รถมาจอดที่หน้าร้านอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่ง ลี่เจิ้งและหวางอี้ล่วงหน้าเข้าไปในร้านก่อนแล้ว ลี่เฉินซีเองก็ไม่ได้สนใจซูย้าวอย่างน่าประหลาด
เธอเป็นคนที่ลงจากรถคนสุดท้ายและมองดูกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้า ซูย้าวเต็มไปด้วยความสับสนแต่ก็ยังอดทนและเดินตามพวกเขาไป
เมื่อเข้าไปในร้านอาหารก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร้านรู้จักกับลี่เฉินซีและรีบออกมาต้อนรับ จากนั้นก็เชิญพวกเขาเข้าไปห้องส่วนตัว
เมื่อพนักงานเสิร์ฟมารับคำสั่งอาหาร ลี่เฉินซีก็ยื่นเมนูให้ซูย้าวโดยตรง ลี่เจิ้งนั่งอยู่ข้างๆ และกะพริบตาโดยไม่พูดอะไร
ซูย้าวสูดหายใจลึกและสั่งอาหารแบบสุ่มๆ ไป จากนั้นก็ส่งเมนูให้ลี่เจิ้ง “หนุ่มน้อย อยากกินอะไรจ๊ะ?”
ลี่เจิ้งไม่ได้มองเธอ เขาแค่รับเมนูมาดูแล้วสั่งอาหารไปจำนวนหนึ่ง หลังจากรอให้พนักงานเสิร์ฟออกไปแล้ว เด็กน้อยจึงพูดขึ้น “ผมชื่อลี่เจิ้ง คุณเรียกผมว่าเจิ้งเอ๋อก็ได้”
ความหมายที่ไม่ได้พูดก็คือ อย่าเอาแต่เรียกเขาว่าหนุ่มน้อยได้ไหม
ซูย้าวก็พยักหน้าช้าๆ “อ้อ เจิ้งเอ๋อ เพราะมาก จำได้ว่าเหมือนเธอจะมีน้องชายกับน้องสาว พวกเขาชื่ออะไรจ๊ะ?”
เธอจงใจชวยเด็กน้อยคุยเพราะคุยกับเด็กคงจะดีกว่าคุยกับเจ้าแห่งอสูรที่อยู่ข้างๆ!
ลี่เจิ้งมองเธอ “คุณคิดว่าพวกเขาควรจะชื่ออะไรล่ะ?”
ซูย้าวนิ่งไป “ฉันรู้แล้ว หรือว่าจะชื่อ… อิ๋งเอ๋อ? ลี่อิ๋ง?”
มุมปากของลี่เจิ้งกระตุกอย่างไม่เป็นธรรมชาติและอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “ถ้าคิดว่าชื่อของเราถูกตั้งตามชื่อ “อิ๋งเจิ้ง” ถ้าอย่างนั้นผมเป็นพี่ ผมก็ควรจะชื่อลี่อิ๋งสิ”
ซูย้าวพยักหน้าด้วยความงุนงงและมองดูเขาอย่างเอาใจอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นบอกน้าทีสิว่าน้องชายกับน้องสาวเธอชื่ออะไร?”
ลี่เจิ้งขมวดคิ้วดูเหมือนจะไม่พอใจที่เธอแทนตัวเองว่า “คุณน้า” เขาเหลือบมองพ่อผู้หล่อเหลาที่อยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร จะให้ตนเองตั้งตัวเพื่อแก้ไขก็ไม่ได้ จึงได้แต่ตอบไป “ลี่หมิงกับลี่เจิน”
ครู่หนึ่งเขาก็พูดเสริมขึ้น “ลี่เจินมีชื่อเล่นว่าซีซี”
ซูย้าวก้มหน้าและก่อนที่เธอจะพูดอะไร ชายข้างๆ เธอเลื่อนชาร้อนหนึ่งถ้วยให้เธอพร้อมพูด “ลองดูสิ”
เธอก้มมองลงไปที่ใบชาที่ค่อยๆ คลี่ออกมาในถ้วยน้ำชา ซึ่งดูเหมือนชาใหม่ที่มีกลิ่นหอม
แต่เธอไม่ได้ชื่นชอบการดื่มชาหรือชิมชาเลย ให้ดื่มของร้อนแบบนี้ สู้ดื่มน้ำเย็นให้ชื่นใจดีกว่า เธอหลบไปหยิบแก้วน้ำเย็นที่วางอยู่บนโต๊ะ เทน้ำและไม่ลืมที่จะเติมน้ำแข็งลงไปด้วย แต่ไม่ทันที่เธอจะยื่นมือออกไปหยิบก็ถูกลี่เฉินซีขวางไว้ก่อน
ยึดเข้าแทนที่ เขายื่นมือไปหยิบแก้วน้ำนั้นไปและส่งให้หวางอี้
หวางอี้มองดูแก้วน้ำแก้วนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึก ดูแล้วเจ้านายของเขาและไม่ห่วงตัวเองเลย!
