ซูย้าวเดินตรงขึ้นไปด้านบน และเข้าไปยังห้องนอนของเธอ
ที่ด้านหลังมีแม่บ้านเดินตามเธอมาติดๆ และดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณหนูคะ มาหานายท่านมีธุระงั้นหรือคะ?”
เธอหยุดฝีเท้าลงเล็กน้อย “ก็มีเรื่องนิดหน่อยค่ะ แต่เขามีแขกสำคัญไม่ใช่เหรอ? ให้เขาจัดการธุระไปก่อนเถอะ”
เมื่อพูดจบเธอก็ผลักประตูเข้าไปในห้อง
แม่บ้านจึงได้หยุดยืนอยู่ตรงนั้น และสักพักจึงเดินจากไป
ที่จริงแล้ว ส่วนมากซูย้าวมักจะอาศัยอยู่ที่นี่ แต่บางครั้งเธอก็อยากอยู่เพียงลำพัง จึงได้ย้ายไปอาศัยที่คฤหาสน์ก่อนหน้านี้
การที่เธอเดินทางกลับมาในครั้งนี้เธอมีเรื่องมากมายทีเดียวที่อยากจะสนทนากับอานเจียเย้นเป็นการส่วนตัว แต่เธอก็ไม่ต้องการให้เขาเสียเวลาในการพบกับแขกคนสำคัญเนื่องจากตัวเธอ
อย่างไรก็ตามในความทรงจำของเธอ คนที่สามารถทำให้อานเจียเย้นเรียกว่าแขกคนสำคัญได้ คงไม่ใช่คนธรรมดาและบทสนทนาที่จะเจรจากันนั้นคงจะสำคัญมากทีเดียว
เธออยู่ในห้องเพียงลำพังจากนั้นก็อาบน้ำแล้วเปลี่ยนชุดนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ที่ระเบียงด้านนอก หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน
นานๆ ทีจะมีเวลาช่วงเวลาแบบนี้ ก็ดีเหมือนกัน
แต่ช่วงเวลาอันผ่อนคลายเหล่านี้ดำเนินไปได้ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก
จากนั้น แม่บ้านก็เปิดประตูเข้ามาพูดกับเธอด้วยท่าทางนอบน้อมตรงหน้าประตูว่า “คุณหนูคะ นายท่านเชิญให้ไปพบ”
ซูย้าวละสายตาจากหนังสือชายตามองไปทางแม่บ้านแล้วถามว่า “แขกคนสำคัญของเขาล่ะคะ? ไปแล้วเหรอ?”
แม่บ้านมองมาทางเธอแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา สีหน้าเต็มด้วยความหนักอึ้ง
ซูย้าวก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เธอวางหนังสือลงและลุกขึ้นเดินตามแม่บ้านไปยังห้องหนังสือ
ห้องหนังสืออยู่ที่ชั้นสองเหมือนกัน เมื่อประตูอันหนาแน่นและหนักค่อยๆ เปิดออก ภาพที่เข้ามาในดวงตาของเธอก็คือห้องขนาดใหญ่สไตล์สง่างามอันถูกรายล้อมไปด้วยชั้นวางหนังสือสิบกว่าเมตร ท่ามกลางอากาศที่ลอยมาปะทะจมูกสามารถได้กลิ่นหนังสือที่วางอยู่หลายปี
มันไม่ใช่กลิ่นราในหนังสือ ในทางกลับกัน มันคือกลิ่นไม้จันทน์ผสมกับกลิ่นยาสูบอ่อนๆ ผสมผสานออกมาได้หอมเหลือเกิน
บริเวณในห้องตรงมุมที่ไกลออกไป หน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานเพียงแห่งเดียวในห้อง มีชายที่ดูเคร่งขรึมคนหนึ่งยืนอยู่ อย่างโดดเด่น
แม่บ้านจึงได้เดินออกไปอย่างรู้หน้าที่ ก่อนที่เธอจะจากไปนั้นก็ยังไม่ลืมที่จะปิดประตูลง และพาคนเฝ้าประตูทั้งสองคนนั้นออกไปด้วย
ประตูบานนั้นแข็งแกร่งและหนักมาก เนื่องจากมันเป็นประตูกันกระสุน
