ซูย้าวพลิกมือและใช้กำลังเล็กน้อยผลักเขา ร่างกายสูงใหญ่ของชายหนุ่มก็ล้มลงไปบนเตียงพอดี
ดวงตาอันตกตะลึงของลี่เฉินซีหดตัวลงเล็กน้อยแล้วมองไปทางเธออย่างเยือกเย็น
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าร่างกายนั้นไม่อาจควบคุมได้ เรี่ยวแรงที่เดิมที่เคยมีดูเหมือนถูกอะไรบังคับเอาไว้ ทุกอย่างค่อยๆ จางหายไป และในที่สุดหนังตาทั้งสองข้างก็หนักอึ้ง
ซูย้าวนั่งลงตรงข้างๆ เขา นิ้วมือเรียวงามสัมผัสลูบไล้ไปยังใบหน้าอันได้รูปของชายหนุ่มแล้วยิ้มขึ้นพูดเบาๆ ว่า “ก็แค่ยานอนหลับยาระงับประสาทผสมผสานกันนิดหน่อย ไม่เป็นอันตรายกับร่างกายคุณแน่ เพียงแค่สามารถทำให้คุณนอนหลับสนิทสิบกว่าชั่วโมงเท่านั้นนะคะ”
“ลี่เฉินซีค่ะ บางที ฉันเพียงแค่บอกว่าบางที ซึ่งมันอาจเป็นเพียงแค่สมมติฐาน ฉันอาจจะเป็นภรรยากล่าวที่คุณคอยตามหามาตลอดก็ได้”
เธอพึมพำออกมาเบาๆ แล้วหรี่ตาลง “แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น ในความทรงจำของคุณ ซูย้าวในความทรงจำของคุณคนนั้นก็แตกต่างไปจากฉันอย่างสิ้นเชิง คุณไม่เข้าใจฉัน ถ้าคุณเข้าใจฉันจริงๆ คุณคงไม่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่”
ตอนนี้ซูย้าวดูสงบ มาก เธอมองเข้าไปยัง ดวงตาของลี่เฉินซีอันลึกล้ำนั้นแล้วยิ้มขึ้น
ลี่เฉินซีที่นอนอยู่ข้างๆ เขาพยายามอยากจะพูดอะไรออกมา แต่กลับถูกฤทธิ์ยาบังคับเอาไว้ทำให้พูดไม่ออก
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ฉันเองก็ต้องขอบคุณคุณมากนะคะที่หลายวันมานี้ พยายามลำบากเพื่อฉัน
ในความทรงจำของเธอนั้นแทบไม่เคยมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เธอไม่เคยใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามมาก่อน แต่ลี่เฉินซีเป็นกรณีพิเศษ เขาทำให้หัวใจของเธอวุ่นวายไปหมด
ดังนั้น การหยุดอยู่ในช่วงเวลาอันควรจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ซูย้าวค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วสวมเสื้อคลุมหยิบกระเป๋าขึ้นมาพูดว่า “ฉันต้องไปแล้วนะคะ ฉันจะไปจากที่นี่ และคุณไม่ต้องตามหาฉันอีกแล้ว ถ้าฉันคืออดีตภรรยาของคุณคนนั้นจริงๆ จงคิดเสียว่าฉันตายไปแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่ฉัน ก็หวังว่าภรรยาของคุณคนนั้นจะกลับมาหาคุณในเร็ววันนะคะ”
เมื่อพูดจบเธอก็เดินออกจากห้องไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีก
ส่วนลี่เฉินซี ได้พยายามเบิกตากว้างมองดูร่างของเธอที่ค่อยๆ เดินจากไป เขาใช้แรงทั้งหมดที่มีเอื้อมมือออกไปหวังจะคว้าเธอเอาไว้ แต่มันกลับชะงักลงท่ามกลางอากาศ อย่างไรเสียเขาก็ไม่อาจสู้กับฤทธิ์ของยาได้และหลับตาลงไปในที่สุด
หลังผ่านไปหนึ่งคืน
