บทที่ 60 ปลาติดเบ็ดแล้ว
ในพื้นที่เล็กๆ ที่แสนหนาวเหน็บและอ้างว้าง เพราะคำพูดคำเดียวของหานฉ่ายหลิงทำให้บรรยากาศบนรถเงียบลง แม้แต่สายตาของเธอก็ถูกหยุดลงที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายคนนั้น
หานฉ่ายหลิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เธอตกอยู่ในสภาพจิตใจที่สับสนวุ่นวายและไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่
ลี่เฉินซีจับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว เขาคลายกระดุมคอเสื้อออกสองสามเม็ด ทำให้ลำคอที่หน้าแน่นถูกเปิดออกและเห็นกระดูกไหปลาร้าที่เป็นหลุมจรดช่วงไหล่ลาดกว้าง ด้วยฝ่ามือคู่ใหญ่ที่จับอยู่พวงมาลัยนั้น เมื่อเห็นแล้วสามารถรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและความเซ็กซี่อยู่ในร่างเดียวของเขา
“อาจจะ!”
เขาให้คำตอบเพียงแค่สองคำ และเป็นคำตอบที่เขาเองยังคงขัดแย้งกับความรู้สึกของตนอยู่
จะหย่าหรือไม่ สำคัญที่สุดคือลูก
และนี่ก็เป็นหนึ่งในความกังวลที่สุดของเขา
หานฉ่ายหลิงหายใจเข้าลึกๆ และพูดด้วยรอยยิ้มที่แข็งแกร่ง “ฉันก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะ แค่ถามไปงั้นแหละ เฉินซี ระหว่างคุณกับซูย้าวยังมีลูกอยู่นะ คุณควรคิดถึงลูกให้มากที่สุด!”
“อืม” น้ำเสียงที่เย็นชานี้ไม่สามารถวัดความสุขทุกข์จากปากของเขาได้เลย
หัวใจของเธอสับสนและไม่สามารถบรรยายความรู้สึกนี้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ ดังนั้นบทสนทนาจึงจบลงในเวลาสั้นๆ
ในขณะที่ลี่เฉินซีส่งเธอกลับไปที่บริษัทและก่อนถึงหน้าประตู เมื่อมองจากระยะไกลก็ได้เห็นคนจำนวนมากกำลังเบียดเสียดกันทั้งในและนอกบริษัท ซึ่งมันเต็มไปด้วยผู้คน
นอกจากนี้ยังมีนักข่าวและสื่อหลายๆ สื่อที่ถืออุปกรณ์ถ่ายภาพต่างๆ ไว้ เมื่อมีคนเห็นหานฉ่ายหลิงนั่งอยู่บนรถ ฝูงชนทุกคนก็หันกลับมาและรีบตรงเข้าไปหาทันที
หานฉ่ายหลิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และมือจับกระเป๋าไว้แน่นๆ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังรู้สึกตึงเครียดอยู่
บริษัทศิลปะของเธอก่อตั้งขึ้นโดยการร่วมทุนกับคนอื่นๆ เพราะสาเหตุที่เธอช่วยเหลือซูย้าวเพื่อต้องการปกป้องบ้านใหญ่ตระกูลซูไว้ และด้วยพฤติกรรมของเธอเช่นนี้ทำให้ผู้ถือหุ้นหลายๆ คนต่างไม่พอใจและพากันถอนหุ้นจากบริษัทเพื่อทิ้งให้เธอต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงลำพัง
หลายวันที่ผ่านมา หานฉ่ายหลิงกลัวการที่ต้องเข้าไปบริษัทมาก ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ลี่เฉินซีต้องอยู่เคียงข้างเธอตลอด
แม้บริษัทลี่ซื่อจะรับปากชดเชยความสูญเสียให้กับเธอ แต่ความเสียหายก็ได้เกิดขึ้นและตอนนี้บริษัทก็ตกอยู่ในภาวะวิกฤตแล้ว ต่อให้มีการเคลื่อนไหวอย่างไรก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี
คอมเม้นต์ของประชาชนนั้นดุเดือดมาก หลังจากข่าวกระจายออกไป ชื่อของหานฉ่ายหลิงก็ได้ขึ้นเป็นหน้าหนึ่งของโซเชี่ยล นอกจากนี้บริษัทศิลปะภายใต้ชื่อของเธอยังกลายเป็นเป้าหมายของสื่อจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องแย่งกันสัมภาษณ์และรายงานเกี่ยวกับข่าวของเธอ
เธอนั่งอยู่ในรถแล้วขมวดคิ้วด้วยความไม่สบายใจ และใบหน้าที่บอบบางของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
“ต้องการให้ผมอยู่ด้วยไหม?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหูหานฉ่ายหลิง เธอจึงหันไปมองและสบสายตาอันลึกซึ้งกับชายคนนั้น
สายตาเธอมองเขาอยู่ใกล้ๆ ดวงตาที่ลึกล้ำของเขานั้นเหมือนทะเลอันกว้างใหญ่ที่ทำให้คนมองแล้วไม่สามารถคาดเดาถึงความคิดข้างในได้ หลังจากที่เธอคิดใคร่ครวญแล้วสุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหัวแล้วพูดกับเขา“ไม่ ฉันไปคนเดียวได้!”