การตกแต่งภายในห้อง อาจจะดูงดงามมีมิติ แต่จริงๆ แล้วในทุกๆ แห่งได้มีกลยุทธ์ซ่อนเอาไว้ มองจากมุมนี้สามารถเห็นได้ชัดว่าอานเจียเย้นคนนี้ระมัดระวังตัวอยู่เสมอ พูดได้ว่าทุกอณูขุมขนเลยทีเดียว
ซูย้าวเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี และเธอก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร เธอได้แต่เดินเข้ามาในห้องเบาๆ จากนั้นชายตาไปมองสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ สายตาเหลือบไปเห็นเอกสารที่วางอยู่จึงได้หยิบมันขึ้นมาเปิดดู
ด้านของการงานนั้น อานเจียเย้นและเธอแทบจะไม่มีความลับต่อกัน
ดังนั้นไม่ว่าเธอจะทำอะไรชายหนุ่มก็ไม่ได้เข้าไปห้ามหรือไม่ได้แม้แต่จะหันหลังมามองด้วยซ้ำ
ซูย้าวเปิดดูคร่าวๆ โดยมากมักจะเป็นเรื่องของบริษัท เธอไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จากนั้นจึงได้วางมันลงแล้วเดินไปนั่งตรงเก้าอี้หนัง เธอหมุนมันไปมารอบหนึ่ง แล้วจึงเปิดโน้ตบุ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะออกมา
เธอกรอกรหัสผ่านอย่างรวดเร็วแล้วเปิดดูจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
คอมพิวเตอร์ในห้องหนังสือนั้นมีความลับมากเลยทีเดียว แต่สองปีมานี้สิ่งของเหล่านั้นอานเจียเย้นและเธอก็ใช้ร่วมกัน ดังนั้นการกระทำของเธอก็ไม่ได้บ่งบอกถึงการละเมิดหรือไม่เหมาะสมแต่อย่างใด
เธอเปิดอีเมลดูเรื่อยๆ จากนั้นนำมือขึ้นมาเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันหน้าไปทางชายหนุ่มแล้วถามขึ้นว่า “ให้ฉันมาหาไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ?”
ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหันกลับมาอย่างช้าๆ แสงแดดยามเย็นสีส้มอ่อนส่องกระทบมาที่ร่างกายของเขาเกิดเป็นแสงสว่างจางๆ มือข้างหนึ่งสอดไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างสง่างาม มืออีกข้างหนึ่งจับบุหรี่ซึ่งเพิ่งจุดขึ้นเมื่อครู่ ผมที่ม้วนงอเล็กน้อยตรงหน้าผากของเขาห้อยลงมา ทำให้ใบหน้าคมคายเกิดเป็นมุมดูมีสไตล์มากขึ้น
เขาพ่นบุหรี่ออกมา จากนั้นหันตัวไปช้าๆ ดวงตาอันงดงามแหลมคม รูม่านตาสีเหลืองอำพันของเขาลึกล้ำ หลังจากมองดูเธอเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็ทำท่าจะอ้าปากพูด แต่เป็นเพราะเขาพูดขึ้นมากะทันหันจึงทำให้น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย “อยากฟังคุณพูดมากกว่า”
ซูย้าวยิ้มขึ้นเบาๆ มือทั้งสองข้างประคองคางเอาไว้ ดวงตากลมโตจ้องมองไปทางเขา ตอนนี้ร่างของเขายืนอยู่ตรงที่ย้อนแสง ทำให้เธอมองไม่ค่อยชัดเจนนัก ส่วนแววตาของชายหนุ่มนั้นเธอยิ่งมองไม่ชัดเข้าไปอีก
“เรื่องที่เมืองเอทำไม่สำเร็จ บริษัทลี่ซื่อจัดการยากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้ ลี่เฉินซีผู้ชายคนนี้จัดการได้ยากทีเดียว”