ตอนที่ลี่เฉินซีตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็เป็นเวลากลางวันแล้ว
ภายในห้องว่างเปล่า เขายกมือขึ้นกุมขมับแล้วนวดเบาๆ ในสมองของเขาปรากฏภาพแต่ละฉากอย่างชัดเจนรวมไปถึงตอนที่ซูย้าวกำลังจะจากไปและพูดกับเขาในประโยคเหล่านั้นด้วย ดวงตาของชายหนุ่มมืดมนในทันที ใบหน้าอันหล่อเหลาแทบพังทลายลง
เขารีบหยิบเสื้อคลุมมาคลุมแล้วออกไปจากห้องทันที เมื่อออกไปด้านนอกก็พบว่าที่ลานบ้านนั้นมีคุณป้าคนหนึ่งกำลังตากเสื้อผ้าอยู่ เมื่อเธอมองเห็นเขาก็ได้ยิ้มเป็นการทักทาย
ลี่เฉินซีชะงักลงและลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนที่จะเดินไปทางคุณป้าคนนั้น
กำแพงที่ไม่สูงไม่เตี้ยเกินไปนักกั้นพวกเขาเอาไว้ เขามองไปทางคุณป้าด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม น้ำเสียงค่อนข้างเกรงอกเกรงใจว่า “คุณป้าครับ ผมมีเรื่องอยากจะถามหน่อย เมื่อคืนนี้ที่คุณป้าบอกว่าอานชินแต่งงานแล้ว รู้หรือเปล่าว่าสามีของเธอแซ่อะไร ชื่อว่าอะไรยังพอจำได้ไหมครับ?”
“เรื่องนี้เหรอ เอ……” คุณป้าพยายามครุ่นคิดอย่างหนักและจู่ๆ ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงรีบพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนจะแซ่เพ้ยนะ พวกเราเรียกเค้าว่าเสี่ยวเพ้ย ส่วนชื่อเหรอ เอ๊ ชื่อเพ้ยอะไรเจี๋ยสักอย่างนะจำไม่ได้”
เนื่องจากเวลาผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว ดังนั้นหลายๆ เรื่องเธอจึงนึกไม่ค่อยออก
ชื่อเรียกสั้นๆ เหล่านั้นแว่วเข้ามาในหูของเขา ทำให้ดวงตาของลี่เฉินซีอันลึกล้ำตกอยู่ในภวังค์อย่างรวดเร็ว
แซ่เพ้ย
เรื่องนี้เชื่อมโยงไปยังครอบครัวซึ่งย้ายไปที่ต่างประเทศเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน
ชั่ววินาทีนั้นดูเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่เขาก็ปฏิเสธมันอย่างรวดเร็ว! หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ คงจะบังเอิญเอามากๆ ! แต่ว่า ทุกอย่างก็อาจเป็นไปได้ทั้งนั้น ส่วนที่เหลือแม้ว่ามันจะแปลกแต่ก็อาจเป็นความจริง
คุณป้ามองดูสีหน้าอันตึงเครียดของเขาแล้วคิดว่าตนเองพูดอะไรผิดไป “มีอะไรหรือเปล่า? มีตรงไหนผิดปกติไปหรือ?”
ลี่เฉินซีส่ายหน้า เขาสนทนากับคุณป้าอีกเล็กน้อยจากนั้นก็รีบโทรศัพท์หาหวางอี้ ไม่นานต่อมา เขาก็ได้รับข้อความรูปภาพ รูปหนึ่งส่งมาทางมือถือ
ในรูปภาพนั้นมีคนอยู่หลายคน เห็นได้ชัดว่าเป็นภาพถ่ายของครอบครัว
ส่วนจะได้มันมาจากที่ไหนนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องคิด
ลี่เฉินซีรีบนำรูปภาพในโทรศัพท์มือถือยื่นให้คุณป้าดู เขาใช้นิ้วมือขยายภาพให้ใบหน้าของคนในรูปเหล่านั้นใหญ่ขึ้นแล้วพูดว่า “ผมรบกวนคุณป้าลองดูให้หน่อยสิครับว่าสามีของอานชินนั้นอยู่ในภาพนี้ด้วยหรือเปล่า?”