ขณะที่พูดอยู่เธอก็ได้ผลักประตูออกและลงจากรถไป
ทันทีที่ลงจากรถเธอก็ถูกผู้สื่อข่าวที่นับไม่ถ้วนล้อมรอบตัวไว้ ด้วยไมโครโฟนมากมายที่ยื่นเข้ามาหาเธอและมีคำถามมากมายจากนักข่าวทั้งหลายที่เตรียมยิงคำถามเธอราวกับว่ารังผึ้งพุ่งเข้าหาศัตรูอย่างไรอย่างนั้น
“คุณหาน ข่าวลือที่บอกว่าคุณยอมสละบริษัทของคุณเพื่อจะปกป้องบ้านใหญ่ตระกูลซูของเพื่อนไว้ ความจริงแล้วคุณไม่ได้ทำเพื่อเพื่อนแต่คุณทำเพื่อคนอีกคน ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริงใช่หรือไม่คะ?”
“คุณหาน การเคลื่อนไหวของคุณครั้งนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในอดีตของคุณกับประธานลี่ไหมคะ? แล้วข่าวที่รายงานว่าล่าสุดคู่ชีวิตของประธานลี่ได้มีการสั่นคลอน ไม่ทราบว่าคุณมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ไหมคะ?”
“รบกวนชี้แจ้งให้พวกเราทราบได้ไหมคะ! คุณมีบทบาทยังไงบ้างสำหรับชีวิตคู่ของประธานลี่คะ? แล้วข่าวลือที่เล่ากันว่าคุณเป็นมือที่สามในฐานะแฟนเก่าจริงหรือไม่คะ?”
คำถามของนักข่าวเหล่านี้ไม่ได้คำนึงถึงสภาพจิตใจของใคร เพราะสำหรับหานฉ่ายหลิงที่เป็นนักธุรกิจมาหลายปีคนนี้แล้วพวกเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน เพราะเป้าหมายหลักของพวกเขาคือการยิงคำถามที่เสียดสีเพื่อจะทำให้เธอหัวเสีย แล้วแลกด้วยเนื้อหาข่าวที่เข้มข้นเป็นที่นิยมของผู้ชม
แต่หานฉ่ายหลิงก็รู้ทันพวกนักข่าวอยู่ดี เพราะฉะนั้นเธอไม่มีทางหลงกลพวกเขาได้ สีหน้าเธอนิ่งสงบเหมือนทะเลที่ไร้ลม จากนั้นเธอพูดเบาๆ ว่า “ขออภัยค่ะ ดิฉันไม่ใช่บุคคลสาธารณะนะคะ สำหรับเรื่องของบริษัทและเรื่องส่วนตัว ดิฉันไม่ขอมีความคิดเห็นนะคะ!”
จากนั้นผู้ช่วยและเลขาของเธอก็มารับสถานการณ์แทน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็มาเปิดทางให้เธอและพาเธอเข้าไปในบริษัท
เดินผ่านระเบียงทางเดินแล้วเข้าไปในลิฟต์และประตูลิฟต์ก็ค่อยๆ ปิดลง หานฉ่ายหลิงรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นๆ บนฝ่ามือของเธอจนกระทั่งเธอไปถึงชั้นบนสุดและเข้าไปในห้องทำงาน
การที่ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเรื่องของบริษัทถูกเปิดเผยให้โลกรู้อย่างกระทันหันและกลายเป็นจุดสนใจของทุกคนนั้น ถือเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับคนบุคคลทั่วไป!
เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ประธานบริษัท จากนั้นมือข้างหนึ่งกุมขมับไว้และดวงตาอันบอบบางของเธอก็รู้สึกสับสนวุ่นวาย ซึ่งเธอไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลย
ในขณะที่ช่องข่าวและสื่อโซเชียลทั้งหลายกำลังพูดถึงความเสียหายของการประมูลบ้านใหญ่ตระกูลซูของหานฉ่ายหลิงนั้น ข่าวสงครามความรักของซูย้าวกับลี่เฉินซีก็ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
เวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ มันยาวนานราวกับผ่านไปเป็นหลายศตวรรษ
เธอคิดถึงลูกชายและแม่มาก
เพียงญาติสองคนในสายเลือดที่เธอมี แต่กลับไม่ได้เจอ หัวใจของเธอเหมือนถูกความเศร้ากัดกินไปแล้ว อึดอัดทรมานแต่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้
แต่จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น
โดยปกติแล้วมีเพียงโม่หว่านหว่านที่จะโทรหาเธอ แต่ ณ ตอนนี้ ซูย้าวได้แต่จ้องชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสายตาที่ไม่แยแส
หลังจากรับสายนั้นแล้ว ก็มีเสียงของผู้หญิงที่หยิ่งทะนงดังขึ้น “เธออยากเจอแม่เธอมากใช่มั้ย?”
คำพูดของซูหยวนเหมือนแสงตะวันในฤดูหนาวแทงทะลุหัวใจของเธอ ซึ่งไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่นิด มีเพียงความประหลาดใจที่ให้เธอต้องสงสัยไปชั่วขณะ
“หลายปีที่ผ่านมานี้อย่าหาว่าฉันไม่เห็นแก่ความเป็นพี่น้องเลยนะ ฉันอาจสามารถค่อยๆทำให้แม่ฉันยอมให้เธอไปพบอานโล๋ แต่เธอต้องรับปากฉันเรื่องหนึ่งก่อน!” ซูหยวนเสนอเงื่อนไขผ่านสายนั้น
ซูย้าวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแบบนั้น เธอเป็นคนเก่งเรื่องจังหวะดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เล่นเปียโนก็เก่งด้วย คืนนี้มีงานเลี้ยง ฉันอยากให้เธอมาช่วยบริษัทซูซื่อเล่นสักสองสามเพลง ถ้าทำได้ดีแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปที่บ้านพักคนชรา!”
เมื่อได้ยินแล้ว ซูย้าวกลับต้องตะลึง
“ถ้าเธอเห็นด้วยก็ส่งข้อความมาที่วีแชทนะ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ช่างมันเถอะ! อย่าคิดว่าฉันมีเจตนาร้ายนะ ช่วยรักษาน้ำใจฉันหน่อย!”
ซูหยวนพูดด้วยความเย็นชาแล้วกดวางสายลง
เธอยังถือโทรศัพท์ด้วยความงุนงงและครุ่นคิดถึงเรื่องนี้เป็นเวลานาน ถ้าแลกด้วยการที่ซูย้าวได้เจอแม่แล้วต้องขึ้นไปเล่นเปียโนบนเวทีเพียงไม่กี่เพลง มันก็ถือเป็นเรื่องเล็กมากสำหรับเธอ และถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ มันก็ไม่เลวเหมือนกันนะ
และอีกฟากหนึ่งของเมือง ซัวฉ่ายลี่กำลังพูดกับลูกสาวของเธอที่เอนกายอยู่บนโซฟาด้วยความโกรธ “ใครอนุญาตให้เธอตัดสินใจแบบนี้? เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอานโล๋เป็นกุญแจสำคัญของเราในการต่อรองกับซูย้าว ตราบใดที่เรายังไม่ได้โครงการ CCM มาครอบครอง จะให้นางไปพบแม่ไม่ได้!”
“โอ้ยยย แม่ไม่ต้องกังวลหรอก ไว้ใจหนูเถอะน่า หนูไม่มีวันให้อินางสารเลวซูย้าวได้มีความสุขหรอก!”
เมื่อซูหยวนพูดจบ เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอกดเข้าไปดูข้อความที่ซูย้าวส่งมา จากนั้นมุมปากสองข้างของเธอก็ยกขึ้น เธอเขย่าโทรศัพท์แล้วพูดว่า “เห็นมั้ย! ปลามาติดเบ็ดแล้ว หนังสนุกกำลังจะเริ่มฉาย คอยดูก็แล้วกันนะ!”