เธอพูดอย่างกระชับและตรงไปตรงมา
“แล้วยังไงอีก?” อานเจียเย้นใช้นิ้วดีดขี้บุหรี่ออก จากนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่ำหนักแน่นไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ
ซูย้าวครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ฉันตั้งใจจะปล่อยวางแล้วล่ะค่ะ คุณให้คนอื่นไปแทนเถอะ หรือบางทีฉันแนะนำให้คุณปล่อยบริษัทลี่ซื่อไปเถอะ ต่อให้ท้ายที่สุดแล้วเราประสบความสำเร็จ แต่ระหว่างนั้นเราก็จะสูญเสียมาก ถึงมากมายเลยทีเดียว”
เธอเอนตัวพิงไปที่เก้าอี้หนัง ขาเรียวงามทั้งสองข้างไขว่ห้าง “หากจะทำลายศัตรูหนึ่งพันคน แต่เราก็ต้องสูญเสียไปถึงแปดร้อย เรื่องแบบนี้ฉันไม่สนับสนุนและไม่แนะนำค่ะ”
แม้ว่าหลายปีมานี้ พวกเขาสองคนพี่น้องจะพยายามขยับขยายบริษัทให้ใหญ่โต และเพื่อผลประโยชน์เหล่านั้น ทั้งสองได้กลืนกินหลายบริษัทเลยทีเดียว พวกเขาใช้วิธีต่างๆ มากมาย แต่ว่ากระดูกแข็งอย่างบริษัทลี่ซื่อนี้ยังไม่เคยพบมาก่อน
ที่สำคัญก็คือ หัวใจหลักของลี่ซื่ออยู่ตลาดในประเทศ ไม่ใช่ตลาดนอกประเทศ ทั้งสองบริษัทนี้แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลยทีเดียว ไม่จำเป็นที่จะต้องหักแขนตัวเองเพื่อกลืนกินบริษัทนั้น
อานเจียเย้นใช้มือดับบุหรี่ที่จุดไว้ สายตาเขามองไปนอกหน้าต่างอีกครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “เอาตามนั้นก็ได้ ที่ผ่านมาลำบากหน่อยนะ”
ซูย้าวยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ทำไมดูเกรงใจจังคะ?”
ชายหนุ่มก็ยิ้มขึ้น แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “คุณกับส้าวหลี่ไปด้วยกันได้ดีมั้ย?”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซูย้าวก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรีบร้อน “ฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมคุณจะต้องจับคู่ให้ฉันกลับเพ้ยส้าวหลี่? เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเพ้ยเหล่านั้นคุณน่าจะรู้ดีกว่าฉันอีกไม่ใช่รึไง?”
อานเจียเย้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนกับว่าเขาจะได้คำตอบที่ไม่ได้ถาม
“เหรอ?”
ซูย้าวถอนหายใจออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง “หากมองจากอีกมุมหนึ่ง คุณควรจะแซ่เพ้ยด้วยซ้ำ คุณเป็นลูกพี่ลูกน้องของเพ้ยส้าวหลี่อีกต่างหาก จากความสัมพันธ์แบบนี้คุณจะจับคู่ให้กับลูกพี่ลูกน้องของคุณกับเขา มันดูไม่เหมาะสมไม่ใช่รึไง?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดรอยยิ้มบนใบหน้าของอานเจียเย้นก็ยิ่งทวีมากขึ้น เขาหันหน้าให้ตรงแล้วเดินไปยังโต๊ะหนังสือ รูปร่างสูงใหญ่พิงไปที่โต๊ะแล้วชายตามองเธอ “เพราะเรื่องนี้จึงทำให้คุณเกลียดเพ้ยส้างหลี่อย่างงั้นเหรอ?”