ซูย้าวอึ้งไป ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ถ้วยชาร้อนในมือของเขาก็ถูกส่งไปหาเธอ ชายคนนั้นหยุดมองเธอและพูด “กระเพาะเธอไม่ดี อย่าดื่มของเย็น”
เธอพูดไม่ออกและก้มลงมอง ดูเหมือนเขาจะเข้าใจตนเองมาก แม้แต่เรื่องกระเพาะไม่ดีเขาก็ยังดูออก…
ซูย้าวไม่ดื่มชาแก้วนั้น หลังจากผลักมันออกไป เขาก็จดจ่ออยู่กับชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ถัดไป “ในเมื่อเจิ้งเอ๋อเป็นพี่คนโต ปกติแล้วชอบน้องชายมากกว่า? หรือชอบน้องสาวมากกว่า?”
ลี่เจิ้งหันไปมองเธอด้วยสายตาที่งงงวยจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ แต่เขายังคงตอบคำถาม “น้องชาย”
ซูย้าวขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ?”
ตามหลักแล้ว บุตรของตระกูลลี่สามคน เป็นลูกชายสองคน และมีซีซีเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ปกติแล้วจะต้องเอ็นดูเด็กผู้หญิงมากกว่าสิ เจ้าหญิงตัวน้อย และมีพี่ชายสองคน ดั่งเป็นดาวล้อมเดือน
ลี่เจิ้งก็ขมวดคิ้ว “เพราะซีซีโดนคุณตามใจจนเสียเด็ก นิสัยไม่ดี!”
ซูย้าว “…”
ดูเหมือนเธอพยายามจะเลี่ยงออกไปไกลแต่สุดท้ายก็วกกลับมาที่เรื่องเธอ แถมเด็กคนนี้ยังคิดว่าเธอเป็นแม่ของเขาอีกด้วย
ซูย้าวยกมือขึ้นลูบคิ้วอย่างอดไม่ได้และไม่อยากจะพูดอะไรอีก
ลี่เฉินซีดันแก้วชามาที่ข้างมือเธอในเวลาที่พอเหมาะ “เย็นแล้ว ดื่มเถอะ”
เธอเหลือบมองเขาด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย เขาเอาแต่ขอให้เธอดื่มชาซ้ำๆ ชานี้มีชื่อเสียงมากรึไง? เธอยกมันขึ้นกลางอากาศเงยหน้าขึ้นและดื่มมันทีเดียวหมด
แต่ด้วยท่าทางหาญกล้าแต่กลับหยุดกลางอากาศ
น้ำมันยังร้อนอยู่!
ร้อนจนเธอลิ้นชาไปหมด เธอวางแก้วชาลงโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วหันไปมองเขาอย่างเย็นชา “ไหนบอกว่าเย็นแล้ว! ร้อนจะตาย!”
ท่าทางเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้ลี่เจิ้งหลุดหัวเราะออกมา
ลี่เฉินซีมองดูเธอด้วยความสนใจและเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำออกจากปากของเธอ “ที่แท้เธอก็ไว้ใจฉันมากขนาดนี้เลยนะ”
ซูย้าว “…”
ดูเหมือนเธอจะโดนพ่อลูกคู่นี้แกล้งเข้าแล้ว!
ในที่สุดอาหารก็เข้ามาเสิร์ฟ หลังจากอาหารพร้อม พนักงานก็เปิดไวน์เสิร์ฟให้แขกแล้วจากไป
อาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่มีปริมาณมากมาย
ลี่เฉินซีแทบจะไม่ได้แตะ เขาเอาแต่ดูแลเธอและลูกชายไม่หยุด ลี่เจิ้งเป็นเด็กอยู่เขาจึงตั้งใจกับการกินอาหาร หวางอี้ก็ก้มหน้าก้มตารับประทานเงียบๆ ไม่พูดจา
บรรยากาศกระอักกระอ่วนและชะงักงัน แต่สำหรับซูย้าว นี่ก็ถือว่าดีมากแล้ว
ไม่ง่ายกว่าจะรับประทานอาหารจนเสร็จ ดูเหมือนทุกคนจะอิ่มกันแล้ว ลี่เฉินซีกลับไม่มีท่าทีว่าจะกลับ เขาเพียงแค่สบตาไปที่ลี่เจิ้งและพูดอย่างเฉยเมย “กลับไปกับลุงหวางก่อน”
ลี่เจิ้งพยักหน้า ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องรับรองพร้อมหวางอี้
ซูย้าวเองก็หยิบกระเป๋าและลุกขึ้น ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวออกไปก็ถูกชายคนนั้นดึงข้อมือไว้และดึงเธอให้กลับมานั่งที่เดิม เขาอาศัยท่าทีและร่างที่เพรียวบางเอนเข้าหาเธอ ไม่มีอะไรที่มากกว่านั้น แค่เขยิบเข้าไปใกล้อีกนิดและจ้องมองเธอเงียบๆ ไม่ยอมที่จะละเลยการแสดงอารมณ์อันละเอียดอ่อนใดๆ บนใบหน้าของเธอและมองอย่างละเอียด
ถูกเขาจ้องมองแบบนี้อยู่นาน เป็นใครก็ไม่สามารถที่จะยังสามารถสงบนิ่งได้
ซูย้าวหลบสายตาและยังไม่ทันจะได้พูดอะไรก็ได้ยินเสียงของเขา “ไม่คิดจะขอโทษหน่อยเหรอ?”