คุณป้าพยายามเพ่งเล็งอย่างละเอียด และในที่สุดสายตาก็จับจ้องไปยังชายหนุ่มคนหนึ่ง เธอพยักหน้าพูดว่า “นี่ไง! คนนี้แหละ เสี่ยวเพ้ยที่ตอนนั้นเขาตามจีบอานชิน และต่อมาก็แต่งงานสร้างครอบครัวกับเธออยู่ที่นี่ พวกเราทุกคนรู้จักเขาดี”
ดวงตาของลี่เฉินซีมืดมนลงไปอย่างสุดขีด เป็นเพ้ยหยู่เจี๋ยจริงเสียด้วย
คุณลุงสามของเพ้ยส้าวหลี่ เป็นบุตรนอกสมรสคนหนึ่งของตระกูลเพ้ยในตอนนั้น วินาทีนี้ จิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจายได้ต่อ เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ เมื่อคิดได้ดังนี้ คาดว่าในตอนนั้นซูย้าวคงจะถูกชอลพุซลักพาตัวไป และทำลายความทรงจำของเธอก่อนจะส่งกลับมา นั่นไม่ใช่เพราะJockเป็นคนจัดการ แต่เป็นเพราะมีคนอื่นจงใจวางแผนให้เป็นเช่นนั้น สองพี่น้องตระกูลอานกลับตกอยู่ในความมืดมน พวกเธอไม่เพียงแต่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซูแต่ยังมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเพ้ยอีกด้วย
เมื่อออกจากลานเล็กๆ นั้น เขาก็อำลาคุณป้า จากนั้นลี่เฉินซีก็โบกรถตรงข้างถนนกลับไปที่เมือง ระยะทางค่อนข้างไกล เขาจึงเอนหลังพิงเบาะ ความคิดของเขาจมดิ่งลง
ตั้งแต่ที่เขารู้จักซูย้าวมา เขามักจะคิดว่าเธอเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลซูธรรมดาๆ เท่านั้น เขาไม่เคยนึกถึงเรื่องมารดาผู้ให้กำเนิดของเธอเลย เขาคิดไม่ถึงว่าเขาจะพลาดไปมากขนาดนี้
หากว่าชอลพุซเป็นเด็กที่ถูกอานชินรับเลี้ยงไว้ในตอนนั้น หรือก็คืออานเจียเย้นในวันนี้ เช่นนั้น การที่เขาพาตัวซูย้าวไปเมื่อสองปีก่อน ทุกอย่างก็สมเหตุสมผล และเบื้องหลังนี้ก็มีความสัมพันธ์กับเพ้ยส้าวหลี่ด้วย
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เขาพยายามอย่างหนักเพื่อขยายความแข็งแกร่งของตระกูลลี่ เขาเดินทางไปต่างประเทศ ค้นหาทุกสิ่งที่เกี่ยวกับJockอยู่ตลอดเวลา แต่กลับละเลยบริษัทเพ้ยซื่อกรุ๊ปไป
ความประมาทเลินเล่อเล็กน้อยทำให้เกิดหายนะเช่นนี้!
