย้าวยืนอยู่ที่พื้น สองขาอ่อนปวกเปียกยื่นไม่นิ่ง แต่กลับพยักหน้า“อืม!”

แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่ว่าเขาก็ยังไม่วางใจ จึงยื่นมือออกไปยกแก้มของเธอเงยขึ้น “ขึ้นไปบนตึกได้ไหม?”

เธอพยักหน้าขึ้นอีกครั้ง สายตาที่เฉียบคมของลี่เฉินซีมองไปยังเธออีกครั้ง และสายตาที่เหลือก็เหลือบมองยังโรงแรม“ยังพักอยู่โรงแรมอีกเหรอ?”

ซูย้าวไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดจึงขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า “คุณหมายความว่ายังไงคะ?”

ขณะที่ลี่เฉินซีกำลังจะพูดออกไป ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาขัดจังหว่ะ

“คุณหนู”

มีเสียงดังมาจากที่ที่ไม่ไกลนัก น้ำเสียงไม่สูงมาก แต่กลับชัดเจน

เมื่อซูย้าวได้ยินเสียงนั้นก็รีบสลัดลี่เฉินซีออกไปและหันไปมองตามเสียงที่ได้ยิน เมื่อเห็นผู้ชายที่เดินเข้าก็ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “อาเจว๋”

ชายหนุ่มเดินเข้ามาด้านหน้าสองสามก้าว เมื่อเดินเข้ามาถึงก็ยื่นแขนออกไปรับเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดทันที พลางก้มมองส้นรองเท้าที่ทำให้เธอไม่สามารถทรงตัวได้ พร้อมกับอุ้มเธอขึ้นมา จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ทำไมถึงกลับมาดึกจังครับ?คุณผู้ชายโทรศัพท์มาหลายครั้งแล้ว ถามหาแต่คุณ!”

ซูย้าวพิงอยู่ในอ้อมอกของเขาศีรษะน้อยๆของเธอซุกอยู่ในข้อพับของเขาพลางพูดขึ้นประโยคหนึ่งอย่างเบลอๆ จากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกหลับตาแล้วก็นอนหลับไป

อาเจว๋มองดูเธอพลางถอนหายใจ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของตน สายตาเย็นยะเยือกราวกับกระบี่ที่แหลมคมจ้องมองมาที่เขา

ลี่เฉินซีจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา มองดูอาเจว๋กอดซูย้าวอย่างใกล้ชิดด้วยสายตาที่เคร่งขรึม “คุณเป็นใคร?”

เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ

เจ้าสาวใบ้:อยากจะบอกรักคุณ

เธอเป็นสาวใบ้ เมื่ออายุ19ปีก็ถูกแม่เลี้ยงและพี่สาวบังคับแต่งงานกับเขาโดยการขาย ภายใต้การแต่งงานที่หรูหราได้ซ่อนแผนร้ายอันน่าทึ่งไว้….

Comment

Options

not work with dark mode
Reset