เธออึ้งไปและตกใจ “ทำไมต้องขอโทษ?”
ลี่เฉินซีไม่ขยับและยังคงบังตัวเธอ เขาใช้มือข้างหนึ่งเท้าบนหลังเก้าอี้ข้างหลังเธอ “ให้คนไปหาอาสามของผม ขู่ให้เขากลัวและทำให้อาการป่วยของเขากำเริบ ไม่ใช่ความผิดเหรอ? ไม่ผิดเหรอ? ไม่ควรขอโทษเหรอ?”
ซูย้าวถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่พูดตั้งแต่ตอนที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลลี่? หรือจะพูดตรงๆ เอาภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วแจ้งความไปเลยล่ะ?”
สายตาที่ลึกล้ำของลี่เฉินซีสงบลง “เพราะฉันอยากให้โอกาสเธอกลับตัวเสียใหม่”
ซูย้าว “…”
เขาหัวเราะแล้วยื่นมือออกไปยกแก้มของเธอด้วยแรงที่ไม่หนักไม่เบาแต่ไม่ให้เธอหนีไปได้ “ฉันเคยพูดไปแล้วหรือเปล่าว่าจุดประสงค์คือคำพูดของฉัน ดังนั้นอย่าใช้วิธีที่ยุ่งยากเช่นนั้นแล้วคุยกับฉันตรงๆ”
เธอช้อนสายตาลง ขนตายาวหนาของเธอปกปิดความซับซ้อนของดวงตาของเธอได้เป็นอย่างดี และเธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แต่เลี่ยงไม่พูดถึงหัวข้อของเขาเพียงแค่ถาม “แล้วอาสามของคุณเป็นยังไงบ้าง?”
ลี่เฉินซีหัวเราะขึ้นอีก ครั้งนี้เป็นการหัวเราะที่เย็นชาและมีความประชดประชันไม่น้อย “ทำไมล่ะ? เป็นห่วงว่าอาสามของฉันจะตาย แล้วเธอจะไม่ได้หุ้นที่อยู่ภายใต้ชื่อของเขางั้นเหรอ?”
ซูย้าวขมวดคิ้วแน่น เขาสามารถเดาสิ่งที่เธอทั้งหมดได้อย่างถูกตั้งซึ่งสิ่งนี้ทำให้ไม่มีความสุขเลย
“ฉันก็แค่ถามด้วยความปรารถนาดี ไม่ได้รึไง?” เธอเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาระมัดระวัง “ยิ่งกว่านั้นตอนนี้คุณถูกทุกคนในตระกูลลี่รุมกล่าวหา ตอนนี้คุณกลับไม่อยู่ปรนนิบัติคุณอาสามของคุณด้วยความกตัญญู ยังออกมากินข้าวกับฉัน ไม่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะเหรอคะ?”
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นเธอหมายความว่าให้ฉันรีบกลับคฤหาสน์ตระกูลลี่ และไปเฝ้าอาสามด้วยที่ข้างเตียงอย่างสำนึกบุญคุณ ไม่ต้องมายุ่งกับคุณ?”
ดวงตาที่สวยงามของซูย้าวปิดลงและเขาก็พูดถูก
เธอยังจะพูดอะไรได้อีก?
เมื่อเห็นท่าทางที่ถูกบีบให้แพ้ของเธอแล้ว เขาก็อดที่จะขำไม่ได้และค่อยๆ ปล่อยเธอ เขาเขยิบไปด้านข้างและใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางแล้วมองเธอจากด้านข้างต่อไป
ถ้าหากเขาบอกเธอตอนนี้ว่าแท้จริงแล้วลี่เหิงจิ่วไม่ได้เป็นอะไรเลย ไอ้ที่เรียกว่า “อาการกำเริบ” นั้นก็แค่เล่นละครตบตาเธอเท่านั้น เธอคงจะต้องสะดุ้งโหยงด้วยความโกรธจัดแน่ๆ!
ถ้าอย่างนั้นอย่าเพิ่งบอกเธอเลยดีกว่า เพราะการแสดงละครไม่ใช่แค่สำหรับเธอเท่านั้น
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับยืนยาวเหมือนเป็นศตวรรษสำหรับซูย้าว ในท้ายที่สุดเขาค่อยๆ เปิดริมฝีปากของเขาและพูดอะไรบางอย่าง “ทำไมเราไม่ใช้วิธีตรงๆ หน่อยล่ะ! เป็นผู้หญิงของฉัน ว่าไง?”