อีกด้านหนึ่ง ซูย้าวซึ่งเมื่อสิบกว่าชั่วโมงที่แล้วได้ขึ้นเครื่องบินตรงจากหรู่โจวไปยังยุโรป และต่อรถไปยังเมืองมาร์กาเร็ต
เมืองนี้เป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่งดงามดุจภาพวาด ทุกที่ล้วนมีบรรยากาศและฮวงจุ้ยที่ดี
ในคฤหาสน์ที่มีลักษณะเหมือนปราสาท คนรับใช้และพ่อบ้านยืนเรียงแถวรอให้ความเคารพเป็นแถวสองข้าง พวกเขามองดูเธอก้มศีรษะและเรียกว่า “คุณหนู”
ซูย้าวเดินตรงไปโดยไม่มีท่าทีใดๆ เธอตรงไปที่ห้องนอนชั้นบน ทันทีที่ปิดประตูลงก็ได้สั่งกับแม่บ้านด้านนอกว่า “ฉันต้องการพักผ่อน อย่าให้ใครมารบกวนฉัน”
แม่บ้านพยักหน้า “ค่ะ คุณหนู”
เมื่อคำสั่งนี้ถูกสั่งออกมาแล้ว ต่อมาเกือบหนึ่งสัปดาห์เธอก็แทบจะไม่ก้าวออกมาจากห้อง เธอเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้องนั้น ยิ่งเธอเก็บตัวนานเท่าไร จิตใจของเธอก็สงบมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากหมดช่วงรอบเดือน อารมณ์ของเธอดูเหมือนจะดีขึ้นมาก
ในที่สุด เธอก็ตั้งใจจะก้าวออกจากห้องและเปลี่ยนชุดเป็นชุดกีฬาสีอ่อน เธอตั้งใจจะออกไปวิ่งสักหน่อย นี่คือนิสัยที่เธอทำมาเกือบสองปีแล้ว
“คุณหนูคะ” แม่บ้านรีบเดินเข้ามาหาเธอ พบว่าเธอกำลังก้มตัวลงเปลี่ยนรองเท้าตรงทางเดิน จึงพูดขึ้นว่า “คุณเพ้ยมาที่นี่และรอคุณหนูอยู่ค่ะ”
ท่าทางของซูย้าวชะงักลงเล็กน้อย เธอค่อยๆ ยืดหลังตรงและมองมาทางแม่บ้านอย่างเงียบๆ ก่อนจะพูดว่า “ให้เขารอไปเถอะ” จากนั้นเดินออกจากประตูบ้านไป
หมู่บ้านนี้อยู่ติดกับทะเล เธอจึงออกวิ่งออกกำลังกายบริเวณชายหาด และในที่สุดก็หยุดฝีเท้าลง
หาดทรายในยามเช้า กับตะวันที่ทอแสงสาดส่องลงมากระทบกับเม็ดทรายเป็นแสงสว่างแวววาวดุจดวงดาว ท้องทะเลปั่นป่วน คลื่นซัดขึ้นสูงกระทบกับชายหาด
เธอยืดเส้นยืดสายก่อนจะถอดรองเท้ากีฬาออกแล้วดึงขากางเกงขึ้น จากนั้นใช้เท้าเปล่าวิ่งไปยังหาดทรายนี้อย่างช้าๆ คลื่นซัดสาดจนเท้าของเธอเปียกชุ่ม เธอพบว่ามีเปลือกหอยแวววาว
ซูย้าวจึงได้ก้มลงเก็บมันขึ้นมา และพบว่ามันเป็นเพียงเปลือกหอยที่แตกร้าว เธอขมวดคิ้วเข้าหากันแต่ก็ไม่อยากจะโยนมันทิ้งไป จึงได้กำมันเล่นไว้ในมือ
บริเวณห่างไกลออกไปนั้น มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “ยังชอบเก็บอะไรพวกนี้อยู่เหมือนเดิมเลยนะ”
เธอไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ก็เดาได้ว่าเป็นใคร
ตรงที่ไกลออกไปนั้น เพ้ยส้าวหลี่สวมชุดลำลองเดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ ใบหน้าขาวผ่องและหล่อเหลาจ้องมองมาที่เธอ ด้วยดวงตาอันลึกล้ำ เมื่อเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เธอแล้ว เขาก็ยื่นมือออกไปตรงหน้าเธอเป็นความหมายว่าจะดึงมือเธอขึ้นมา
แต่การกระทำเช่นนี้ กลับดูไร้ความหมาย
ซูย้าวผละจากเขาและลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง ก่อนจะโยนเปลือกหอยในมือทิ้งไปแล้วถามว่า “มีธุระอะไรงั้นเหรอคะ?”
เพ้ยส้าวหลี่มองดูเธอด้วยรอยยิ้ม เขานำมือยกขึ้นจับไหล่ของเธอทั้งสองข้างอย่างไม่ลังเลแล้วโน้มตัวลงมาทางเธอพูดว่า “ก็มีนิดหน่อยครับ ผมคิดถึงคุณ ถือว่าเป็นธุระไหม?”