“ฉันไม่ได้เกลียดหรอกนะคะ” ซูย้าวเผชิญหน้ากับคำถามอย่างตรงไปตรงมา “ฉันก็แค่ไม่อยากจะไปมีความสัมพันธ์กับคนในตระกูลเพ้ยเท่านั้นเอง! อีกอย่างคุณก็น่าจะรู้ดีนี่ว่าฉันไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเขา”
อานเจียเย้นมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ ท่าทางของเขานั้นดูสูงส่ง “แล้วคุณรู้สึกดีกับใครล่ะ?”
ซูย้าวเงยหน้าขึ้นมองดูเขา ดวงตาของชายหนุ่มลึกล้ำและสับสน คล้ายกับกำลังซ่อนอะไรบางอย่างไว้ เป็นปริศนาที่ไม่อาจเดาได้ และเป็นสิ่งที่เธอพยายามจะค้นหามาตลอด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
จู่ๆ ความอยากรู้จากก้นบึ้งหัวใจของเธอก็ระเบิดออก
อาจเป็นเพราะความจริงบางอย่างที่เธอสืบได้จากเมืองหรู่โจว หรืออาจจะเป็นเพราะการใกล้ชิดกับลี่เฉินซี เหตุผลนานาประการมารวมกัน ทำให้เธอรู้สึกมั่นใจและอยากจะลองปลดปล่อยดู
ดวงตาของเธอที่จ้องมองไปยังเขาหรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากของเธอเผยอขึ้นเบาๆ แล้วพูดว่า “ถ้าฉันบอกว่าเป็นคุณล่ะ?”
“ผมเหรอ?” ดูเหมือนอานเจียเย้นจะไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร ในทางตรงกันข้าม รอยยิ้มของเขานั้นลึกซึ้งมากขึ้น รอยยิ้มอันอบอุ่นละไมแทบจะทำให้เธอจมอยู่ในนั้น
ซูย้าวจ้องมองไปทางเขาโดยไม่มีความหวาดกลัวใดๆ
จู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นและก้าวเข้าไปใกล้ๆ เขา เอื้อมมือออกไปสัมผัสกับใบหน้าของชายหนุ่ม “ใช่ค่ะ คุณนั่นแหละ”
“คุณชอบผมเหรอ?” อานเจียเย้นถามด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไม่ได้ออกมามาจากดวงตา รังสีอำมหิตแผ่ออกมารอบทิศ “คุณรู้ไหมว่าผมเป็นคนยังไง?”
ซูย้าวพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมาแล้วตอบว่า “รู้ค่ะ คุณมันเป็นคนเลวที่ไม่มีใครเทียบ”
เขาเป็นจอมมารอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่จะใช้วิธีไม่เลือกหน้าในการจัดการธุรกิจ อีกทั้งวิธีการจัดการกับคนในทุกๆ ด้านทุกๆ มุม เขาช่างโหดร้ายเด็ดขาดมากกว่าคนทั่วไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรัก
หญิงสาวที่ถูกเขาทำร้ายรังแกมากมายจนนับไม่ถ้วน
ผู้ชายแบบนี้สมควรที่จะถูกเรียกว่าเป็นขยะสังคม
อานเจียเย้นยิ้มขึ้นเล็กน้อย ถอนหายใจพูดว่า “ในเมื่อคุณรู้ คุณยังจะชอบผมอีกเหรอ?”
ซูย้าวยิ้มขึ้นแล้วหันหน้าไปสบสายตากับเขา ดวงตานั้นซ่อนเร้นความเจ้าเล่ห์เอาไว้ เธอพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา ขนตาเรียวยาวกะพริบเบาๆ พยายามปกปิดทุกอย่างที่ซ่อนไว้ใต้ดวงตาของเธอ “ชอบค่ะ ถ้าเป็นแบบนี้คุณยังจะผลักไสไล่ส่งฉันให้กับเพ้ยส้าวหลี่อีกมั้ย?”